ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 369 มหาเคราะห์และชะตากรรม การตัดสินใจของจักรพรรดิสวรรค์
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 369 มหาเคราะห์และชะตากรรม การตัดสินใจของจักรพรรดิสวรรค์
ห้าวันผ่านไป
อายุขัยของหานเจวี๋ยลดลงอีกครั้ง ระดับความเร็วในการลดลงยังคงเกินจริงยิ่งนัก แต่เขากลับไม่ใส่ใจเลย
กำจัดจู่ถูให้เร็วหน่อยจะดีกว่า ป้องกันไม่ให้เล่นลูกไม้ในภายภาคหน้าอีก
จู่ถูไม่ใช่ผู้มีชัยที่สุดในมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตแล้ว ยามนี้อย่างมากก็เป็นได้แค่ไม้กวนอาจม[1]เท่านั้น ตายไปก็ไม่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มของสถานการณ์โดยรวม
อีกด้านหนึ่ง
จู่ถูเผชิญกับคำสาปแช่งของหานเจวี๋ย ซ้ำแรงสาปแช่งยังรุนแรงขึ้นอีกด้วย เขาจำเป็นต้องวางหนังสือสาปแช่งของตนลง และเริ่มต่อต้านคำสาปแช่งของหานเจวี๋ย
“สมควรตาย หนังสือสาปแช่งเล่มนี้ของข้าห่างชั้นเกินไป อย่าว่าแต่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเลยแม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่ส่งผลกระทบเลยด้วยซ้ำ”
จู่ถูลอบรำพันกับตัวเอง เขานึกสงสัยขึ้นมาแล้วว่าหนังสือสาปแช่งของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการมีที่มาอย่างไรกัน
ปัจจุบันในแดนเซียนมีศัตรูที่กำลังถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งอยู่มากมายเหลือเกิน ส่งผลให้กระแสของมหาเคราะห์เปลี่ยนไปแล้ว
เมื่อก่อนเขาเล่นเล่ห์วางอุบาย ทุ่มเทสังหาร
แต่ตอนนี้กลับซุ่มอยู่ในที่มืดทุ่มเทสาปแช่ง ทำให้ศัตรูเดาทางไม่ออก!
จู่ถูรู้สึกรันทดหม่นหมอง ขณะเดียวกันก็ต้องสกัดแรงสาปแช่งไปด้วย
หลายวันผ่านไป
คำสาปแช่งจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการยังคงดำเนินต่อไป จู่ถูรู้สึกตื่นตระหนกแล้ว
คำสาปแช่งในครั้งนี้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม!
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการตัดสินใจจะเอาชีวิตเขาแล้วงั้นหรือ
นี่จะต้องเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิสวรรค์แน่!
จักรพรรดิสวรรค์ที่สมควรตาย!
จู่ถูชักจะสงสัยแล้วว่า เป็นผู้ใดกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังจักรพรรดิสวรรค์
จะใช่อริยบุคคลหรือไม่
ม่านตาของจู่ถูขยายตัวขึ้นทันที
อริยบุคคล…
อริยบุคคลของวังปีศาจต่างยื่นมือเข้ามาสนับสนุนเขาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอริยบุคคลคนอื่นปรากฏตัวขึ้น
ยิ่งคิดจู่ถูก็ยิ่งตื่นตระหนก
ยามนี้ พลังเวทของเขาเริ่มปั่นป่วนแล้ว มันกัดเซาะร่างกายเขาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เขารู้สึกทรมานขึ้นเรื่อยๆ
ความทรมานยังคงดำเนินต่อไปครึ่งวันต่อมา
“อึก…”
จู่ถูทนรับไม่ไหวอีกต่อไป เขากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ จากนั้นก็เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง
บาดเจ็บทางร่างกายอย่างไรก็ยังทนไหว ขอเพียงไม่บาดเจ็บไปจนถึงวิญญาณก็พอ
จู่ถูเค้นสมองคิดหาวิธีรับมือ ดูจากท่าทีในครานี้ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการแล้ว อีกฝ่ายจะยังต้องสาปแช่งเขาต่อไปอีกระยะหนึ่งเป็นแน่ เขาไม่สามารถนั่งเฉยๆ รอรับหายนะได้
จู่ถูพลันบังเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้น
เขาร้องตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด “จักรพรรดิสวรรค์ เจ้าเหี้ยมหาญไร้เมตตา สาปแช่งสานุศิษย์นับร้อยล้านคนในวังเทพของข้า ซ้ำยังป้ายสีว่าพวกเราเป็นเผ่ามาร ที่ผ่านมาข้าเพียงแสร้งทำเพื่อล่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการออกมา ในที่สุดเจ้าก็ปิดไว้ไม่อยู่แล้ว!”
“เริ่มจากบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ตามด้วยจักรพรรดิปีศาจ จนตอนนี้มาถึงข้าที่ถูกจักรพรรดิสวรรค์สาปแช่งจนใกล้จะดับสิ้นมรรผลสลายแล้ว ทุกคนจงฟังไว้ให้ดี จักรพรรดิสวรรค์กระทำการเช่นนี้ก็เพื่อแย่งชิงมหาโชค ไร้ซึ่งจิตเมตตา หากวังสวรรค์รวมหมื่นโลกาให้เป็นหนึ่งได้จริงๆ ท้ายที่สุดยุคมืดก็คงมาเยือน!”
จู่ถูแยกวิญญาณเสี้ยวหนึ่งออกมา หายลับไปท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นเขาทำการระเบิดตัวเอง กายาและวิญญาณสูญสลาย
….
ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
หายเจวี๋ยผลาญอายุขัยไปกว่าสามหมื่นล้านปีแล้ว จิตสำนึกของเขาเลือนราง รู้สึกวิงเวียนอย่างยิ่ง
ขณะที่เขาใกล้จะค้ำยันไว้ไม่อยู่แล้วนั้น ก็พลันได้ยินเสียงของจู่ถู
เขาหยุดสาปแช่งทันที พรูลมหายใจออกมา
‘มารดามันเถอะ ดูเหมือนจะผลาญอายุขัยแสนล้านปีตามที่ต้องการไม่ได้แล้ว
หานเจวี๋ยคิดอยู่เงียบๆ ยามที่อายุขัยของเขาลดลงเกินหนึ่งหมื่นห้าพันล้านปี จิตวิญญาณของเขาก็เริ่มปั่นป่วน รู้สึกทรมานอย่างยิ่ง
เส้นทางการผลาญอายุขัยไม่ได้เดินง่ายๆ เช่นนั้นสินะ
หานเจวี๋ยลอบสบถ
เวลานี้
พิรุณทองโปรยปรายลงมาในแดนชำระบาปเก้าขุม หยาดฝนร่วงลงสู่ความมืดมิดและถูกแรงกรรมดูดกลืนไป
ผู้คนในสำนักซ่อนเร้นต่างก็รู้สึกตื่นตระหนกไปตามๆ กัน
“จู่ถูดับสูญแล้วหรือ”
“ต้าหลัวดับสูญไปอีกท่านหนึ่งแล้ว มหาเคราะห์น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ”
“จักรพรรดิสวรรค์คือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการงั้นหรือ”
“ต่อไปจะมีผู้ใดกล้าแก่งแย่งกับวังสวรรค์อีกเล่า”
“โชคดีที่พวกเราหลบเร้นอยู่ มิเช่นนั้นพวกเราก็คงต้องรับเคราะห์ไปด้วย”
“เจียงอี้ เผ่าเทพอีกาทองของเจ้าคงไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับวังสวรรค์ใช่หรือไม่”
ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ทว่าสีหน้าของเจียงอี้กลับดูไม่น่ามองนัก
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินผู้อาวุโสกล่าวว่าจะต่อสู้กับวังสวรรค์จริงๆ
“หวังว่าพวกเขาจะฉลาดกันบ้าง…”
“สมควรตาย ที่แท้เจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็คือจักรพรรดิสวรรค์! มิน่าล่ะ!”
เจียงอี้อกสั่นขวัญแขวน ทุกครั้งที่เขาพบจักรพรรดิสวรรค์ ล้วนมีความรู้สึกคล้ายถูกมองออกจนทะลุปรุโปร่ง ช่างน่าประหลาดยิ่ง
ขณะที่พวกเขากำลังตื่นตกใจกันอยู่นั้น หานเจวี๋ยกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างไร้สาเหตุ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขารู้สึกอยู่เสมอว่ามีความผิดปกติ
ที่สำคัญคือคำพูดของจู่ถูไม่ถูกต้อง
ก่อนที่จักรพรรดิปีศาจและบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์จะสิ้นชีพไม่ได้มีการผูกพยาบาทอาฆาต มีเพียงความโกรธแค้นเท่านั้น
หรือว่าอีกฝ่ายจะแกล้งตาย
แต่มรรคาสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกคล้ายว่าจะเป็นของจริง
หานเจวี๋ยลอบสบถกับตัวเองว่ามีปัญหาแล้ว จะคาดเดาไปทำไมกันเล่า ถามระบบวิวัฒนาการเลยดีกว่า!
‘ข้าอยากรู้ว่าจู่ถูตายหรือยัง’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[มีเศษส่วนวิญญาณหลงเหลืออยู่เสี้ยวหนึ่ง]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ช่างสมกับเป็นอันดับหนึ่งแห่งมหาเคราะห์ สาปแช่งขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีก
บัดซบ นี่มันจักจั่นทองลอกคราบ[2]
คราวนี้วังสวรรค์และจักรพรรดิสวรรค์เจอปัญหาแล้ว!
ผู้นำสามในสี่ของกลุ่มอิทธิพลใหญ่ระดับจักรวรรดิถูกจักรพรรดิสวรรค์สาปจนตาย ยังจะดีได้อยู่อีกหรือ
ถ้าหากหานเจวี๋ยเป็นกลุ่มอำนาจอื่น จะต้องหมายหัวจักรพรรดิสวรรค์เป็นอันดับแรกแน่นอน
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป วังสวรรค์จะชิงมหาโชคมาได้อย่างไร
หานเจวี๋ยรู้สึกกลัดกลุ้ม
แบบนี้ไม่นับเป็นการขุดหลุมฝังจักรพรรดิหรอกหรือ
ไม่ถูกสิ!
เขากำลังช่วยจักรพรรดิสวรรค์อยู่ แต่จนใจที่จู่ถูเจ้าเล่ห์แสนกล เล่นงานเขาไม่ได้จึงสาดน้ำครำใส่เขาแทน
มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน!
หานเจวี๋ยโกรธแล้ว
แต่เขาจำเป็นต้องพักผ่อน ความรู้สึกวิงเวียนยังไม่เลือนหายไป
ผู้ทรงพลังระดับเทพที่แสนสูงส่งก็ยังรู้สึกวิงเวียนตาลายได้ พูดไปแล้วก็ฟังดูน่าขัน แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการใช้คำสาปแช่งต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สูงเหลือเกิน
หากไม่มีหนังสือแห่งความโชคร้าย หานเจวี๋ยคงไม่กล้าสาปแช่งส่งเดช
[หนังสือแห่งความโชคร้าย: ยอดสมบัติระดับเทพ ใช้สาปแช่งสิ่งมีชีวิตได้ นำพาโชคร้ายมาหาเป้าหมาย และในขณะเดียวกันจะไม่มีทางทำให้เป้าหมายตรวจจับได้]
คุณสมบัติไม่มีทางถูกตรวจพบถูกหานเจวี๋ยพัฒนาจนสมบูรณ์แบบ เลิศล้ำหมดจดแล้ว
….
หนึ่งเดือนผ่านไป
หานเจวี๋ยฟื้นคืนสู่สภาพเดิมแล้ว เขาหยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาเพื่อถามไถ่ถึงสถานการณ์ของจักรพรรดิสวรรค์
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยกลั้วหัวเราะ “กลัวอันใดเล่า เป็นแบบนี้ก็ยิ่งดี! เราต้องการให้ปวงชนบังเกิดความกริ่งเกรงต่อเรา! เราต้องการยุติมหาเคราะห์ มีเพียงการรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น ถึงจะนำพาสันติภาพมาให้ปวงสวรรค์หมื่นโลกาได้!”
หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย เขากลุ้มใจอยู่ตั้งนาน คิดไม่ถึงเลยว่าจักรพรรดิสวรรค์กลับภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาท ยังคงต้องระวังเอาไว้บ้าง แดนเซียนอาจยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งคนอื่นซ่อนตัวอยู่ เฉกเช่นเฮ่าเทียนในกาลก่อน สวมรอยเป็นจักรพรรดิเซียนวัฏจักรอยู่ใกล้ตัวพระองค์” หานเจวี๋ยจำเป็นต้องกล่าวเตือน
จักรพรรดิสวรรค์มีตำแหน่งเป็นนายแห่งวังสวรรค์ อยู่ในที่แจ้งตลอดเวลา ทำให้ถูกลอบปองร้ายได้ง่ายยิ่ง
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยตอบ “เรามีความคิดอยู่ในใจแล้ว อันที่จริงแรกเริ่มเราไม่มีความคิดที่จะรวมแดนเซียนให้เป็นหนึ่งเลย ทว่าด้วยกระแสของภาพรวมในตอนนี้ เราไม่อาจถอนตัวกลางคันได้ จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ทั่วทั้งวังสวรรค์ต่างตั้งตาคอยให้เรารวมแดนเซียนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เราหยุดไม่ได้แล้ว”
วาจานี้กล่าวได้อย่างสงบและราบเรียบอย่างยิ่ง หานเจวี๋ยฟังแล้วไม่รู้สึกถึงความกลัดกลุ้มหรือลังเลของเขาแม้แต่น้อย มีเพียงแต่ความแน่วแน่เท่านั้น
รู้ทั้งรู้ว่าบนเขามีพยัคฆ์ แต่ก็ยังคงมุ่งหน้าไป!
หานเจวี๋ยลอบถอนหายใจกับตัวเอง
เขามีเจตนาช่วยเหลือวังสวรรค์ แต่กลับทำให้วังสวรรค์จมลึกลงไปเรื่อยๆ
นี่น่ะหรือมหาเคราะห์
นี่น่ะหรือชะตากรรม
หานเจวี๋ยตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง
หรือว่าตัวเขาเองก็ก้าวเข้าสู่เคราะห์กรรมไปเสียแล้ว
พอคิดดูให้ดีๆ เขาก็บุ่มบ่ามไปบ้างจริงๆ
‘เอาเถิด ข้าเพียงถามด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว หากไม่มีหนทางจริงๆ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงคุ้มครองตัวเองเท่านั้น‘
เมื่อหานเจวี๋ยคิดได้เช่นนี้ แววตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ในเมื่อจักรพรรดิสวรรค์ถอยไม่ได้แล้ว เช่นนั้นเขาก็ต้องช่วยให้จักรพรรดิสวรรค์มีชัย!
เสียงของจักรพรรดิสวรรค์แว่วเข้ามาอีกครั้ง “ไม่นานมานี้นิกายเหรินส่งโอสถศักดิ์สิทธิ์มาจำนวนหนึ่ง ในบรรดานั้นมีมรรคาโอสถที่ช่วยในการบำเพ็ญระดับเทพมาด้วย เจ้าอยากได้หรือไม่ เราจะให้เจ้าสิบเม็ด”
หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “ช่างเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเก็บไว้ให้เหล่าเทพเซียนในวังสวรรค์เถิด ถึงทรงมอบมันให้กับข้า ข้าก็ช่วยเหลือพระองค์ไม่ได้ จะเป็นการสิ้นเปลืองเปล่าๆ”
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยอย่างไม่แยแส “ไม่เป็นไร เจ้ากับเราเป็นคนกันเอง แต่พวกเขามิใช่”
…………………………………………
[1] ไม้กวนอาจม เปรียบเปรยถึง ตัวก่อกวนสร้างปัญหา
[2] จักจั่นทองลอกคราบ หมายถึงการหลอกล่อศัตรูให้ตายใจว่าจะได้ชัยแน่นอน จากนั้นหาทางหลบหนีไปอย่างเงียบเชียบ