ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 414 เจ้าแดนต้องห้ามอันธการผู้ชั่วร้าย
“คารวะอาจารย์”
ฉู่ซื่อเหรินคุกเข่าคารวะอย่างนอบน้อม ไม่มีท่วงท่าของบรรพชนพุทธเลย
หานเจวี๋ยถามด้วยรอยยิ้ม “มาหาข้าด้วยเรื่องใด”
ฉู่ซื่อเหรินเงยหน้ามองหานเจวี๋ย ลอบตระหนกอยู่ในใจ
เขาเป็นต้าหลัวระยะต้นแล้วจริงๆ น่ะหรือ
กลิ่นอายของหานเจวี๋ยที่แผ่ออกมาทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายทรงพลังกว่าบรรดาต้าหลัวรุ่นใหญ่เหล่านั้นเสียอีก
อีกอย่าง หลังจากเข้ามาในถ้ำเทวาฟ้าประทาน เขามีความรู้สึกขนลุกอยู่ตลอดเวลา ราวกับมีสิ่งชั่วร้ายอันใดจับจ้องเขาอยู่ในความมืดมิด พร้อมจะพุ่งเข้าใส่เขาได้ทุกเมื่อ ความรู้สึกนี้ยากจะบรรยายได้ ทำให้จิตใจเขากระสับกระส่าย
ความรู้สึกนี้ทำให้ฉู่ซื่อเหรินยิ่งเคารพยำเกรงในตัวหานเจวี๋ยยิ่งกว่าเดิม
ฉู่ซื่อเหรินปรับอารมณ์ เอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ ถ่ายทอดพลังวิเศษที่ยิ่งใหญ่ให้ข้าได้หรือไม่”
ในงานประลองใหญ่ประจำศตวรรษช่วงที่ผ่านมา เขาพบว่าพลังวิเศษของตนสู้พวกลี่เหยาและถูหลิงเอ๋อร์ไม่ได้
ชาติก่อนมีฐานะเป็นบรรพชนพุทธ สิ่งที่เขาร่ำเรียนล้วนเป็นพระธรรม ถึงแม้ตบะจะสูงส่งลึกล้ำแต่พลังวิเศษกลับไม่ได้เรื่องเลย
พลังวิเศษที่เขาถือครองเมื่อเทียบกับพลังวิเศษที่หานเจวี๋ยถ่ายทอด ยังนับว่าห่างชั้นกันมากนัก
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “หากเจ้าพิสูจน์จักรพรรดิเซียนแล้ว ข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษขั้นสูงสุดให้แก่เจ้า”
ฉู่ซื่อเหรินเงยหน้าถาม “จริงหรือขอรับ”
“อืม ข้าคาดหวังในตัวเจ้าเสมอมา”
“ขอบพระคุณอาจารย์!”
หานเจวี๋ยถลึงตาใส่ดวงจิตประหลาดที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง เมื่อครู่เจ้าสิ่งนี้ไปหมอบอยู่ข้างๆ ฉู่ซื่อเหริน เห็นได้ชัดว่าทำให้ฉู่ซื่อเหรินรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของฉู่ซื่อเหริน หานเจวี๋ยรู้สึกพอใจยิ่งนัก
คนผู้นี้หากมิใช่เพราะมีแนวคิดที่แปลกแยกแตกต่าง เกรงว่าคงจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาห้าบรรพชนพุทธไปแล้ว
หลังฉู่ซื่อเหรินออกไป หานเจวี๋ยก็บำเพ็ญตบะต่อ
ดวงจิตประหลาดก็เกาะอยู่บนหลังเขาด้วย
หลังจากช่วยเหลือหานเจวี๋ยในการพิสูจน์ต้าหลัวแล้วดวงจิตประหลาดก็ช่วยหานเจวี๋ยดูดซับพลังปราณอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความช่วยเหลือของมัน ความเร็วในการดูดซับของหานเจวี๋ยรุดหน้าไปไกลกว่าการบำเพ็ญเพียงลำพัง
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ดวงจิตประหลาดเองก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
ไม่นานมานี้หานเจวี๋ยได้ใช้แบบจำลองการทดสอบกับมัน เจ้าสิ่งนี้มีพลังต่อสู้ในระดับเซียนทองต้าหลัวแล้ว
แต่มันเซ่อซ่าโง่เขลา ยามต่อสู้ไม่ใช้พลังวิเศษเลยสักนิด เอาแต่พุ่งไปพุ่งมา เงอะงะอย่างยิ่ง
สภาวะการอยู่ร่วมกันระหว่างหานเจวี๋ยและดวงจิตประหลาดดูแปลกประหลาดอย่างสิ้นเชิง
ภายใต้สภาวะการอยู่ร่วมกันเช่นนี้ ยิ่งหานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไร ดวงจิตประหลาดก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่หานเจวี๋ยสามารถควบคุมความเป็นความตายของดวงจิตประหลาดอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ได้
ดูคล้ายกับ…
หานเจวี๋ยนึกถึงนิยายแฟนตาซีที่เคยอ่านในชาติที่แล้ว จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
น่าสนใจยิ่ง!
มีดวงจิตประหลาดอยู่ วันหน้าในยามที่หานเจวี๋ยต่อสู้ก็เสมือนมีร่างแยก เสริมด้วยวัชระเทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตน
หนึ่งคนมิเทียบเท่าหนึ่งกองทัพเลยหรือ
หานเจวี๋ยใจเต้นแรง
เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในกลุ่มคนระดับเดียวกัน ระดับต้าหลัวเป็นเช่นนี้ หลังจากพิสูจน์มรรคแล้วก็จะเป็นเช่นเดียวกัน
….
เดือนปีผันผ่านดั่งกระสวยทอผ้า
เวลาห้าสิบปีไหลผ่านไปในชั่วพริบตาเดียว
หานเจวี๋ยยังคงรักษากิจวัตรในการสาปแช่งหนึ่งครั้งทุกสิบปีเอาไว้ ที่น่าตะลึงคือจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนกลับไม่เป็นอะไรเลย แต่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้ก่อเรื่องเลยเช่นกัน
ระยะนี้แดนเซียนสงบสุขอย่างยิ่ง สงบสุขจนหานเจวี๋ยหลงนึกไปว่ามหาเคราะห์สิ้นสุดลงแล้ว
[ฟางเหลียงศิษย์ของท่านได้รับสืบทอดมรดกจากจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนศัตรูคู่อาฆาตของท่าน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน
ฟางเหลียงทรยศหรือ
หรือว่าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนยอมจำนนแล้ว
หานเจวี๋ยคิดจะใช้ระบบวิวัฒนาการตรวจสอบดู แต่พอใคร่ครวญดูแล้ว ก็คิดว่าไม่จำเป็น
ถึงอย่างไรจุดจบของมหาเคราะห์ก็เปลี่ยนไปแล้ว จักรรรดิหยกโจวเหยี่ยนไม่มีทางเป็นผู้ที่จะหัวเราะในฉากสุดท้ายอีก ไยเขาต้องใส่ใจสถานการณ์ปัจจุบันของจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนด้วยเล่า
ค่าความเกลียดชัง 6 ดาว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสาปแช่งให้ตาย หลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
‘ไม่อาจปล่อยให้เขาผงาดขึ้นมาอีกครั้งหรือว่ามีโอกาสกลับตัวได้’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ ช่วงนี้ตบะเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย ได้เวลาถลุงอายุขัยเพื่อความสำราญสักหน่อยพอดี
เขาขังดวงจิตประหลาดไว้ในบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร จากนั้นจึงหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน
ห้าวันต่อมา
อายุขัยของหานเจวี๋ยจึงเริ่มลดลง
….
แดนเซียน ณ สวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในอุทยานหลวง
ฟางเหลียง จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนและต้าจิ่วเทียนนั่งล้อมวงกันอยู่หน้าโต๊ะศิลา ต้าจิ่วเทียนเผยใบหน้าจริงออกมาแล้ว หน้าตาราวกับบัณฑิต ทว่าร่างกายกำยำล่ำสันยิ่ง
“เรามีข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ปล่อยตัวจักรพรรดิสวรรค์ซะ” ฟางเหลียงเปิดปากเอ่ย
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนส่ายหน้าแล้วกล่าว “เดิมทีเขาก็แค่แสร้งตายอยู่แล้ว เราไม่ได้ทรมานเขาเลย ยามนี้เขาอยู่สุขสบายดี หากเจ้าไม่วางใจ เราจะให้พวกเจ้าได้พบหน้ากันสักครั้ง”
ฟางเหลียงพยักหน้าช้าๆ
เขามองไปที่ต้าจิ่วเทียน เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสามารถเป็นตัวแทนของนิกายฉ่านได้หรือไม่”
ต้าจิ่วเทียนกล่าวตอบ “ย่อมได้ เผ่ามนุษย์พุ่งทะยาน ต้านไม่อยู่แล้ว มหาเคราะห์ครั้งนี้แจ่มชัดแล้ว เป็นศึกระหว่างทวยเทพและมนุษย์แน่นอน เผ่ามนุษย์มีอริยะท่านอื่นยื่นมือไปถึงก่อนแล้ว วังสวรรค์ก็เป็นกลุ่มอิทธิพลที่ได้รับการสนับสนุนจากลัทธิเต๋า พวกเราไม่มีทางเลือกแล้ว”
แววตาฟางเหลียงวูบไหว รู้สึกทรมานใจนัก
ถึงอย่างไรเขาก็มาจากเผ่ามนุษย์เช่นกัน
ต้าจิ่วเทียนเอ่ยต่อไป “หากฝ่าบาทได้รับความช่วยเหลือจากพวกเราสองคน วังสวรรค์ต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน ถ้าหากเผ่ามนุษย์มีชัย ท่านคิดว่าเผ่ามนุษย์จะปฏิบัติต่อวังสวรรค์อย่างไรเล่า วังสวรรค์ยกโทษให้เผ่ามนุษย์ได้ แต่เผ่ามนุษย์ไม่มีทางทำได้”
ฟางเหลียงขวดคิ้ว เรื่องนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงยิ่ง และเป็นเรื่องจริง
เขาเคยสัญจรอยู่ในแดนมนุษย์ รู้ซึ้งถึงความชั่วร้ายของมนุษย์ดี
ถ้าหากเผ่ามนุษยีชัยเหนือวังสวรรค์ เทพเซียนจะไม่คงอยู่อีกต่อไป ต่อให้รอดไปได้ ก็คงอยู่ไปวันๆ เท่านั้น
หากปล่อยให้เทพเซียนตกเป็นทาสมนุษย์ เช่นนั้นจะยังเป็นเทพเซียนอยู่อีกหรือ
“หากวังสวรรค์มีชัย ได้รับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ ฝ่าบาทเป็นผู้ครอบครอง เผ่ามนุษย์ก็ยังมีทางรอดอยู่” ต้าจิ่วเทียนเอ่ยเกลี้ยกล่อมต่อไป
ฟางเหลียงถอนหายใจ รู้อยู่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายมีแผนร้าย แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย
วังสวรรค์ในปัจจุบันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในแดนเซียนล้วนจ้องจะโค่นล้มการปกครองที่ปกครองโดยเทพเซียนอยู่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงแม้จะไม่ได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง วังสวรรค์ก็จะเหลือแค่ชื่ออยู่ดี
ในฐานะจักรพรรดิ ฟางเหลียงจำเป็นต้องทำทุกวิถีทาง
ในขณะที่ฟางเหลียงกำลังลังเลอยู่นั้น จู่ๆ จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนก็กระอักเลือดออกมา พ่นกระเซ็นเป็นฝอยบนโต๊ะศิลาในทันใด ฟางเหลียงตกใจจนลุกขึ้นถอยหนี
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนรีบนั่งสมาธิ โคจรพลังสะกดพลังคำสาปแช่งอันแรงกล้าไว้
ต้าจิ่วเทียนขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการอีกแล้วหรือ”
ใบหน้าจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนซีดเผือด ตอบกลับว่า “นอกจากเขาจะยังมีผู้ใดอีก”
น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความอับจนหนทาง ยามนี้เขาถึงขั้นที่ไม่มีแม้กระทั่งความโกรธเกรี้ยว
เนื่องจากเขาเคยชินไปเสียแล้ว
ฟางเหลียงเอ่ยถาม “นิกายฉ่านทำนายไม่ได้หรือว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือผู้ใด”
ต้าจิ่วเทียนและจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนต่างก็เงียบเสียงลง
ถูกต้อง!
แม้แต่อริยะก็ทำนายไม่ได้!
นี่คือจุดที่น่ากลัวที่สุด
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนบังเกิดความสิ้นหวังขึ้นในใจอย่างไม่อาจควบคุมได้
การถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการตามตอแยเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะเผชิญหายนะจนถึงแก่ความตายไปวันไหน
ทันใดนั้น!
พลังคำสาปแช่งที่รุนแรงกว่าเดิมก็โถมเข้าโจมตี จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนหน้าเปลี่ยนสี รีบเอ่ยขึ้นว่า “รีบใช้พลังเวทของเจ้าช่วยสะกดมรรคผลข้าที!”
เมื่อต้าจิ่วเทียนได้ยิน พลันเคลื่อนกายไปอยู่ข้างหลังจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน ยกมือทาบลงบนแผ่นหลังของเขา
ในไม่ช้า ต้าจิ่วเทียนก็อดแสดงสีหน้าออกมาไม่ได้เช่นกัน
เขาไม่เคยถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่ง ดังนั้นในใจจึงมีข้อกังขามาโดยตลอด
คำสาปแช่งจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการน่ากลัวถึงเพียงนั้นจริงๆ น่ะหรือ
ยามนี้พอได้สัมผัสแล้ว…
ทรงพลังนัก!
‘คนผู้นั้นใช้อายุขัยในการสาปแช่งแน่นอน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขานำของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนมาเซ่นสังเวย ดังนั้นจึงทำการสาปแช่งหนึ่งครั้งต่อสิบปี’
ต้าจิ่วเทียนขมวดคิ้วครุ่นคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการช่างร้ายกาจนัก!
เปี่ยมความอำมหิตชั่วร้ายโดยแท้ อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด!
ฟางเหลียงมองอยู่ด้านข้าง สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของคนทั้งสอง ในสมองของเขามีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
หรือว่าสองคนนี้จะจนตรอกแล้ว เลยตั้งใจมาหลอกลวงเขา
………………………………………………………………