ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 507 ขับเสือไปกินหมาป่า ปะทะยอดผู้แข็งแกร่งแห่งแดนเซียน
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 507 ขับเสือไปกินหมาป่า ปะทะยอดผู้แข็งแกร่งแห่งแดนเซียน
หลังจากกล่อมหลี่เต้าคงไป หานเจวี๋ยถามในใจ ‘อริยะคิดจะเข้าสู่โลกเพื่อสังหารข้าใช่หรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสี่พันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ใช่]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เป็นอย่างที่หลี่เต้าคงคาดไว้จริงๆ
เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา ตัดสินใจว่าจะสร้างปัญหาให้กับอริยะ
ไม่อาจสาปแช่งหลี่มู่อีหรืออริยะนิกายฉ่านตรงๆ ได้ ต้องหาทางขับเสือไปกินหมาป่า[1]
ได้การแล้ว!
หานเจวี๋ยตัดสินใจสาปแช่งฉิวซีไหล ไม่จำเป็นต้องลงแรงมาก แค่ขู่ให้ตกใจก็พอ
ในฉากหน้า เขาและฉิวซีไหลยังมีสัมพันธไมตรีต่อกัน ฉิวซีไหลไม่มีทางนึกสงสัยในตัวเขา มีแต่จะสงสัยอริยะรายอื่น
อริยะฝ่ายหลี่มู่อีก็ไม่มีทางสงสัยหานเจวี๋ยเช่นกัน พวกเขาคิดจะจัดการหานเจวี๋ยอยู่ หากเวลานี้หานเจวี๋ยไปหาเรื่องอริยะรายอื่นอีก ดูไม่เข้าท่าเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ หานเจวี๋ยจึงเริ่มสาปแช่งฉิวซีไหล
ห้าวันต่อมา อายุขัยของเขาเริ่มลดลง
สาปแช่งแค่ห้าวัน เล่นงานน้อยเกินไปก็ไม่มีความหมาย
อย่างน้อยๆ ถ้าจะสาปแช่งให้อีกฝ่ายรู้สึกหงุดหงิดใจ คงต้องใช้อายุขัยประมาณหนึ่งล้านล้านปีถึงสิบล้านล้านปี
หานเจวี๋ยคิดว่าตนใช้อายุขัยสามล้านล้านปีก็น่าจะพอประมาณแล้ว
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม มหาตำหนักตะวันตก
ฉิวซีไหลขมวดคิ้วแน่น
เขาถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธนการหมายหัวอีกแล้ว!
ครั้งนี้ เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าพลังคำสาปแช่งของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการทรงพลังกว่าก่อนหน้านี้มาก
เขานึกถึงสภาพน่าอนาถของอริยะมิ่งจี อดใจสั่นขึ้นมาไม่ได้
‘เป็นใครกันแน่’
แววตาฉิวซีไหลวูบไหว เจ้าแดนต้องห้ามอันธการต้องเป็นหนึ่งในอริยะมรรคาสวรรค์แน่ นี่คือข้อเท็จจริงที่ประจักษ์กันในหมู่อริยะแล้ว นอกจากพวกเขา ก็เหลือแค่ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง แต่ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนี้
ฉิวซีไหลเริ่มย้อนทบทวนเรื่องราวในระยะนี้ รู้สึกว่าหลี่มู่อีมีความเป็นไปได้มากที่สุด
ก่อนหน้านี้หลี่มู่อีให้เขาไปควบคุมหานเจวี๋ย แต่ถูกเขาปฏิเสธ
แต่เหตุผลนี้เด่นชัดเกิดไป ถ้าเขาเป็นหลี่มู่อี ไม่มีทางสาปแช่งตนตรงๆ แน่
ในหมู่อริยะ หลี่มู่อีขึ้นชื่อลือชาเรื่องความมากเล่ห์เจ้าแผนการ
ถึงมิใช่หลี่มู่อี แต่ก็เป็นไปได้ว่าหลี่มู่อีอาจเป็นผู้บงการ
ฉิวซีไหลนึกสงสัยสามนิกายสำนักเต๋ามาโดยตลอด สำนักเต๋าเป็นสำนักฝ่ายธรรมะ คิดจะกำจัดอริยะ ก็ได้แต่ลงมือสาปแช่งเช่นนี้
หรือจะเป็นเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย
ไม่ถูกสิ!
เทพสูงสุดหนานจี๋!
คนผู้นี้เขม่นเขาเป็นที่สุด
อริยะจินอันก็มีความเป็นไปได้ คนผู้นี้สงบนิ่งไม่เผยท่าที คาดเดาได้ยาก
ฉิวซีไหลถึงขั้นที่หวาดกลัวอริยะจินอันยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเขาไม่รู้จุดอ่อนของอริยะจินอันเลย หลี่มู่อีแม้จะแข็งแกร่ง แต่ห่วงหน้าตาเกินไป จัดการได้ง่ายยิ่ง
พลังคำสาปแช่งยังคงทวีคูณขึ้น ยิ่งคิดฉิวซีไหลก็ยิ่งรู้สึกโมโห ความเป็นปรปักษ์เพิ่มพูน
…..
หลังจากเสียอายุขัยไปสามล้านล้านปี หานเจวี๋ยวางหนังสือแห่งความโชคร้ายลง รู้สึกพอใจยิ่งนัก
เขาคิดไปคิดมา เริ่มสาปแช่งมหาจักรพรรดิเซียวต่อ
นอกจากสามนิกายสำนักเต๋าแล้ว ที่เหลือล้วนโดนสาปแช่งคนละนิดละหน่อย เช่นนี้สิถึงจะชักภัยสู่บูรพา[2]ได้ ให้ทุกคนสงสัยสำนักเต๋า
เขาเสียอายุขัยไปอีกสามล้านล้านปี
เช่นนี้คงสมดุลแล้วกระมัง
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ จากนั้นจึงเก็บหนังสือแห่งความโชคร้าย
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น หานเจวี๋ยก็อดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้
ดีจริงๆ
หวังว่าพวกเจ้าจะสู้กันในเร็ววัน!
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา จากนั้นฝึกบำเพ็ญต่อไป
ฉิวซีไหลและมหาจักรพรรดิเซียวล้วนไม่ใช่คนที่ตอแยได้ง่ายๆ พวกเขาจะต้องไปสร้างปัญหาให้อริยะรายอื่นแน่ เมื่อทั้งสองร่วมมือวางแผน ในไม่ช้าต้องนึกสงสัยอริยะจากสามนิกายแน่
เวลาไหลไปอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปปีแล้วปีเล่า
สำนักซ่อนเร้นมีคนฝ่าทะลวงระดับอยู่ทุกปี จำนวนศิษย์ในนามก็เกินล้านแล้ว ซ้ำยังเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย
กล่าวได้ว่า ความสามารถในการสืบทายาทของศิษย์ในนามเหล่านี้แกร่งกล้ายิ่งนัก ใกล้จะเทียบเท่าเผ่ามนุษย์แล้ว หานตั้วเทียนตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ จึงรีบระงับยับยั้ง
สามร้อยปีผ่านไป
สำนักซ่อนเร้นปรากฏบุคคลโดดเด่นรายหนึ่ง วานรแขนยักษ์!
ในงานประลองใหญ่ประจำศตวรรษเขาผงาดขึ้นมารวดเร็วยิ่ง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นศิษย์ของหลี่เสวียนเอ้า มีคุณสมบัติเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบ ตัวตนของเขาก็ได้รับการยอมรับจากศิษย์คนอื่นๆ แล้ว ทุกคนคุ้นเคยกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของเหล่าศิษย์ในนามเขาเปรียบเสมือนดวงดาวรุ่งโรจน์ เหล่าศิษย์ในนามส่วนใหญ่ล้วนนับถือเขายิ่งนัก
หานเจวี๋ยทราบถึงเรื่องนี้ เดาได้ว่าหลี่เสวียนเอ้าต้องคอยผลักดันวานรแขนยักษ์อยู่เบื้องหลังแน่ แต่เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ยิ่งวานรแขนยักษ์เก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ หน้าไพ่ของสำนักซ่อนเร้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จะให้มีคนเก่งกาจอยู่แค่ไม่กี่คนไปตลอดคงไม่ได้
หานเจวี๋ยถึงขั้นที่ให้การสนับสนุนต่อแนวทางเช่นนี้ยิ่งนัก หวังว่าเหล่าศิษย์รุ่นที่สองจะสามารถบ่มเพาะศิษย์ที่ทำให้คนเคารพนับถือออกมาได้
ในวันนี้
ขณะที่หานเจวี๋ยลุกขึ้นเตรียมออกไปแสดงธรรม พลันรับรู้ถึงกลิ่นอายประการหนึ่งที่กำลังมุ่งเข้าโจมตีเขตเซียนร้อยคีรีอย่างรวดเร็ว
แข็งแกร่งยิ่ง!
แข็งแกร่งกว่าครึ่งอริยะทั้งหมดที่เขาเคยพบพาน!
เขาเพ่งสายตามองออกไป เห็นเงาร่างนักพรตเต๋าใหญ่ยักษ์ร่างหนึ่งทะยานขึ้นมาจากขอบฟ้า เมื่อพินิจให้ละเอียด มิใช่ว่าทะยานขึ้นมา แต่อีกฝ่ายกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมื่ออยู่เบื้องหน้านักพรตเต๋าคนนี้ ทุกสิ่งในโลกาล้วนเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยๆ เขาคงสูงถึงล้านจั้ง ถึงขั้นที่อาจจะมากกว่านั้น
เส้นผมเขาสีขาวโพลน สวมชุดนักพรตเต๋าสีน้ำเงิน แววตาคมกล้า ราวกับสามารถมองทะลุสรรพสิ่งในโลกได้ สายตาเขามองมาที่เขตเซียนร้อยคีรี หานเจวี๋ยมองออกไป รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองตนอยู่
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบทันที
[บรรพจารย์ซานชิง: ครึ่งอริยะขั้นสมบูรณ์ ยอดผู้แข็งแกร่งแห่งแดนเซียน]
ตูม!
บรรพจารย์ซานชิงฟาดฝ่ามือลงบนห้วงอากาศเหนือเขตเซียนร้อยคีรี ห้วงอากาศพลันบิดเบี้ยว เกิดเป็นรอยบุ๋มโปร่งใสที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นฉากที่น่าตะลึง ราวกับฟ้าจะถล่ม
บรรพตเคลื่อนปฐพีคลอนทำให้ศิษย์ทั้งหมดต้องออกมา พากันเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นบรรพจารย์ซานชิงหลุบตามองเขตเซียนร้อยคีรีอยู่ พวกเขาต่างตกตะลึงจนตาค้าง ยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น
“นี่คือผู้ใด”
“ไม่เคยเห็นมาก่อน! อาจจะเป็นอริยะ”
“อริยะ หรือจะเป็นเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย”
“ทำอย่างไรดี”
“อย่าตระหนกไป ค่ายกลอาคมยังไม่พัง!”
เหล่าศิษย์ร้องอุทานไม่ขาดสาย ความหวาดหวั่นเริ่มแผ่ขยายออกไป
บรรพจารย์ซานชิงซัดฝ่ามือลงมาอีกครั้ง เขาฟาดใส่เขตเซียนร้อยคีรี ทว่ากลับถูกอาณาเขตเต๋าสกัดขวาง ไม่อาจสร้างความเสียหายภายในเขตเซียนร้อยคีรีได้เลยแม้แต่น้อย
หนนี้บรรพจารย์ซานชิงขมวดคิ้ว
‘เป็นไปได้อย่างไร’
บรรพจารย์ซานชิงรู้สึกแปลกใจ ตนใช้พลังทั้งหมดแล้ว เหตุใดยังทำลายไม่ได้อีก
เขาล้วงบรรทัดทองเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ไม้บรรทัดฟาดลงมา ดูราวกับนทีทองสายหนึ่งที่ทอดยาวลงมาจากฟ้า ถูกสกัดไว้กลางอากาศสูง
หานเจวี๋ยออกจากอาณาเขตเต๋า แสงเทพที่เปล่งออกมาจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราบดบังเรือนร่างของเขา
บรรพจารย์ซานชิงกวาดสายตามองแวบเดียวก็เห็นหานเจวี๋ยในทันที
สัญชาตญาณของเขาร้องบอกเขาว่า คนผู้นี้อันตรายยิ่ง
หานเจวี๋ยสำแดงร่างจำลองเทพมารขุนพลสวรรค์ออกมาทันที ร่างนั้นยืดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนอยู่ในระดับเดียวกันกับบรรพจารย์ซานชิง
เทพมารขุนพลสวรรค์ไม่พูดพร่ำทำเพลง ต่อยออกไปโดยพลัน พลานุภาพน่าหวาดหวั่นจนทำให้ทุกคนในอาณาเขตเต๋าหายใจไม่ออก
“มาแล้ว!”
ดวงตาหลี่เต้าคงพลันส่องประกาย จ้องมองเทพมารขุนพลสวรรค์ด้วยสายตาเร่าร้อน
ในแบบจำลองการทดสอบเขาถูกเทพมารขุนพลสวรรค์ถล่มอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ไม่อาจลืมร่างจำลองอันน่าหวาดหวั่นนี้ได้ลง
สรรพสิ่งที่อยู่ใต้เท้าของบรรพจารย์ซานชิงและเทพมารขุนพลสวรรค์ต่างก็ดูเล็กจ้อยดั่งกรวดทราย
ตูม!
หมัดของเทพมารขุนพลสวรรค์กระแทกใส่บรรพจารย์ซานชิง ทำให้บรรพจารย์ซานชิงเซถอยไป บรรทัดทองในมือสั่นไหวอย่างรุนแรง
บรรพชนซานชิงแสดงสีหน้าตื่นตะลึง
ช่างเป็นพลังที่อหังการนัก!
เผ่าจอมเวทในอดีตกาลก็ยังไม่ทรงพลังถึงขั้นนี้!
เทพมารขุนพลสวรรค์ออกหมัดอย่างต่อเนื่อง ร่างจำลองเทพมารเหาะออกไปนอกอารามเต๋า กระโจนขึ้นสูง ซัดหมัดโจมตีบรรพจารย์ซานชิงในยามที่ดิ่งลงมา กระแสลมรุนแรงน่าหวาดกลัวบดขยี้จนธรณีแตกเป็นเสี่ยง ขุนเขาธาราย่อยยับ
บรรพจารย์ซานชิงยกไม้บรรทัดฟาดออกไป บงกชทองเก้าดอกพลันปรากฏขึ้นด้านหลัง พราวพร่างจนตาพร่า ราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลในยุคสร้างโลก ทำให้คนมึนเมาและนับถือบูชา
………………………………………………………………
[1] ขับเสือไปกินหมาป่า เป็นอุบายกระตุ้นให้ผู้มีอำนาจหักหาญปะทะกันเอง คล้ายสำนวนไทยที่ว่าเสี้ยมเขาควายชนกัน
[2] ชักภัยสู่บูรพา หมายถึง ใช้กลอุบายชักนำความเดือดร้อนไปให้ผู้อื่น ทำให้ตนอยู่รอดปลอดภัย