ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 434 ความสับสนของฟางเหลียง นิมิตฟั่นเฟือน
หลังจากปรับสภาพจิตใจแล้ว หานเจวี๋ยก็เริ่มดำเนินแบบจำลองการทดสอบ
คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอนว่าต้องเป็นหลี่เต้าคง
หลี่เต้าคงในแบบจำลองการทดสอบก่อนหน้านี้ คือหลี่เต้าคงฉบับก่อนตำหนักเอกอนันต์ ไม่แข็งแกร่งเท่ากับปัจจุบัน
หลังจากเวลาผ่านไปชั่วก้านธูป หานเจวี๋ยก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เขากล่าาวอย่างทอดถอนใจ “หลี่เต้าคง ข้ายอมเรียกเจ้าว่าต้าหลัวอันดับหนึ่งก็ได้!”
ชายผู้นี้แข็งแกร่งจริงๆ นอกจากวิชากระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว ยังมียอดสมบัติคุ้มกัน
หากไม่ได้วัชระเทพมารสามตน ก็คงเอาชนะเขาไม่ได้
หลี่เต้าคงไม่เพียงแต่เอาชนะได้ยาก เขายังสามารถทำร้ายหานเจวี๋ยได้อีกด้วย ต่างจากการต่อสู้ที่เขาเคยผ่านมาในอดีตอย่างสิ้นเชิง
หานเจวี๋ยในปัจจุบัน คู่ต่อสู้ในระดับครึ่งอริยะลงไปยากที่จะรับมือเขาได้
แม้จะเป็นครึ่งอริยะแต่ที่พอจะประมือกับเขาได้ก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ครึ่งอริยะไม่นับเป็นอริยะ คำเรียกขานต่างกันเพียงเล็กน้อยหากแต่ความสามารถกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
หานเจวี๋ยดำเนินแบบจำลองการทดสอบต่อไป หวังจะหาวิธีสังหารหลี่เต้าคงให้ได้ภายในพริบตา
วิธีการต่อสู้แตกต่างกัน เวลาที่ต้องใช้ย่อมต่างกันไปด้วย
ไม่ว่าใครล้วนมีจุดอ่อน ต่อให้ตบะจะสูงต่ำอย่างไรก็ตาม
ไม่กี่วันต่อมา
หานเจวี๋ยยังคงไม่อาจหาวิธีสังหารหลี่เต้าคงในชั่วพริบตาได้ เวลาที่สั้นที่สุดคือสามนาที
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของหานเจวี๋ยลุกโชนพร้อมกับเป้าหมายที่ต้องการจะสังหารหลี่เต้าคงให้ได้ภายในพริบตา
หลี่เต้าคงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ในขณะที่หานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้น หลี่เต้าคงเองก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน เรียกได้ว่าแข็งแกร่งขึ้นรวดเร็วราวกับติดปีก
หานเจวี๋ยไม่ได้ดำเนินแบบจำลองการทดสอบอีก แต่กลับหยิบแผ่นหยกที่ฟางเหลียงมอบให้ออกมาแทน
‘นี่คงไม่ใช่ชิ้นส่วนแผ่นหยกนำโชคของบรรพชนเต๋าหรอกกระมัง’
หานเจวี๋ยครุ่นคิดอย่างคาดหวัง ว่านี่จะเป็นของตอบแทนจากเต้าจื้อจุนตอนที่เขาช่วยเหลืออีกฝ่าย
จิตรับรู้ของเขาแทรกลงไปในแผ่นหยก พลันรู้สึกได้ถึงพลังยับยั้งที่คอยสกัดกั้นจิตของเขาอยู่
เขาพยายามทะลวงอย่างเต็มกำลัง แต่ก็ไม่สามารถทะลวงผ่านไปได้
มิน่าเล่าเต้าจื้อจุนถึงยกให้เขา ที่แท้ก็ไม่สามารถใช้ได้นี่เอง
หานเจวี๋ยจำต้องใช้ความสามารถวิวัฒนาการมาคำนวณ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
สามพันล้านปี? นี่มันทัดเทียมกับระดับของอริยะมรรคาสวรรค์แล้ว ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
อย่างไรก็ต้องคำนวณ!
ตัวอักษรเบื้องหน้าของหานเจวี๋ยเกิดการแปรเปลี่ยน ปรากฏเป็นคำบรรยายขึ้นมา
[หยกเทพหวนปัจฉิม: ยอดสมบัติมหามรรคที่ไม่สมบูรณ์ กล่าวกันว่าแดนเทพหวนปัจฉิมคือวิวัฒนาการของมหามรรค บรรพชนเต๋าเป็นผู้ครอบครองแดนเทพหวนปัจฉิม แทนที่มหามรรคด้วยมหามรรค จนกระทั่งมหามรรคกลายเป็นหยกเทพหวนปัจฉิมเจ็ดชิ้น สามารถฟื้นคืนมหามรรคและควบคุมแดนเทพหวนปัจฉิมได้]
‘หืม? นี่มันคือกุญแจไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้มันกลับไร้ประโยชน์เสียแล้วนี่สิ’
หานเจวี๋ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทำได้เพียงวางหยกเทพหวนปัจฉิมลง
เขาได้ยินเรื่องของแดนเทพหวนปัจฉิมมาหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยสนใจนัก
พูดให้ชัดเจนที่นั่นก็คือแดนเซียนแห่งหนึ่ง ธรณีประตูนั้นสูงลิ่ว อันตรายอย่างยิ่งยวด
หากหานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นอริยะ ถึงขั้นที่ไร้เทียมทานในแดนเซียน เมื่อนั้นเขาก็จะอยู่แต่ในแดนเซียนและไม่เหยียบย่างไปยังแดนเทพหวนปัจฉิมที่แกร่งกว่าเป็นอันขาด
กว่าจะฝึกบำเพ็ญในแผนที่หนึ่งจนถึงจุดสูงสุดได้ ยังไม่ทันได้ดื่มด่ำกับความสำเร็จ ก็ต้องไปสู่แผนที่ที่มีระดับสูงขึ้นอีกแล้ว แบบนี้ไม่เรียกว่ารนหาที่หรอกหรือ
ทุกครั้งที่หานเจวี๋ยอ่านนิยายแฟนตาซี จะเห็นตัวละครที่ต้องก้าวกระโดดสู่ระดับที่สูงขึ้นไม่มีหยุดหย่อน ทำเอาเขารู้สึกเหนื่อยใจแทน
ชีวิตคนเราใช่ว่าต้องดิ้นรนตลอดเวลาเช่นนั้นเสียเมื่อไร หาเรื่องใส่ตัวให้น้อยลงหน่อย อยากหยุดพักเมื่อไรก็สามารถทำได้
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญขณะที่ภายในใจก็คิดไปเรื่อยเปื่อย
เมื่ออายุมากขึ้น ก็มักจะคิดถึงสิ่งเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญในชาติภพก่อนขึ้นมาอยู่บ่อยๆ
บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่มีประสบการณ์ชีวิตในชาตินี้กระมัง มันทั้งน่าเบื่อ ทั้งไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับชีวิตมนุษย์ทั่วไป
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด กลับกันเขารู้สึกขอบคุณทุกย่างก้าวที่ตนได้ประสบมา
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการมีชีวิตอยู่อีกแล้ว!
…
พระราชวังเทียมเมฆา
เทพเซียนต่างมารวมตัวกัน บรรยากาศเคร่งเครียด
ฟางเหลียงนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สายตากวาดมองไปทั่วท้องพระโรง
แม่ทัพเทพสวรรค์ทำลายความเงียบด้วยการเอ่ยขึ้นว่า “วัชระของฝูซีเทียนอยู่ในระดับครึ่งอริยะ หากคิดจะต่อกรกับเขา ต้องขอความช่วยเหลือจากอริยะ หรือไม่ก็ต้องขอให้รองเจ้านิกายจากสำนักต่างๆ มาช่วยเหลือ”
เทพเซียนออกความเห็นกันไปต่างๆ นานา
“ฝูซีเทียนเสียแรงที่เป็นถึงอริยะ ที่แท้ก็ลงมือเองหรือนี่!”
“ปัดโธ่ เขาเป็นถึงวัชระอริยะ ครึ่งอริยะทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
“นี่มันเกินไปแล้ว”
“วังสวรรค์มีอริยะคอยสนับสนุนอยู่ไม่ใช่หรือ”
“หากต้องการกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็ต้องกำราบฝูซีเทียน!”
เมื่อได้ฟังความเห็นของเหล่าเทพเซียนทั้งหลาย ฟางเหลียงไร้ซึ่งคำตอบโต้
เขามองไปทางหลี่เต้าคง
หลี่เต้าคงกล่าวอย่างใจเย็น “ศิษย์น้อง เจ้าจงมุ่งหน้าไปเชิญผู้อาวุโสแห่งนิกายเหรินให้มาช่วยเหลือเถิด”
หลี่เสวียนเอ้าขมวดคิ้ว แม้จะรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์นักแต่ก็ยอมจากไปแต่โดยดี ต่อหน้าธารกำนัล หลี่เต้าคงก็ยังจิกหัวใช้เขาเป็นว่าเล่น ช่างไม่รู้จักไว้หน้ากันบ้างเสียเลย ‘เหตุใดเจ้าไม่ไปเชิญเองเล่า’
หลังจากที่หลี่เสวียนเอ้าจากไปแล้ว เหล่าเทพเซียนต่างก็โล่งใจ
ในที่สุดก็มีคนออกหน้าแทน คราวนี้พวกเขาก็ไม่ต้องออกไปรนหาที่ตายแล้ว
“แนวหน้าหยุดโจมตี รอจนกว่าผู้ทรงพลังแห่งนิกายเหรินจะมา!” ฟางเหลียงกล่าวพลางสะบัดแขนเสื้อ
เหล่าเทพเซียนต่างแสดงการคารวะ จากนั้นก็ทยอยจากไปทีละคน ในไม่ช้าก็เหลือเพียงฟางเหลียงและหลี่เต้าคงอยู่ในท้องพระโรง
ฟางเหลียงจ้องมองหลี่เต้าคง สีหน้างงงวย
หลี่เต้าคงเอ่ยถาม “อาจารย์ปู่ของเจ้าอยู่ที่ใดกัน เจ้าเชิญเขามาได้อย่างไร”
ฟางเหลียงไม่เอ่ยตอบอันใด
หลี่เต้าคงพูดต่อ “ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่อยากเรียนรู้จากเขา ข้าประทับใจในตัวเขาอย่างยิ่ง พูดกันตามตรง ข้าไม่เคยสนใจใครมากเช่นนี้มาก่อน หากได้เป็นคนสนิทของเขาคงจะดีไม่น้อย เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่ ”
ฟางเหลียงสบถในใจ ‘ดีกับผีน่ะสิ! คิดว่าเราอยากจะผูกมิตรไมตรีกับนิกายเหรินอย่างพวกเจ้าหรือ’
ฟางเหลียงยิ้มออกมาอย่างจนใจ “เราไม่ทราบจริงๆ เราทำได้เพียงใช้พลังวิเศษเชิญอาจารย์ปู่มาเท่านั้น หากแต่ไม่อาจสัมผัสถึงตัวอาจารย์ปู่ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าอาจารย์ปู่จะมาหรือไม่นั้น เราเองก็ไม่อาจไปบังคับท่านได้”
หลี่เต้าคงขมวดคิ้ว
เขาลืมกระบี่นั้นของหานเจวี๋ยไม่ลง แม้จะดูสะเปะสะปะ แต่ก็อัดแน่นด้วยความรู้สึกที่น่าเกรงขาม!
ในบรรดามรรคกระบี่ทั้งหลาย นอกจากอริยะแล้ว เขาก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้มาก่อน
เขารู้สึกตื่นเต้นมาก ต้องการจะร่ำเรียนมรรคกระบี่อีก
ฟางเหลียงกล่าว “รอให้มหาเคราะห์สิ้นสุดลงแล้วค่อยไปเยี่ยมเยือนอาจารย์ปู่เถิด เจ้าน่าจะเข้าใจว่าอาจารย์ปู่ของเรากำลังเลี่ยงเคราะห์กรรมอยู่ คงไม่อาจติดต่อกับเจ้าได้”
หลี่เต้าคงทำได้เพียงยอมแพ้ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
เมื่อเขาจากไปแล้ว ดวงตาของฟางเหลียงก็เต็มไปด้วยความสับสน
‘ตกลงแล้วอาจารย์ปู่มีตัวตนอย่างไรกันแน่ แรกเริ่มเดิมทีเราคิดจะส่งโอกาสวาสนาไปให้ท่าน แต่กลับถูกมหามรรคโชคชะตาขัดขวางเอาไว้ หรือว่าท่านจะสามารถควบคุมอดีตและอนาคตของตนเองได้?’ ฟางเหลียงครุ่นคิดอย่างเงียบงัน
หลายครั้งที่เขาวิญญาณข้ามสู่บรรพกาล เปลี่ยนแปลงผู้ทรงพลังมากมาย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเหล่าอริยะ แต่กลับไม่อาจส่งผลกระทบต่อหานเจวี๋ยได้ นั่นมันความหมายว่าอย่างไรกัน?
หมายความว่าอย่างน้อยหานเจวี๋ยก็ต้องเป็นอริยะ หรือไม่ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น
ฟางเหลียงอดสงสัยในมรรคจิตของตนเองไม่ได้ การที่เขาออกมาเผชิญโลกตัวคนเดียวเช่นนี้มันจำเป็นจริงๆ หรือหากติดตามหานเจวี๋ยต่อไปจะดีกว่าหรือไม่
พึงรู้ว่าหากหานเจวี๋ยไม่เปลี่ยนชะตาชีวิตเพื่อเขา เขาก็ไม่มีทางกลายเป็นบุตรแห่งฟ้าดิน หรือแม้แต่ได้ความรับสนใจจากอริยะได้
ยิ่งคิดฟางเหลียงก็ยิ่งรู้สึกสับสน
เขาคิดถึงมู่หรงฉี่ ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปที่พบมู่หรงฉี่ ระหว่างเขาสองคนใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน
…
ในระหว่างที่หานเจวี๋ยบำเพ็ญ เวลาก็ล่วงเลยไปอีกสามสิบปี
อยู่มาวันหนึ่ง
[หลี่มู่อีต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
‘อีกแล้วหรือ?’
หานเจวี๋ยเลือกที่จะไม่สนใจ
[หลี่มู่อีต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
หลังจากนั้น ข้อความดังกล่าวก็โผล่ขึ้นมาไม่หยุด
หานเจวี๋ยจำยอมแต่โดยดี ‘เจ้าเด็กนี่วอนหาเรื่องอย่างนั้นสินะ?’
แต่ในทางกลับกัน หากเขาตอบรับแดนความฝัน จะถือเป็นการเปิดเผยอาณาเขตเต๋าหรือไม่
หานเจวี๋ยตัดสินใจวิวัฒนาการดู
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการ!
[อาณาเขตเต๋าตั้งอยู่ในแดนต้องห้ามอันธการ อริยะไม่อาจแกะรอยได้ แม้จะมีพลังวิเศษในการเข้าฝันแต่ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน]
…………………………………