ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 515 หมายปองปรารถนา สามอริยะแห่งสำนักซ่อนเร้น
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 515 หมายปองปรารถนา สามอริยะแห่งสำนักซ่อนเร้น
ปีนี้หานทั่วอายุสิบสามปีแล้ว
ภายในโถงใหญ่ หานเจวี๋ย หานทั่ว และชิงหลวนเอ๋อร์กำลังกินข้าวด้วยกัน เพื่อฉลองวันเกิดให้กับหานทั่ว
หานทั่วมีความสุขมาก แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะวันเกิด หรือเพราะสิ่งอื่นใด ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อด้วยความปรีดา
ชิงหลวนเอ๋อร์คีบอาหารให้หานเจวี๋ย หานเจวี๋ยถือจอกเหล้า พลางไต่ถามเรื่องการเรียนในช่วงนี้ของหานทั่ว
มนุษย์ในปัจจุบันมีการวางโครงสร้างทางการศึกษาแล้ว อ่านตำราศึกษาปรัชญา เพื่อไปสอบเป็นขุนนาง
หานทั่วตอบไปตามความจริง หานเจวี๋ยสังเกตได้ว่าเขาไม่ได้สนใจในเรื่องนี้สักเท่าไร
“ท่านพ่อ วันเกิดของท่านคือวันใดหรือขอรับ” หานทั่วเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน
หานเจวี๋ยตอบ “ข้าจำไม่ได้มานานแล้ว”
“เหตุใดถึงจำไม่ได้ล่ะขอรับ ท่านพ่อท่านแม่ของท่านล่ะ หมายถึงท่านปู่ ท่านย่าของข้าน่ะขอรับ”
“ข้าไม่มีพ่อไม่มีแม่มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วละ”
“หา?”
หานทั่วตกตะลึง จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนแทบไม่ได้สนใจบิดาของตนเลย คิดแต่จะฝึกเป็นเซียนอย่างเดียว
ชิงหลวนเอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าจงจำให้ดี พ่อของเจ้าลำบากตรากตรำมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย วันหน้าเมื่อเจ้าเติบใหญ่ก็จงกตัญญูต่อท่านพ่อไว้ให้มากล่ะ”
หานทั่วพยักหน้า และกล่าวอย่างภาคภูมิ “วันหน้าข้าจะฝึกตนจนกลายเป็นเซียน มีชีวิตเป็นอมตะ และจะทำให้พวกท่านได้อยู่ด้วยกันตราบนานเท่านาน ไม่แก่ไม่เฒ่าเลย!”
“ทั่วเอ๋อร์ช่างมีจิตใจทะเยอทะยานจริงๆ”
ชิงหลวนเอ๋อร์ลูบศีรษะของชิงหลวนเอ๋อร์ด้วยความรักใคร่
หานเจวี๋ยจิบสุราเล็กน้อย พลางมองสองแม่ลุกด้วยรอยยิ้ม
หลังจากเพียรบำเพ็ญมานานกว่าสามหมื่นปี ได้สัมผัสชีวิตมนุษย์เช่นนี้บ้างก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่อย่าได้สร้างความรู้สึกอันใดให้ติดค้างในใจจะดีกว่า
เพราะชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยความไม่แน่ไม่นอน ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญ ที่สามารถควบคุมชีวิตของตนเองได้
สามปีต่อมา หานทั่วอายุสิบหกปี
เมืองป้องบูรพาเผชิญกับวิกฤตอีกครั้ง คลื่นอสูรกายที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนบุกเข้ารุกราน เมืองรอบข้างต่างถูกทำลายย่อยยับ ข่าวลือแพร่กระจายมาสู่เมืองป้องบูรพา สร้างความตื่นตระหนกไปทั่ว
เจ้าเมืองเมืองป้องบูรพาเริ่มบังคับเกณฑ์ไพร่พลไปร่วมกองทัพ ชายหนุ่มอายุตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไปล้วนแต่ถูกเกณฑ์ไปรบ หานทั่วเองก็เช่นกัน
หิมะตกหนักอีกครั้ง บดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ เมืองทั้งเมืองราวกับถูกห่มทับด้วยอาภรณ์สีขาว
หานเจวี๋ยมาเที่ยวโรงเตี๊ยม ซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมแรกที่เขามาเยือนเมื่อครั้งเพิ่งมาถึงเมืองป้องบูรพาใหม่ๆ ในวันธรรมดาเขาชอบมาที่นี่
และยังมานั่งเล่นในที่ประจำข้างหน้าต่างชั้นสอง คอยเฝ้ามองผู้คนเดินผ่านไปมา
เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา ผู้คนที่สัญจรในเมืองดูบางตาลงไปมาก ส่วนใหญ่ต่างสัญจรไปมาอย่างรีบร้อน
“สหายน้อย ไม่ได้เจอกันนาน ผมเจ้าหงอกขาวไปเสียแล้ว กาลเวลาช่างไม่ปรานีใครจริงๆ”
เสียงหัวเราะลอยมา เห็นเพียงนักพรตเฒ่าที่หานเจวี๋ยเคยเจอในตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองป้องบูรพาครั้งแรกผู้นั้น ยังคงเสียมารยาทเชิญตัวเองนั่งลงเบื้องหน้าของหานเจวี๋ยเช่นเดิม
หลังจากหลายปีผ่านไป หานเจวี๋ยก็จงใจปล่อยให้เส้นผมบนศีรษะเปลี่ยนเป็นผมหงอกขาวบางเส้น แม้หน้าตาจะยังหล่อเหลา แต่ก็ไม่อ่อนเยาว์อีกต่อไป
หานเจวี๋ยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสต่างหากที่เรือนผมยังขาวโพลน ไม่ลดน้อยลงจากตอนนั้นเลย”
นักพรตเฒ่ายิ้มและกล่าวว่า “เหมือนเดิม?”
หานเจวี๋ยพยักหน้าน้อยๆ
นักพรตเฒ่ารินเหล้าให้ตนเอง จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าทางสหายน้อยคงจะไม่ใช่คนธรรมดา เมืองป้องบูรพากำลังจะถูกทำลาย เจ้าก็ยังคงเฉยเมยได้อยู่ หรือว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อให้หลุดพ้นจากโลกีย์กันหนอ”
หานเจวี๋ยย้อนถาม “แล้วเจ้าเล่า”
“ข้าเองก็แปลงกายลงมาเป็นมนุษย์ เที่ยวจาริกไปทั่วโลกมนุษย์ เพื่อขัดเกลาจิตใจของตนเอง”
“เจ้าฝ่าด่านระดับใดอยู่”
“ระดับฝ่าเทพ สหายน้อยคงจะอยู่ในระดับฝ่าเซียนสินะ เจ้ากับข้ามีชะตาต้องกัน วันหน้าเจ้าไปแสวงหามหามรรคที่สำนักอิงสวรรค์ของข้าได้”
นักพรตเฒ่าลูบเคราของตนเองพลางกล่าวไปด้วย สีหน้าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยกล่าวขอบคุณ ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือเมินเฉยเสียทีเดียว
ทั้งสองเริ่มสนทนากัน
ในที่กำลังพูดคุยกันนั้น ก็มีเสียงของอสูรกายดังขึ้นมาจากภายนอก เสียงสะเทือนเลื่อนลั่น
ชาวเมืองที่สัญจรไปมาอยู่เบื้องล่างต่างรีบหนีด้วยความตื่นตระหนก ทว่าหานเจวี๋ยและนักพรตเฒ่ายังคงร่ำสุราอย่างสนุกสนาน ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนประสบการณ์การไปเยี่ยมเยือนสถานที่อันห่างไกลสุดขอบโลก
[เฉินหยาจื่อเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]
หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจการแจ้งเตือนดังกล่าว
เวลาผ่านไปนาน
เฉินหยาจื่อลุกขึ้นจากไป ทิ้งท้ายเอาไว้หนึ่งประโยค “คนเรามีแต่บ่วงพันธนาการ หากต้องการจะหลุดพ้นจากพันธนาการนั้น ก็ต้องไร้ซึ่งความปรารถนาทั้งปวง”
คำพูดของเขาสะกิดใจหานเจวี๋ยเล็กน้อย
ไร้ซึ่งความปรารถนาทั้งปวง!
นี่เป็นขอบเขตพลังที่มนุษย์เซียนทั่วไปล้วนปรารถนาจะไปถึง เพื่อหลุดพ้นจากผลกรรม
หานเจวี๋ยเพียงแต่รู้สึกถูกดลใจ ไม่ถึงขั้นซาบซึ้งแต่อย่างใด
มรรคของเขาไม่ใช่รูปแบบไร้ซึ่งความปรารถนา ตรงกันข้าม มันเต็มไปด้วยความปรารถนา!
เขาปรารถนาที่จะมีชีวิตยืนยาว เขาไขว่คว้าชีวิตที่เป็นอมตะ!
เพื่อไล่ตามสิ่งที่เขาปรารถนา เขาจึงมีแรงจูงใจอันยิ่งใหญ่ในการบำเพ็ญ
นี่คือสิ่งที่มนุษย์หลายคนทำมาตลอดชีวิต
ใช่ว่าจะไม่ดีเสียทีเดียว
“ข้าหลีกหนีทางโลกมานานขนาดนี้ ไม่ใช่เพื่อกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อแข็งแกร่งถึงที่สุดแล้วก็ทำอะไรก็ได้ตามที่ปรารถนาหรอกหรือ”
หานเจวี๋ยจ้องมองผู้คนที่ตกอยู่ในความโกลาหลเบื้องล่างอีกครั้ง ความเข้าใจในมรรคของเขาก็ลึกซึ้ง มั่นคงยิ่งขึ้น
ตลอดหลายปีที่อยู่ในโลกมนุษย์แห่งนี้ เขาได้เห็นทุกสิ่งอย่างที่มนุษย์ปุถุชนควรประสบทั้งหมดแล้ว ทั้งเกิดแก่เจ็บตาย รักโลภโกรธหลง พบพานลาจาก
มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาจะควบคุมชีวิตของตนเอง
หานเจวี๋ยเป็นถึงครึ่งอริยะแล้ว แต่ก็ยังไล่ตามมรรคจิตดังกล่าวอยู่
เมื่อใดที่เขากลายเป็นอริยะ เขาจะทำทุกสิ่งที่ใจต้องการ!
สายตาของหานเจวี๋ยเริ่มเปลี่ยนเป็นแน่วแน่
อริยมรรคของข้า ความหมายปองปรารถนาของข้า!
หานเจวี๋ยเข้าสู่สมาธิ และเริ่มทำความเข้าใจในมหามรรคต้นกำเนิด
เขาไม่กลัวว่าจะถูกใครรบกวน อย่าว่าแต่มนุษย์รอบข้างเลย ต่อให้อสูรกายบุกเข้ามา ก็ทำร้ายเขาไม่ได้
วิบากกรรมของเมืองป้องบูรพายาวนานกว่าที่ผ่านมา สงคราม การรบราฆ่าฟันยังคงดำเนินต่อไป
สองปีต่อมา
หานเจวี๋ยยืนอยู่กลางลานบ้าน ร่างกายเปียกปอนด้วยหิมะที่ลอยละล่องไปทั่วผืนฟ้า
มรรคผลของเขาเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนแปลงไปสู่มรรคผลอริยะ!
อาจเป็นเพราะพลังเวทของหานเจวี๋ยซึ่งไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นเป็นเวลานาน เริ่มเติบโตขึ้นอีกครั้งหลังจากที่มรรคจิตของเขาเริ่มมั่นคง
การทะลวงระดับใกล้เข้ามาเต็มที!
หานเจวี๋ยเริ่มลังเลใจว่าจะกลับไปดีหรือไม่
เขามีลางสังหรณ์ว่า อย่างมากที่สุดอีกหนึ่งร้อยปีเขาก็จะทะลวงระดับได้แล้ว
แต่เมื่อนึกถึงชิงหลวนเอ๋อร์และหานทั่ว หานเจวี๋ยก็ใจอ่อน ตัดสินใจกลับไปอยู่กับพวกเขาอีกครั้ง
หานเจวี๋ยเปลี่ยนความคิดสำหรับหานทั่วแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดที่จะสะกดสายเลือดของหานทั่ว เพราะเกรงว่าหานทั่วจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเขา และจะสร้างผลกรรมตามมามากมาย
แต่ตอนนี้หานเจวี๋ยรู้แล้ว
ถ้าคอยดูแลประคบประหงมมาไป สุดท้ายก็จะกลายเป็นบ่วงพันธนาการ และกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้น!
หานเจวี๋ยยิ้มอย่างสบายใจ
[จักรพรรดินีผืนพิภพต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
ตัวอักษรแถวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของหานเจวี๋ย เขาถามในใจเงียบๆ ‘หากยอมรับ จะเป็นอันตรายหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการ!
[ไม่มี]
หานเจวี๋ยตัดสินใจยอมรับทันที
หมายปองปรารถนา ไม่ได้แปลว่าจะต้องทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด
รู้จักระแวดระวังตัวไว้บ้างจะดีที่สุด โดยเฉพาะในยามที่อีกฝ่ายอาจจะคุกคามชีวิตของตนได้
ในแดนความฝัน ริมแม่น้ำปรโลก
หานเจวี๋ยประสานหมัดแสดงการคารวะต่อจักรพรรดินีผืนพิภพ
จักรพรรดินีผืนพิภพกล่าวว่า “มารสวรรค์กำลังเหิมเกริม ผู้ที่สังหารมารสวรรค์ได้ จะได้รับแรงกุศล หากสำนักซ่อนเร้นต้องการเป็นสำนักดวงชะตา ก็ไม่ควรพลาดโอกาสนี้”
หานเจวี๋ยยิ้มและกล่าวว่า “ขอบพระทัยองค์จักรพรรดินีที่ตักเตือน เมืองนรกคงเตรียมตัวล้อมจับมารสวรรค์แล้วสินะขอรับ”
“อืม จับมารสวรรค์มาเป็นภูติผี มารสวรรค์เหล่านี้แม้ว่าจะโหดเหี้ยม แต่ความคิดอ่านไม่หนักแน่น เมื่อมองในอีกแง่หนึ่ง ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร”
“มารสวรรค์มาจากไหนหรือขอรับ”
“เป็นการกระทำของอริยะเผ่ามาร หรือจะเรียกว่าเป็นการร่วมมือกันตบตามรรคาสวรรค์ก็ว่าได้ ผู้มีดวงชะตาอันยิ่งใหญ่จะปรากฏตัวขึ้น ผ่านเคราะห์ของมารสวรรค์ เดาว่าในอนาคตคงจะมีการแย่งชิงตำแหน่งอริยะขึ้น”
สีหน้าของจักรพรรดินีผืนพิภพเผยถึงความกังวลใจ นางพูดต่อ “เมืองนรกไร้ผู้ที่มีคุณสมบัติในการแย่งชิงตำแหน่งอริยะ ข้าหวังว่าเจ้าจะชิงตำแหน่งมาได้ หากเจ้ากลัวว่าจะเดือดร้อน อย่างน้อยก็ให้สำนักซ่อนเร้นช่วงชิงมาก็ยังดี ตำแหน่งอริยะนี้ไม่ว่าสำนักเต๋า หรืออริยะคนอื่นได้ไป ล้วนแต่จะทำลายสมดุลที่ดำรงอยู่มาช้านาน”
หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น
ในมือของเขามีเพียงปราณม่วงมหามรรค แล้วปราณม่วงอนธการสามารถบ่มเพาะอริยะได้เพียงสองคนเท่านั้น
หากออกไปสู้
ในสำนักซ่อนเร้นนอกจากเขาแล้ว ยังต้องการอริยะถึงสามคนไม่ใช่หรือ
หากข้าไม่สู้ แล้วพวกเจ้าจะเอามาประเคนให้ถึงประตูบ้านหรือไม่เล่า
………………………………………………..