ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 554 ความเคารพเลื่อมใสต่ออริยะ ศึกใหญ่ใกล้เข้ามา
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 554 ความเคารพเลื่อมใสต่ออริยะ ศึกใหญ่ใกล้เข้ามา
เหนือกว่าผานกู่และบรรพชนเต๋า?
เช่นนั้นต้องแข็งแกร่งมากแค่ไหนกัน
หานเจวี๋ยจินตนาการไม่ออกเลย บรรลุถึงระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้า เอาแค่อริยะมรรคาสวรรค์ เขาก็จินตนาการไม่ออกแล้วว่าต้นกำเนิดพลังเป็นอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวตนที่เหนือกว่านั้นเลย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ที่พึ่งของเทพสูงสุดอู๋ฝ่ายังถูกขังไว้ในแดนบรรพกาล เช่นนั้นหานเจวี๋ยก็ไม่จำเป็นต้องกลัวแล้ว
สายตาของหานเจวี๋ยมองไปที่วังไร้วิถีอีกครั้ง
หลังจบศึกกับหลี่มู่อี เทพสูงสุดอู๋ฝ่ากลับไปรับศิษย์ต่อ เตรียมแสดงธรรม
หานเจวี๋ยทำนายพบว่าบุตรชายตนก็อยู่ในอาณาเขตเต๋าด้วย
แล้วไปเถอะ
ให้เทพสูงสุดอู๋ฝ่าแสดงธรรมไปก่อน แสดงธรรมจบค่อยจัดการ
เวลาล่วงเลยไปสิบปี
วังไร้วิถีปิดสนิท เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเริ่มแสดงธรรม
หานเจวี๋ยคำนวณดูเงียบๆ สิ่งมีชีวิตที่เข้าสู่วังไร้วิถีมีเกินหมื่นล้านแล้ว
กลยุทธ์นี้ของเทพสูงสุดอู๋ฝ่ายิ่งใหญ่มากจริงๆ
หลังสิ้นสุดการแสดงธรรม เขาจะได้รับศิษย์นับหมื่นล้าน ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถคัดเลือกศิษย์บางส่วนที่มีคุณสมบัติล้ำเลิศจากหมู่ศิษย์กลุ่มนี้ได้
น่าเสียดาย
เทพสูงสุดอู๋ฝ่า เจ้าจะไม่ได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย
เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะแสดงธรรมไปนานแค่ไหน
หานเจวี๋ยลอบเยาะหยันอยู่ในใจ
เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ
พริบตาเดียว ผ่านไปหนึ่งร้อยปี
ภายในวังไร้วิถี
ที่นี่ราวกับโลกอีกใบหนึ่ง พื้นผิวดั่งสายน้ำ นภาส่องสว่าง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนนั่งสมาธิอยู่บนผิวน้ำ การแสดงธรรมร้อยปี ทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายเกิดความเปลี่ยนแปลง
หานทั่วและเจี่ยอวี้อยู่ใกล้กันยิ่ง
เจี่ยอวี้ลืมตามองไปที่เขา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ผลการเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไร”
หานทั่วแย้มยิ้มกล่าวว่า “ไม่เลวเลย เจ้าล่ะ”
หาใช่แค่ไม่เลวเท่านั้น!
แต่น่ายินดียิ่ง!
มหามรรคที่เทพสูงสุดอู๋ฝ่าแสดงธรรมนั้น เขาฟังเข้าใจง่ายดายยิ่ง นอกจากตบะจะเพิ่มพูนแล้ว ในสมองเขายังบังเกิดแรงบันดาลใจมากมายนัก ทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
เจี่ยอวี้ยิ้มละไมเอ่ยว่า “ใช้ได้เลยเช่นกัน แต่รู้สึกว่าสู้เจ้าไม่ได้ เจ้ามักจะอยู่เหนือความคาดหมายของข้าเสมอ”
หานทั่วยิ้มแวบหนึ่ง ไม่ได้กล่าวต่ออีก
แม้ทั้งสองจะมีสัมพันธ์อันดี แต่ต่างฝ่ายต่างมีความลับของตัวเอง ไม่เคยล้ำเส้นกันและกัน นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเข้ากันได้ดียิ่ง
เวลานี้ เสียงของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าแว่วดังขึ้น
“การแสดงธรรมครั้งแรกของสำนักไร้วิถีสิ้นสุดลงแล้ว นับจากนี้ไป พวกเจ้าต่างเป็นศิษย์ของสำนักไร้วิถี ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าจะมาจากสำนักใด ล้วนจำเป็นต้องละทิ้ง ข้าจะพาพวกเจ้าก้าวสู่ความรุ่งเรืองแข็งแกร่ง ข้าคืออริยะที่แข็งแกร่งที่สุด!”
น้ำเสียงเขาแกร่งกร้าวอย่างยิ่ง และเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
วาจานี้ทำให้สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่นับถือบูชา
มีเพียงคนส่วนน้อยซึ่งเป็นศิษย์จากสำนักนิกายอื่นที่รู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าลุกขึ้นมาโต้แย้งเทพสูงสุดอู๋ฝ่า หาเรื่องซวยใส่หัว
“มหันตภัยมารสวรรค์เพิ่งสิ้นสุดลงไม่นาน พวกเจ้าน่าจะสัมผัสได้กระมัง อริยะรุ่นก่อนๆ อ่อนแอเหลือเกิน ปล่อยให้มารสวรรค์ตนนี้อาละวาดอยู่เนิ่นนานปานนี้ หากข้าเป็นผู้นำพามรรคาสวรรค์ ไม่มีทางปรากฏสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นเด็ดขาด เชื่อมั่นในตัวข้า ติดตามข้า นี่คือโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเจ้า!”
“จุดมุ่งหมายของข้าคือรวมปวงสวรรค์หมื่นโลกาให้เป็นหนึ่งเดียว ครอบครองมรรคาสวรรค์เพียงผู้ดียว นำพาสรรพสิ่งแห่งมรรคาสวรรค์ก้ามข้ามสู่มหามรรค ข้ามผ่านอดีตและปัจจุบัน ยืนอยู่สุดขอบแม่น้ำโชคชะตา ทอดมองความผันผวนของทุกสิ่ง”
ยิ่งพูดเทพสูงสุดอู๋ฝ่าก็ยิ่งจองหองขึ้นเรื่อยๆ
หานทั่วขมวดคิ้วนิดๆ
ไม่รู้เพราะเหตุใด สัญชาตญาณของเขาต่อต้านเทพสูงสุดอู๋ฝ่า
‘อริยะแล้วอย่างไร’
ในใจเขาพลันมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา ทำให้เขาตระหนกยิ่ง
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ได้ฟังการแสดงธรรมของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าจนจบเขาสมควรต้องเลื่อมใสบูชาและเคารพยำเกรงเทพสูงสุดอู๋ฝ่า แต่เมื่อได้ฟังเทพสูงสุดอู๋ฝ่าพูดจาโอหังไม่เห็นหัวผู้ใด เขากลับรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างน่าประหลาด
เสียงของเจี่ยอวี้แว่วมา “อย่าต่อต้านเขา เขากำลังทดสอบเจ้าอยู่”
เขาถ่ายทอดเสียงมา
ทดสอบหรือ
หานทั่วตระหนกยิ่ง รีบดับสะเก็ดไฟแห่งความดูแคลนในใจลงทันที
ขณะเดียวกัน เขาเกิดจิตคิดระแวงเจี่ยอวี้แล้ว
คนหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา
มองออกแม้กระทั่งอุบายของอริยะ
เมื่อคิดดูให้ละเอียด จนถึงตอนนี้ เขาล้วนไม่เคยเห็นเจี่ยอวี้มีท่าทางลนลานเลย ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งแค่ไหน ก็สุขุมเยือกเย็นเสมอ
เจี่ยอวี้รับรู้ถึงสายตาของหานทั่ว เผยรอยยิ้มนิดๆ ยิ้มจนสองตาหรี่ปิดเป็นจันทร์เสี้ยวสองดวง
เทพสูงสุดอู๋ฝ่ายังคงพูดพร่ำต่อไป
ในเวลาเดียวกันนี้
หานเจวี๋ยมาถึงหน้าวังไร้วิถีแล้ว เขาไม่ได้บุกเข้าไปทันที แต่ยืนคอยอยู่หน้าประตู เปิดใช้งานยอดสมบัติทั่วร่าง แสงเทพจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราบดบังรูปโฉมของเขา
“หานเจวี๋ย เจ้าคิดจะทำอะไร”
เสียงของฉิวซีไหลแว่วเข้าสู่หูของหานเจวี๋ย
มิใช่แค่ฉิวซีไหล อริยะรายอื่นก็พากันถ่ายทอดเสียงเข้ามา
หานเจวี๋ยไม่ได้ตอบกลับไป
เหตุผลที่ไม่ลงมือในทันที เพราะเกรงว่าจะทำร้ายผู้สดับมรรคเข้า
สาเหตุที่มาเพราะกังวลว่าเทพสูงสุดอู๋ฝ่าอาจเตรียมเล่นเล่ห์เพทุบายกับผู้สดับมรรค
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของหานเจวี๋ย จึงหยุดพูด ให้ศิษย์นับหมื่นล้านถอยออกไป
ตูม!
ประตูใหญ่วังไร้วิถีเปิดออก เสาลำแสงสายหนึ่งพุ่งมายังหน้าประตู
“ค่ายกลนอกประตูจะส่งตัวพวกเจ้ากลับไปสู่ต้นทาง ฝึกบำเพ็ญให้ดี รอจนกว่าข้าจะแสดงธรรมครั้งต่อไป”
เสียงของเทพสูงสุดอู๋ฝ่าดังก้อง หานเจวี๋ยก็ได้ยินเช่นกัน
ศิษย์ทั้งหมดทยอยเดินออกมาจากวังไร้วิถี เมื่อพวกเขาเห็นหานเจวี๋ย ต่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้
อำนาจของหานเจวี๋ยแกร่งกล้ายิ่ง ทำให้พวกเขามองแล้วล้วนรู้สึกหวาดผวา
ศิษย์แต่ละคนกระโจนเข้าสู่เสาลำแสง กลายร่างเป็นมังกรตัวหนึ่ง เชื่อมต่อระหว่างด้านในวังไร้วิถีและเสาลำแสง
เทพสูงสุดอู๋ฝ่ามิได้ออกมาทันที คาดว่ากำลังรอคอยให้เหล่าผู้สดับมรรคจากไป
อีกด้านหนึ่ง
เหล่าอริยะรวมตัวกันอยู่ในอาณาเขตเต๋าของฉิวซีไหล
เทพสูงสุดหนานจี๋ถามด้วยความตื่นเต้น “หานเจวี๋ยจะลงมือกับเทพสูงสุดอู๋ฝ่าหรือ”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “คาดว่าจะใช่ เขาไม่มีทางเป็นฝ่ายไปเยี่ยมคารวะก่อนแน่ ทันทีที่เผยตัว ต้องลงมืออย่างแน่นอน”
มหาจักรพรรดิเซียวเผยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “ข้าเลื่อมใสในการกระทำของหานเจวี๋ย นี่สิถึงจะใช่ผู้บำเพ็ญเต๋า ไหนเลยจะเหมือนหลี่มู่อี ดีแต่สาปแช่งลับหลัง!”
ฝูซีเทียนก็มาถึงแล้ว แต่หลี่มู่อีมิได้มา
หลี่มู่อีถูกพวกเขากีดกันไว้นอกวงแล้ว แม้แต่เทพสูงสุดหนานจี๋และเจ้านิกายเทียนเจวี๋ยก็ไม่ไปมาหาสู่กับเขาอีก
“ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยว่าหานเจวี๋ยจะเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ช่างน่าละอายเหลือเกิน” เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยถอนหายใจพลางเอ่ย
การกระทำนี้ของหานเจวี๋ยคล้ายเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเสียที่ไหน
พวกเขาเริ่มตั้งตารอสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
ศิษย์ทุกคนที่ออกมาจากวังไร้วิถีล้วนเหลือบมองหานเจวี๋ยแวบหนึ่ง จากนั้นก็ไม่กล้ามองอีก
พวกเขานึกว่าหานเจวี๋ยเป็นผู้ทรงพลังใต้อาณัติของเทพสูงสุดอู๋ฝ่า
หานทั่วและเจี่ยอวี้เดินคุยกันออกมาจากประตูใหญ่วังไร้วิถี ทั้งสองกำลังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่
หานทั่วพลันเหลือบไปเห็นหานเจวี๋ย
การมองแวบนี้ทำให้เขาตะลึงงัน
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด โครงร่างของหานเจวี๋ยทำให้เขาเหม่อลอยไป รู้สึกสนิทชิดเชื้ออย่างไร้สาเหตุ
‘เขาเป็นใคร’
หานทั่วขมวดคิ้วครุ่นคิด จ้องหานเจวี๋ยเขม็ง
เจี่ยอวี้เปิดปากกล่าว “อย่าเสียมารยาท”
หานทั่วได้สติ รีบถอนสายตากลับมา
จากนั้น หานทั่วก็ไม่กล้ามองหานเจวี๋ยอีกเลย กลัวว่าจะไปล่วงเกินผู้ทรงพลังลึกลับท่านนี้เข้า
แต่เขาไม่อาจลบเงาร่างของหานเจวี๋ยออกไปจากใจได้ ทำให้เขาเต็มไปด้วยความสงสัย
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าตบะของหานทั่วเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยเลย ไม่ใช่เท่านี้ เลือดเนื้อสังขารก็ผสานทำนองมรรคไว้เล็กน้อยด้วย
เด็กดี!
สมกับที่เป็นลูกชายข้า!
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ ความสนใจส่วนใหญ่ยังอยู่ที่เทพสูงสุดอู๋ฝ่า เฝ้าระวังไม่ให้เทพสูงสุดอู๋ฝ่าหนีไป
หานทั่วติดตามฝูงชนกระโจนสู่เสาลำแสง วินาทีที่กำลังจะเข้าไป เขาอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมอง
หานเจวี๋ยภายใต้แสงเทพพร่างพราวยืนอยู่ข้างประตูวังไร้วิถี ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ราวกับเทพเจ้าผู้สถิตอยู่ในสายธารกาลเวลาชั่วนิรันดร์ แผ่บรรยากาศเวิ้งว้างและโดดเดี่ยวเดียวดายออกมา
………………………………………………………………