ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 417 มหาจักรพรรดิตื่นรู้ ที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวังสวรรค์
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 417 มหาจักรพรรดิตื่นรู้ ที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวังสวรรค์
ขณะที่บรรดาศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นกำลังล้อมวงพูดคุยอยู่รอบตัวหลี่ว์ฮว่าซวี หานเจวี๋ยก็สังเกตเห็นสถานการณ์ของหลี่ว์ฮว่าซวีแล้วเช่นกัน
เขาสัมผัสถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ตื่นขึ้นในส่วนลึกของวิญญาณหลี่ว์ฮว่าซวีได้
สี่ยอดมหาจักรพรรดิ ล้วนเป็นตัวตนระดับต้าหลัวทั้งสิ้น
หานเจวี๋ยเรียกดูค่าความสัมพันธ์ ตรวจสอบรูปประจำตัวของหลี่ว์ฮว่าซวี
[หลี่ว์ฮว่าซวี: ระดับเซียนแท้ไท่อี่ระยะต้น ดาวจักรพรรดิจื่อเวย ต้าหลัวกลับชาติมาเกิด เคยดำรงตำแหน่งหนึ่งในสี่ยอดมหาจักรพรรดิแห่งวังสวรรค์ กลับชาติมาเกิดพร้อมยอดสมบัติมรรคาสวรรค์หอกประกายม่วง หอกประกายม่วงก่อวิญญาณ ทั้งสองไม่อาจแยกจากกันได้ พรสวรรค์เลิศล้ำ ไม่ถึงสามร้อยปีก็บรรลุระดับเซียนพิภพไท่อี่ ปลุกมรรคผลแห่งดาวจักรพรรดิจื่อเวย ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 5 ดาว]
ด้วยฐานะศิษย์คนล่าสุดที่เข้าสู่สำนัก การที่เขาสามารถบรรลุระดับเซียนแท้ไท่อี่ระยะต้นได้ แสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์ของศิษย์สำนักซ่อนเร้นนั้นมีมากเพียงใด
หานเจวี๋ยเห็นว่าระดับของหลี่ว์ฮว่าซวียังไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่กังวลมากนัก
แม้ว่าหลี่ว์ฮว่าซวีจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นมหาจักรพรรดิจื่อเวยระดับเซียนทองต้าหลัว แต่หานเจวี๋ยก็ไม่กลัว
อีกอย่างหานเจวี๋ยกลายเป็นยอดฝีมือในระดับเซียนทองต้าหลัวแล้ว สององครักษ์ในอาณาเขตเต๋าก็มิใช่เล่นๆ เช่นกัน
หลี่ว์ปู้และหม่าเชา เทพสงครามพิทักษ์สำนัก!
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งปี หลี่ว์ฮว่าซวีตื่นขึ้นมาแล้ว
หลังจากหลี่ว์ฮว่าซวีตื่นขึ้นมาคล้ายกับว่าจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเลย ทุกคนซักถามเขา เขาก็เพียงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร แต่หลังจากนั้นความเร็วในการบำเพ็ญของเขาก็เพิ่มพูนขึ้น ทำให้ทุกคนตกตะลึง
ต่อจากมู่หรงฉี่และฉู่ซื่อเหริน ก็มีผู้ทรงพลังอีกท่านตื่นรู้ขึ้นมาอีกคนแล้ว
ด้วยการอธิบายจากฉู่ซื่อเหริน ทุกคนต่างทราบว่าหลี่ว์ฮว่าซวีคือมหาจักรพรรดิจื่อเวย หนึ่งในสี่ยอดมหาจักรพรรดิแห่งวังสวรรค์ นี่คือผู้ทรงพลังของปวงสวรรค์หมื่นโลกาอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากมีกรณีของบรรพชนพุทธภควัตเป็นแบบอย่างมาก่อน ทัศนคติที่ทุกคนมีต่อหลี่ว์ฮว่าซวีจึงมิได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะเหตุนี้
แต่ก่อนปฏิบัติต่อเขาอย่างไรก็ปฏิบัติไปตามนั้น โดยเฉพาะไก่คุกรัตติกาล เจ้าตัวนี้เป็นหัวโจกที่คอยรังแกหลี่ว์ฮว่าซวี ยิ่งฐานะของหลี่ฮว่าซวีเลิศล้ำมากขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น
การพุ่งทะยานขึ้นมาของหลี่ว์ฮว่าซวีทำให้การแข่งขันกันเองภายในสำนักซ่อนเร้นดุเดือดขึ้นมาอีกครั้ง
ในช่วงเวลาอันน่าเบื่อหน่าย ต้องมีการแข่งขันกันบ้าง ถึงจะน่าสนุก
….
ห้วงจักรวาลอันมืดมิด ใต้พฤกษาเก่าแก่เหนือหมู่เมฆ
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนกำลังโคจรพลังรักษาอาการบาดเจ็บ ใบหน้าของเขาซีดขาวอย่างยิ่ง คิ้วขมวดแน่น
เวลานี้เอง ต้าจิ่วเทียนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนแค่นเสียง เอ่ยขึ้นโดยไม่ลืมตาขึ้นมาแม้แต่น้อย “มาหาเราอีกทำไม”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจในตัวต้าจิ่วเทียน
ต้าจิ่วเทียนเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “เจ้านิกายมีคำสั่ง ให้เจ้าก้มหัวสวามิภักดิ์ต่อจักรพรรดิสวรรค์ เข้าสู่รายนามสถาปนาเทพซะ”
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนลืมตาขึ้นทันที ตะคอกออกมาด้วยความโกรธ “หมายความว่าอย่างไร คิดจะดูหมิ่นเราหรือ”
เขาเคยเป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์ ก่อนหน้านี้ก็เคยสะกดข่มวังสวรรค์มาก่อน ตอนนี้จะให้เขาไปเป็นลูกน้องของจักรพรรดิสวรรค์ฟาง นี่เป็นการดูหมิ่นเขาอย่างแน่นอน!
ต้าจิ่วเทียนกล่าวต่อไปว่า “เจ้าล้มเหลวแล้ว เหล่าอริยะทำนายได้ว่า ตัวเอกในมหาเคราะห์ครั้งนี้คือเผ่ามนุษย์และเทพเซียน หากเจ้าอยากต่อสู้ต่อ ก็ต้องเป็นเทพเซียนของวังสวรรค์เท่านั้น”
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนเอ่ยถาม “เหตุใดเราถึงเข้าร่วมกับเผ่ามนุษย์ไม่ได้”
ต้าจิ่วเทียนไม่ตอบ
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนรู้สึกโกรธเกรี้ยวอยู่ในใจ รู้ดีว่านี่คือแผนร้ายของอริยะ
เขาเป็นแค่หมากในมือของอริยะ มีสิทธิ์เลือกเสียที่ไหน
สมควรตายนัก!
พลาดไปนิดเดียวเท่านั้น!
หากมิใช่เพราะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนการของเขา ค่อยๆ กลืนกินมรรคาสวรรค์ไปทีละขั้นๆ เขาจะตกต่ำจนมีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร
ยิ่งคิดจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนก็ยิ่งรู้สึกคับข้องใจ ชิงชังเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจนถึงที่สุด
ต้าจิ่วเทียนเลือนหายไปจากจุดเดิม ทิ้งคำพูดไว้เพียงประโยคเดียว “เจ้าเหลือเพียงเส้นทางนี้เท่านั้น หากขัดความประสงค์ของเจ้านิกาย เจ้าน่าจะรู้จุดจบดี”
จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนโมโหจนทรวงอกกระเพื่อม
เขาไม่ได้บริภาษออกมา ได้แต่กัดฟันอดกลั้นไว้
“เป็นพวกเจ้าที่บีบคั้นเรา”
สองเนตรของจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนทอแววมืดมิดชั่วขณะหนึ่ง
….
ยี่สิบปีผ่านไป
เมื่อว่างเว้นจากการบำเพ็ญหานเจวี๋ยจะทำการสาปแช่งจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน พร้อมกับตรวจดูจดหมายไปด้วย
[โจวฝานสหายของท่านเข้าสู่วังสวรรค์ ดำรงตำแหน่งเทพเซียน ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[โม่ฟู่โฉวสหายของท่านเข้าสู่วังสวรรค์ ดำรงตำแหน่งเทพเซียน ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเข้าสู่วังสวรรค์ ดำรงตำแหน่งเทพเซียน ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[หานมิ่งสหายของท่านเข้าสู่วังสวรรค์ ดำรงตำแหน่งเทพเซียน ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[ต้วนหงเฉินสหายของท่านเข้าสู่วังสวรรค์ ดำรงตำแหน่งเทพเซียน ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[ฟางเหลียงศิษย์ของท่านได้รับคุณสมบัติกายเทพบรรพกาล พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญของท่านเข้าสู่วังสวรรค์ ดำรงตำแหน่งเทพเซียน ดวงชะตาเพิ่มพูน]
….
หานเจวี๋ยเบิกตากว้าง ตกใจจนเกือบทึ่มไปแล้ว
นี่มันบ้าอะไรกัน!
สหายเกินครึ่งเข้าร่วมวังสวรรค์งั้นหรือ
ฟางเหลียงไปได้มหาเสน่ห์มาจากที่ใดกัน
หานเจวี๋ยพิศดูอย่างละเอียด ก็พบว่าเซวี่ยหมิงเหอพาสำนักอันธการเข้าร่วมวังสวรรค์แล้วเช่นกัน
วังสวรรค์ที่เดิมทีปวกเปียกอ่อนแอกลับกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาทันที
นี่คือการเลือกข้างหรือ
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เซวี่ยหมิงเหอเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า
หานเจวี๋ยเข้าฝันเซวี่ยหมิงเหอทันที
เมื่อพบกันในความฝัน เซวี่ยหมิงเหอเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “เจ้าสำนัก ท่านทราบอยู่แล้วใช่ไหมขอรับ”
หานเจวี๋ยตอบ “อืม”
เซวี่ยหมิงเหอเอ่ยต่อว่า “ตัวเอกของมหาเคราะห์ก็คือเผ่ามนุษย์และวังสวรรค์ ท่านสนับสนุนวังสวรรค์มาตั้งแต่แรก ดังนั้นข้าจึงนำสำนักอันธการไปเข้าร่วมกับวังสวรรค์ คงไม่ได้ทำผิดพลาดไปใช่ไหมขอรับ”
หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย
นึกไม่ถึงเลยว่าที่พึ่งพาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวังสวรรค์ก็คือเขา
เวลานี้ หานเจวี๋ยไม่กล้าโต้แย้งแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือว่าวังสวรรค์ ก็ล้วนเป็นคนของเขาทั้งคู่ จะช่วยฝ่ายไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น
ถึงแม้หานเจวี๋ยจะเป็นเผ่ามนุษย์ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกับเผ่ามนุษย์ของที่นี่ ถึงอย่างไรชีวิตนี้เขาก็เคยอยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เท่านั้น คนที่รู้จักก็มีไม่มาก
“มีผู้อื่นติดต่อเจ้ามาหรือไม่” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม
เซวี่ยหมิงเหอกล่าวตอบ “มีขอรับ มีอริยะมาเข้าฝันข้า ให้ข้าเข้าร่วมวังสวรรค์ ตรงกับความคิดของข้าพอดี ดังนั้นข้าจึง…”
พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
ช้าก่อน
เจ้าสำนักจะเข้าใจผิดว่าเขาเกลือเป็นหนอนหรือไม่
เขาคุกเข่าลงด้วยความหวาดผวา เอ่ยขึ้นว่า “ใจข้าภักดีต่อเจ้าสำนัก มิแปรพักตร์ผันใจ ส่วนอริยะท่านนั้น ข้าไม่รู้เลยว่าเป็นผู้ใดกันแน่”
หานเจวี๋ยถามต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีอริยะอริยะกี่ท่าน”
เซวี่ยหมิงเหอหลงนึกว่าหานเจวี๋ยกำลังทดสอบตัวเองอยู่ ดังนั้นจึงตอบว่า “อริยะอริยะมรรคาสวรรค์ มีเก้าท่าน ชั่วนิรันดร์ไม่แปรผัน อย่างไรก็ตามตั้งแต่โบราณมามีผู้ทรงพลังอยู่หลายท่าน อยู่เหนือกว่ามรรคาสวรรค์ สรุปแล้วมีอริยะอยู่มากน้อยเพียงใด ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด บรรดาอริยะล้วนอยู่เหนือชั้นฟ้าที่สามสิบสามหรือไม่ก็แดนเทพหวนปัจฉิม”
หานเจวี๋ยยังคงไล่ต้อนต่อไป “เช่นนั้นต้าหลัวเล่า”
“จำนวนต้าหลัว ยากจะคาดเดาได้ ถึงอย่างไรมหาเคราะห์ก็เกิดขึ้นมามากกว่าสิบครั้งแล้ว…”
“เช่นนั้นเจ้ารู้จักแดนเทพหวนปัจฉิมหรือไม่”
“รู้ขอรับ ที่นั่นคือดินแดนเริ่มต้นของมรรคาสวรรค์ยุคบรรพกาล เนื่องจากในมหาเคราะห์ครั้งหนึ่ง อริยะได้ลงมือทำลายล้างโลก บรรพชนเต๋าจึงแบ่งแยกแดนบรรพกาลออกมา หลงเหลือเผ่าพันธุ์ต่างๆ เอาไว้ในแดนเซียน ณ ปัจจุบันนี้ มีเพียงผู้ทรงพลังเท่านั้นที่สามารถไปยังแดนเทพหวนปัจฉิม หลีกห่างจากมหาเคราะห์มรรคาสวรรค์”
“แดนเทพหวนปัจฉิมเลิศล้ำกว่าแดนเซียนมากหรือไม่”
“กล่าวได้ยาก แต่ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของอริยะ”
หานเจวี๋ยไม่ถามต่อแล้ว
เซวี่ยหมิงเหอพลันกระสับกระส่ายขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะนึกทบทวนคำพูดของหานเจวี๋ยอีกครั้ง
หรือว่าเจ้าสำนักกำลังตักเตือนเขา บอกเขาว่า เหนือคนยังมีคนเหนือฟ้ายังมีฟ้า
มีความเป็นไปได้สูง!
ต่อไปไม่อาจทำอะไรโดยพลการได้แล้ว ต้องรอให้เจ้าสำนักมาจัดการ
“อืม ก็เอาเช่นนี้เถอะ นับจากนี้เจ้าจงเชื่อฟังจักรพรรดิสวรรค์ฟาง จนกว่าข้าจะมีคำสั่งใหม่ให้เจ้า”
เมื่อพูดจบหานเจวี๋ยก็สลายความฝันทันที
หลังกลับสู่ความเป็นจริง หานเจวี๋ยไม่ได้ยุ่งเรื่องวังสวรรค์ต่อแล้ว
จากนั้น เวลาก็ผ่านไปอีกสิบแปดปี
หานเจวี๋ยได้ทราบผ่านทางจดหมายว่าหลงเฮ่าและตี้หล่านเทียนก็เข้าร่วมกับวังสวรรค์เช่นกัน…
เผ่ามนุษย์วิกฤติแล้ว!
………………………………………………………………