ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 349 ห้าพันล้านปี จู่ถูหวาดผวา
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก” หานเจวี๋ยเอ่ยปาก เขาสังเกตเห็นพลังอันแข็งแกร่งกำลังตื่นขึ้นมาในจิตดั้งเดิมของฉู่ซื่อเหริน ดูเหมือนว่าบรรพชนพุทธกำลังจะตื่นรู้ขึ้นมาแล้วจริงๆ
ซึ่งก็ถูกต้อง หลายปีมานี้ฉู่ซื่อเหรินตรากตรำฝึกบำเพ็ญมาโดยตลอด นับวันตบะยิ่งกล้าแกร่ง สมควรแล้วที่จะฟื้นคืนความทรงจำในชาติก่อนกลับมาได้
หานเจวี๋ยสงสัยเป็นอย่างมากว่า บรรพชนพุทธภควัตผู้นี้จะโน้มน้าวให้ผู้อื่นเลิกฝึกบำเพ็ญต่อไปอีกหรือไม่ ในเมื่อตัวเขาเองได้ทำผิดศีลไปแล้ว!
หานเจวี๋ยเลิกคิดมากแล้วฝึกบำเพ็ญต่อ มุ่งมั่นเพื่อให้ก้าวสู่ระดับเทพสำเร็จในเร็ววัน
หนึ่งปีต่อมา
ฉู่ซื่อเหรินตื่นรู้อย่างเต็มที่ เขาสำแดงรูปจำลองของบรรพชนพุทธภควัต แสดงอภินิหารอันศักดิ์สิทธิ์ จนเหล่าศิษย์ตะลึงตาค้าง
สวินฉางอันดูเหมือนจะรู้สึกได้ หัวใจเต้นตึกตัก ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “บรรพชนพุทธ…”
บรรพชนพุทธ!
ทุกคนต่างตกตะลึง โดยเฉพาะลูกศิษย์ของฉู่ซื่อเหริน โจวหมิงเยวี่ยที่ดวงตาสองข้างมืดมน
‘จบกัน! ต่อไปข้าต้องถูกอาจารย์ข่มเหงจนตาย ไม่มีที่ให้กลับตัวอีกชั่วนิจนิรันดร์!’
หลี่ว์ฮว่าซวีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ในโลกมนุษย์มีตำนานกล่าวขานเรื่องบรรพชนพุทธ แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ของเขาจะเป็นบรรพชนพุทธจริงๆ!
จินกังนู่เอ่ยอย่างตื่นตะลึง “บรรพชนพุทธภควัตหรือ เขาสาบสูญไปแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึง…”
ทันใดนั้นเขาก็หวาดกลัวหานเจวี๋ยจับใจ แม้แต่บรรพชนพุทธก็ปราบให้ยอมศิโรราบได้หรือ
ฉู่ซื่อเหรินกล่าวด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ “ผลกรรมในชาติก่อนกลายเป็นหมอกควันจางหายไปแล้ว ชีวิตในชาตินี้ย่อมเป็นเรื่องราวของชาตินี้”
สวินฉางอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฉู่ซื่อเหรินค่อยๆ ลุกขึ้น ดวงตาจองมองไปยังถ้ำเทวา เขาขมวดคิ้วนิดๆ
ศิษย์คนอื่นๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นี่คือบรรพชนพุทธเชียวนะ หากบรรพชนพุทธปะทะกับหานเจวี๋ย ต้องเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นแน่!
แต่จู่ๆ ฉู่ซื่อเหรินก็โค้งคำนับไปทางถ้ำเทวา จากนั้นก็นั่งลงบริเวณริมหน้าผาและฝึกบำเพ็ญต่อ
ทุกคนต่างมองหน้ากัน ไม่กล้ารบกวนฉู่ซื่อเหริน
ไก่คุกรัตติกาลเข้ามาประชิดด้านหลังของฉู่ซื่อเหริน แล้วตวาดลั่น “ไอ้ลูกหมา เจ้าเป็นบรรพชนพุทธไปจริงๆ ด้วย! ไหนบอกไม่ต้องฝึกบำเพ็ญถึงจะดี ถ้าเจ้าไม่ฝึกบำเพ็ญจะได้เป็นบรรพชนพุทธหรือ เจ้านี่มันต่ำช้าจริงๆ!”
ทุกคนเหงื่อตกแทนมันโดยไม่อาจควบคุมได้
จอมปีศาจคุกรัตติกาลลังเลที่จะเอ่ย
ฉู่ซื่อเหรินกลอกตาอย่างเอือมระอา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “เมื่อก่อนข้าคิดผิดไปแล้ว ไม่ได้หรือ”
สวินฉางอันตะลึงงัน สงสัยว่าตนจะฟังผิดไป ‘ไม่ฟังคำโน้มน้าวของบรรพชนพุทธ กลับยอมรับว่าความคิดของตนก่อนหน้านี้ผิดไปแล้วอีกด้วยงั้นหรือ มันเป็นไปได้อย่างไร!’
สวินฉางอันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ‘หรือว่าหานเจวี๋ยทำอะไรกับฉู่ซื่อเหริน เป็นไปได้อย่างยิ่ง! ฉู่ซื่อเหรินน่าจะยังฟื้นคืนความทรงจำในชาติที่แล้วกลับมาไม่สมบูรณ์ มิฉะนั้นคงจะไม่เป็นเช่นนี้แน่!’
ภาพพจน์ของหานเจวี๋ยในสายตาของสวินฉางอันทวีความลึกลับยิ่งกว่าเดิม
หลายปีมานี้ แม้ว่าจะเอาแต่ฝึกบำเพ็ญอยู่บนเกาะตลอดเวลา แต่เขากลับรู้สึกว่านับวันหานเจวี๋ยยิ่งห่างไกลจากพวกเขาออกไปเรื่อยๆ ความรู้สึกนี้กระตุ้นให้เขาฝึกบำเพ็ญอย่างหนักหน่วง
“เหอะ ฝึกบำเพ็ญให้ดีก็แล้วกัน ในเมื่อเจ้าจะเป็นบรรพชนพุทธ เช่นนั้นก็จงรีบฟื้นฟูตบะในชาติก่อนกลับมาโดยไว สำนักซ่อนเร้นยังต้องพึ่งพาศิษย์อย่างพวกเจ้ามาสืบทอดวิชา อย่าปล่อยให้พี่ใหญ่อย่างข้าและพวกพ่อมดเฒ่าต้องแบกหน้าอยู่ฝ่ายเดียว”
ไก่คุกรัตติกาลกัดฟันพูด เก็บซ่อนใบหน้าชั่วร้ายของเจ้าสำนักซ่อนเร้นเอาไว้
จินกังนู่กล่าวด้วยความโกรธแค้น “บอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าอย่าเรียกข้าว่าพ่อมดเฒ่า!”
เมื่อเห็นไก่คุกรัตติกาลแสร้งทำเป็นโมโห บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายลง คนอื่นๆ ทยอยเข้าไปพูดคุยกับฉู่ซื่อเหรินทีละคนสองคน
ฉู่ซื่อเหรินไม่ได้หลีกหนี ถามอะไรก็ตอบตามนั้น
ขณะที่บทสนทนาค่อยๆ เพิ่มขึ้น ฉู่ซื่อเหรินคนก่อนก็คล้ายจะกลับมาอีกครั้ง
…
สิบปีต่อมา
หานเจวี๋ยนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งศัตรู ขณะที่จิตวิญญาณถูกหล่อเลี้ยงด้วยมหามรรคเวียนว่ายตายเกิด หานเจวี๋ยเลิกสนใจรายละเอียดปลีกย่อยในกระบวนการนี้ไปแล้ว
เขาประมาณการว่าอย่างมากก็ห้าสิบปี มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดและวิญญาณของเขาจะหลอมรวมอย่างสมบูรณ์!
เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะก้าวสู่ระดับเทพ!
หานเจวี๋ยสาปแช่งไปพลาง ตรวจดูจดหมายไปพลาง
[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านเข้าร่วมลัทธิอันธการ ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากปีศาจ] x 310032
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพปีศาจ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านได้รับวิชาสืบทอดดึกดำบรรพ์ ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[จักรพรรดิปีศาจศัตรูคู่อาฆาตของท่าน มรรคผลต้าหลัวปรากฏการแตกร้าว เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน]
[หลี่เต้าคงสหายของท่านก้าวสู่มรรคาสวรรค์ ตัดขาดผลกรรมของตน]
[จักรพรรดิสวรรค์สหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]
[หวงจุนเทียนสหายของท่านได้หลอมรวมโลหิตของกิเลนดึกดำบรรพ์ สายเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลง พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
…
หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น
‘เซวียนฉิงจวินเข้าร่วมลัทธิอันธการได้อย่างไร’
‘ภรรยาแปรพักตร์เข้าร่วมกับศัตรูอย่างนั้นหรือ’
หานเจวี๋ยรู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งกับแดนเซียนได้
‘ไม่ได้ ลัทธิอันธการจะต้องถูกลงโทษ!’ หานเจวี๋ยยังจำได้ว่าคนที่เป็นผู้นำของลัทธิอันธการคือเซวี่ยหมิงเหอผู้ซึ่งหลบหนีออกมาจากแดนชำระบาปเก้าขุม
เขาเห็นว่าหลี่เต้าคงก้าวสู่มรรคาสวรรค์ ตัดขาดผลกรรม แบบนี้เห็นจะสุดโต่งเกินไปกระมัง สมกับเป็นผู้ทรงพลังที่อยากรับเขาเป็นศิษย์!
มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ถึงได้ทำตัวกร่างนัก สำมะเลเทเมาอยู่นาน แต่อยู่ๆ กลับมาตัดขาดผลกรรม เริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นเสียอย่างนั้น แถมยังไม่รู้ด้วยว่าเขาตัดขาดผลกรรมของตนเองกับผู้อื่นด้วยหรือไม่
หากเขาเป็นหลี่เต้าคงก็จะตัดขาดอย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้วหลี่เสวียนเอ้าจะกลายเป็นจุดอ่อนของตนได้
จากมุมมองของหานเจวี๋ย หลี่เสวียนเอ้านั้นแตกต่างจากหลี่เต้าคงอย่างลิบลับ หลี่เสวียนเอ้าเคยบาดเจ็บสาหัส ในขณะที่หลี่เต้าคงไม่เคยสักครั้ง
ซ้ำยังมีหวงจุนเทียนอยู่ด้วย เหตุใดถึงยิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นเรื่อยๆ กันเล่า
แรกเริ่มเดิมทีหานเจวี๋ยมีความคิดว่าจะลองดูสักตั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะยืนหยัดขึ้นมาและยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เจอกันครั้งหน้า เจ้าหมอนี่คงไม่กลายเป็นเจ้านิกายเจี๋ยไปหรอกใช่หรือไม่
หานเจวี๋ยไม่ได้เกรงกลัวว่าเขาจะหักหลัง เพราะจิตวิญญาณส่วนลึกของหวงจุนเทียนยังมีตราประทับหกวิถีที่ลุกโชนอยู่
ตราประทับหกวิถีจะแข็งแกร่งขึ้นตามความแข็งแกร่งของหานเจวี๋ย นอกเสียจากว่าหวงจุนเทียนจะสามารถพิชิตหานเจวี๋ยได้ มิฉะนั้นอย่าฝันว่าจะหักหลังหานเจวี๋ยได้
หานเจวี๋ยอ่านจดหมายต่อไป มีหลายคนที่ได้รับโอกาสวาสนา
‘น่าเสียดาย แต่พวกเจ้าก็ยังต่ำต้อยกว่าข้าอยู่ดี’ ในบรรดาสหายที่หานเจวี๋ยมีปฏิสัมพันธ์กันเป็นประจำนั้น ไม่มีใครฝึกบำเพ็ญได้รวดเร็วกว่าเขาอีกแล้ว
แม้ว่าเขาจะภูมิใจ แต่เขาก็ไม่อาจทะนงตัว
ไม่มีประโยชน์ที่จะเปรียบเทียบความเร็วในการทะลวงระดับ การเปรียบเทียบตบะต่างหากที่สำคัญที่สุด!
หนึ่งเดือนต่อมา
หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง นึกอยู่ในใจว่า ‘ข้าอยากรู้ว่าใครกำลังสาปแช่งจักรพรรดิสวรรค์อยู่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการ!
หานเจวี๋ยหลับตา ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เขาก็ลืมตาขึ้น
‘มารดามันเถอะ! จู่ถูอีกแล้ว! นี่มันเรื่องอะไรกัน เขาแข็งแกร่งถึงปานนั้น ยังจะสาปแช่งคนอื่นอีกหรือคิดจะเลียนแบบข้าหรือไร’ หานเจวี๋ยเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว เขาจะไม่ปล่อยให้จู่ถูสาปแช่งจักรพรรดิสวรรค์ของเขา
‘ฝ่าบาท ข้าจะสู้มันสักตั้งเพื่อท่าน!’ หานเจวี๋ยคิดในใจลำพัง
เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายขึ้นมาแล้วสาปแช่งต่อ ‘คราวนี้ ข้าต้องทำให้คำสาปแช่งของจู่ถูผิดพลาดให้จงได้!’
หลังจากสาปแช่งอยู่ห้าวัน อายุขัยของหานเจวี๋ยก็เริ่มลดลง
เขาจ้องมองหน้าจอแสดงคุณสมบัติของตนเองตลอดเวลา อายุขัยลดลงอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขายังคงพยายามหนักขึ้น
หนึ่งร้อยล้านปี!
หนึ่งพันล้านปี!
สองพันล้านปี!
ห้าพันล้านปี!
หานเจวี๋ยวางมือ เลือดไหลอาบใบหน้า เขาถามในใจ ‘จู่ถูมีอันเป็นไปหรือยัง’
เขาไม่มีความสัมพันธ์กับจู่ถู จึงมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวของจดหมาย
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
‘ไม่!’ หานเจวี๋ยไม่สนใจอีกต่อไป อย่างไรเสียเขาก็พยายามเต็มที่แล้ว ครั้งหน้าหาโอกาสบอกจักรพรรดิสวรรค์เรื่องคำสาปแช่งของจู่ถูดีกว่า
…
วังเทพ
ตูม…
พระราชวังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทหารองครักษ์ด้านนอกต่างมองหน้ากันอย่างตระหนกตกใจ ไม่กล้าเข้าไปโดยพลการ
ภายในตำหนัก สีหน้าของจู่ถูมืดทะมึน
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเวรตะไล สาปแช่งข้าทุกสิบปี แต่ครั้งนี้กลับรุนแรงถึงเพียงนี้เชียว!”
จู่ถูเกิดอาการหวาดผวา
ครั้งต่อไป คำสาปแช่งของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะรุนแรงขึ้นอีกหรือไม่
แม้ว่าตอนนี้จะไม่เป็นอะไร แต่หากว่านี่ไม่ใช่ขีดจำกัดของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการล่ะ…
……………………………………….