ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 476 พื้นที่สามเมือง ความหวาดกลัวของเหล่าอริยะ
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 476 พื้นที่สามเมือง ความหวาดกลัวของเหล่าอริยะ
ตำแหน่งอริยะ!
ดวงตาเจียงตู๋กูลุกวาบ
ตบะเขามาถึงระดับนี้แล้ว สิ่งที่เขาแสวงหามิใช่อำนาจ มิใช่สิ่งของนอกกาย มีเพียงตำแหน่งอริยะ!
หานเจวี๋ยที่ฟังอยู่ด้านข้างมีสีหน้าแปลกพิกล
เสียงนี้ดูเหมือนจะเป็นหลี่มู่อี
ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยเคยวิวัฒนาการถึงอริยะอยู่หลายครั้ง จึงจดจำเสียงของอริยะบางส่วนได้
หลี่มู่อีเจ้าเล่ห์จริงๆ ตำแหน่งอริยะอยู่ในมือเจ้าแม่หนี่ว์วาชัดๆ แม้แต่คนของตนก็ยังหลอกได้
เจียงตู๋กูสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง ก่อนเอ่ย “ได้! ข้าเข้าใจแล้ว!”
จากนั้นเงาแสงก็สลายตัวไป
ภาพลวงตาวิวัฒนาการพังทลายลงตรงนี้ จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับคืนสู่ความเป็นจริง
ในหมู่ชาวสำนักซ่อนเร้น มีเพียงเต้าจื้อจุนที่ได้รับบาดเจ็บ หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย ทราบว่าเผ่าเอกายังอยู่ครบถ้วน
เขาเริ่มรู้สึกลังเล
จะล้างแค้นเจียงตู๋กูดีหรือไม่
ไม่ได้การแล้ว!
จำเป็นต้องล้างแค้น!
ถึงแม้จะเป็นสหาย แต่จะมาทำร้ายศิษย์ของข้าไม่ได้!
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งเจียงตู๋กู
หลังจากสาปแช่งเจียงตู๋กูอยู่ห้าวัน หานเจวี๋ยก็สาปแช่งหลี่มู่อีต่อ
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเล่ห์กลของจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้
หานเจวี๋ยไม่ได้ลงแรงสาปแช่งจนมากเกินไป คนละห้าวันเพื่อเป็นการตักเตือน
งานเลี้ยงวังสวรรค์ มัจฉามังกรปนเป หานเจวี๋ยไม่กลัวว่าจะถูกจับได้
….
เวลาล่วงเลยไปอีกสามสิบหกปี ในที่สุดพวกมู่หรงฉี่ก็กลับมา อาการบาดเจ็บของเต้าจื้อจุนก็ฟื้นตัวแล้ว
ทั้งสามมาพบหานเจวี๋ย
มู่หรงฉี่บอกเล่าถึงพื้นที่ดินแดนที่สำนักซ่อนเร้นได้รับการจัดสรรก่อน ได้พื้นที่มาทั้งหมดสามเมือง เขตเซียนร้อยคีรีก็อยู่ที่ในพื้นที่ของเมืองหนึ่งในสามนั้นด้วย หนึ่งเมืองของแดนเซียนนั้นใหญ่โตกว่าโลกเขย่าพิภพมากนัก
สำหรับอาณาเขตดินแดนที่สำนักซ่อนเร้นได้รับไม่นับว่ามากที่สุด เทียบกับสามนิกายสำนักเต๋า สำนักพุทธและวังสวรรค์ไม่ได้เลย แต่ก็ไม่นับว่าน้อยเช่นกัน
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ไม่เลวเลย เพียงแต่การจัดสรรนี้ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายผู้อ่อนแอก็ตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งอยู่ดี แต่ละฝ่ายจะต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน”
มู่หรงฉี่พยักหน้า เอ่ยรับ “เป็นเช่นนี้จริงๆ แต่อย่างน้อยพวกเรามีอาณาเขตดินแดนเป็นของตัวเองอย่างชอบธรรมแล้ว ใช่แล้ว ในงานเลี้ยงเผ่าสวรรค์ครั้งนี้มีผู้ทรงพลังนิกายเหรินเข้ามาโจมตี โชคดีที่ผู้ทรงพลังที่อยู่เบื้องหลังเผ่าสวรรค์ออกโรง”
เต้าจื้อจุนก่นด่า “สารเลว นับว่าเขาหนีได้เร็วนัก!”
เจียงอี้เอ่ยหยอกเย้า “ตัวเจ้ายืนกรานจะออกไปแสดงความสามารถ ผลสุดท้ายกลับปล่อยให้ผู้อื่นแสดงพลังเสียได้ น่าขายหน้าจริงๆ”
เต้าจื้อจุนถลึงตาใส่เขาด้วยความขุ่นเคือง
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “หลี่เต้าคงไม่ไปหรือ”
มู่หรงฉี่ส่ายหน้าพลางตอบ “ไม่ขอรับ ได้ยินว่าหลี่เต้าคงหายตัวไปสักพักแล้ว ดูเหมือนนิกายเหรินเตรียมจะคัดเลือกศิษย์ใหญ่และศิษย์รองคนใหม่”
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว
จะว่าไป เขาก็สงสัยในนิกายเหรินยิ่งนัก
แรกเริ่มเดิมที เขาคิดว่านิกายเหรินมีศิษย์เพียงสองคน ต่อมาถึงได้ทราบว่ามีศิษย์อย่างเจียงตู๋กูอยู่ด้วย
หรือจะเป็นเช่นเดียวกับสำนักซ่อนเร้น มีเพียงคนส่วนน้อยที่นับว่าเป็นศิษย์หลัก
“พวกเจ้าไปได้แล้ว ฝึกบำเพ็ญกันให้ดี” หานเจวี๋ยหลับตาลงพลางเอ่ย
ทั้งสามคนทำความเคารพแล้วออกไปทันที
ส่วนพื้นที่สามเมือง หานเจวี๋ยขณะนี้ยังไม่คิดจะจัดการมาก
ก่อนจะพิสูจน์มรรคได้ เขาไม่มีทางออกจากอาณาเขตเต๋าแน่
หลังจากพวกมู่หรงฉี่กลับมา ศิษย์คนอื่นๆ ต่างมารายล้อมต้อนรับ ซักถามเรื่องงานเลี้ยงเผ่าสวรรค์
งานเลี้ยงเผ่าสวรรค์เทียบได้กับงานชุมนุมระดับสูงของแดนเซียนในปัจจุบันนี้ เป็นฉากจำลองโครงสร้างของแดนเซียนรวมถึงปวงสวรรค์หมื่นโลกาในอนาคต
….
ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ภายในตำหนักหลังหนึ่ง
หลี่มู่อี เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย เทพสูงสุดหนานจี๋และอริยะจินอันมารวมตัว นั่งประจันหน้ากัน
“จริงหรือ” เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยขมวดคิ้วพลางถาม
หลี่มู่อีตอบอย่างสงบ “มิผิด ถึงแม้จะทำร้ายข้าไม่ได้ แต่เป็นการสาปแช่งจริงๆ ข้าก็ทำนายไม่ได้เช่นกันว่าเป็นผู้ใด”
เทพสูงสุดหนานจี๋แค่นเสียง “ดูเหมือนอริยะมิ่งจีจะพูดถูก มีการเล่นเล่ห์ในหมู่อริยะ!”
ไม่ง่ายเลยกว่ามหาเคราะห์จะสิ้นสุดลง กลับมีอริยะที่จับจ้องอริยะรายอื่นด้วยเจตนาชั่วร้าย!
มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่เปรียบเสมือนดาบคมกริบที่แขวนอยู่เหนือศีรษะเหล่าอริยะ
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการคิดจะทำอะไรกันแน่
กำจัดอริยะทั้งหมด ครอบครองมรรคาสวรรค์เพียงผู้เดียว เหมือนบรรพชนเต๋าเมื่อครั้งอดีตหรือ?
เหตุใดบรรพชนเต๋าถึงแข็งแกร่งมาโดยตลอด ก็เพราะไม่มีผู้ใดมาต่อสู้แย่งชิงกับเขาอย่างไรเล่า!
นับตั้งแต่บรรพชนเต๋าสำเร็จเป็นอริยะ ไม่มีผู้ใดสามารถไล่ตามเขาทัน
หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ถึงได้ปรากฏอริยะมรรคาสวรรค์รายที่สองขึ้น และหลังจากนั้นภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็มีอริยะมรรคาสวรรค์ห้าคนทยอยกันปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้หกอริยะต่อสู่แก่งแย่งกันเอง ไม่อาจสงบใจฝึกบำเพ็ญได้
ในใจของเหล่าอริยะต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำอื่นแฝงอยู่เสมอมา
อริยะจินอันเอ่ยขึ้น “หากว่าพวกเราไม่สามารถทำนายถึงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการได้ มิใช่ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเราหรอกหรือ อริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้คือผู้ใดเล่า”
เทพสูงสุดหนานจี๋หรี่ตาพลางกล่าวว่า “อริยะมิ่งจี”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมา “ไม่อาจคลายข้อสงสัยไปจากตัวเขาได้จริงๆ ถึงอย่างไรเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็สาปแช่งเขาเป็นคนแรก หากอยู่สถานการณ์โดยทั่วไป ย่อมต้องเริ่มลงมือกับผู้ที่อ่อนแอที่สุดก่อน”
หลี่มู่อีเอ่ยเสริม “แม้ว่าข้าจะมิใช่อริยะมรรคาสวรรค์ แต่ตบะของข้าพอๆ กับอริยะมิ่งจี ข้าเพียงอยากก่อตั้งมรรคาสวรรค์อีกวิถีหนึ่งขึ้นเท่านั้น ระยะนี้โลกต่างๆ วุ่นวายยิ่งนัก มีตัวตนลึกลับคอยกระตุ้นดวงจิตอัปมงคลในแดนต้องห้ามอันธการ”
เมื่ออริยะอีกสามท่านได้ฟังก็อดไม่ได้ที่ใคร่ครวญดูเงียบๆ
ท่ามกลางความมืด ราวกับมีมือใหญ่ข้างหนึ่งคอยชักใยทุกอย่าง แม้แต่อริยะก็ยังรู้สึกสับสนงงงวย
จู่ๆ อริยะจินอันก็เอ่ยขึ้นว่า “บรรพชนเต๋าหายตัวไป จะเป็นแผนการอย่างหนึ่งด้วยหรือไม่ ตัวตนระดับเขาจะถูกมรรคาสวรรค์กลืนกินได้อย่างไรกัน”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยเตือนว่า “ระวังปากด้วย”
หลี่มู่อีกล่าว “หาตัวเจ้าแดนต้องห้ามอันธการให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ข้ารู้สึกว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจ้องจะชิงตำแหน่งอริยะที่เหลืออยู่ของหนี่ว์วา มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาสามารถควบคุมปราณม่วงอนธการได้แล้ว”
สีหน้าของเหล่าอริยะล้วนย่ำแย่ลง
….
ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไป ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน เขตเซียนร้อยคีรีคึกคักขึ้นกว่าเดิม
นับตั้งแต่งานเลี้ยงเผ่าสวรรค์จบลง สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายุคสมัยใหม่กำลังจะมาถึง
เขตเซียนร้อยคีรีก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน
ในช่วงหนึ่งพันปีมานี้ สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าที่ถือกำเนิดใหม่ในเขตเซียนร้อยคีรีเพิ่มขึ้นจะแตะหลักร้อยแล้ว
พันปีผ่านไป ตบะของหานเจวี๋ยรุดหน้าไปอีกมากโข
เข้าใกล้ระดับอริยะระยะกลางเข้าไปเรื่อยๆ
หานเจวี๋ยรู้สึกลำพองใจขึ้นมา
เขารู้สึกว่าตนอาจจะพิสูจน์มรรคได้ภายในหมื่นปี
ไม่แน่ว่าก่อนที่มหาเคราะห์ครั้งถัดไปจะมาถึง ตนคงจะอยู่เหนือกว่าอริยะระดับมรรคาสวรรค์ไปแล้ว
เมื่อถึงเวลานั้นขณะที่เหล่าอริยะวางแผนเล่นงานเขาลับหลัง เขาจะปรากฏตัวขึ้นตรงๆ ทำให้เหล่าอริยะตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ลุกพรวดขึ้นมาอย่างร้อนรน
เมื่อถึงเวลานั้น หานเจวี๋ยจะเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ทั้งหมดจงนั่งลงให้ข้าซะ!”
แค่คิดถึงฉากนี้หานเจวี๋ยก็รู้สึกเบิกบานอย่างยิ่งแล้ว
ในช่วงฝึกบำเพ็ญอันน่าเบื่อหน่ายต้องมีการเสริมสร้างจินตนาการกันบ้าง เพื่อเพิ่มเป้าหมายจูงใจให้ตนเอง
รอจนตบะของหานเจวี๋ยบรรลุถึงระดับนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะต้องทำเช่นนั้น
แต่มีข้อหนึ่งที่มั่นใจได้เลยว่า ผู้ใดกล้าวางแผนปองร้ายหานเจวี๋ย ขอเพียงหานเจวี๋ยแข็งแกร่งกว่าเขาได้ เขาต้องตายแน่นอน
แม้หานเจวี๋ยจะขี้ระแวง แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องสังหารกลับเด็ดขาด ไม่เคยปรานีต่อศัตรูเลย!
ในวันนี้เอง
ถัดจากหานตั้วเทียน ได้มีสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าแปลงกายเป็นรายที่สองแล้ว
หานตั้วเทียนพาเขาไปคารวะคนนั้น เยี่ยมเยือนคนนี้อยู่ทั้งวัน ราวกับกำลังโอ้อวดอยู่
ไก่คุกรัตติกาลดูแคลนเขายิ่งนัก มักจะหาเรื่องเขาอยู่เสมอ
นี่เป็นเพียงภาพจำลองของชนชั้นต่ำต้อยที่สุดในสำนักซ่อนเร้นเท่านั้น
หลายเดือนต่อมา เต้าจื้อจุนมาหาหานเจวี๋ย
“อาจารย์ ข้าอยากพิสูจน์ต้าหลัว!” เต้าจื้อจุนกล่าวด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
ในฐานะผู้พิสูจน์ต้าหลัวอับดับแรกในหมู่ศิษย์สำนักซ่อนเร้น เขามีสิทธิ์ที่จะรู้สึกมั่นใจ
หานเจวี๋ยยิ้มด้วยความพอใจ ในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง
“หากเจ้าต้องการ เจ้าก็พิสูจน์เถิด”
“ข้ารู้สึกเหมือนยังขาดอะไรบางอย่างไป”
“โอ้ คุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลยังขาดตกบกพร่องไปอีกหรือ”
“แค่กๆ คุณสมบัติร่างกายก็เป็นการฝึกบำเพ็ญอย่างหนึ่ง ระดับต้าหลัว จำเป็นต้องตระหนักรู้ผ่านวิญญาณขอรับ”
………………………………………………………………