ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 618 สาปแช่งอีกครั้ง เดิมพันด้วยอายุขัย
เขตเซียนร้อยคีรี ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “กลยุทธ์ยอดเยี่ยม เด็กดี สมกับเป็นบรรพชนเต๋า”
เขาทำนายได้ว่าสาเหตุที่เรื่องราวของเมิ่งเซียวลุกลามใหญ่โต เป็นเพราะฟางเหลียงคอยสุมไฟกระพือข่าว พอเรื่องนี้จบลง ฟางเหลียงก็ประกาศสถาปนาวิถีสวรรค์ทันที ดวงชะตาเพิ่มพูนขึ้นมา
บนทำเนียบดวงชะตามรรคาสวรรค์ ชื่อของฟางเหลียงพุ่งทะยานจากนอกขอบเขตพันลำดับเข้าไปอยู่ในสิบลำดับแรกทันที
สถาปนาวิถีสวรรค์ขึ้นภายใต้มรรคาสวรรค์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าไม่มีการต่อต้านกีดกันขึ้นเลย บรรพชนเต๋าต้องสอดมือเข้าแทรกแซงแล้วเป็นแน่
หลังจากสถาปนาวิถีสวรรค์ขึ้น ฟางเหลียงจะทำอย่างไรต่อ
ในตอนนี้เอง
หลี่เสวียนเอ้ามาขอเข้าพบหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยให้เขาเข้ามา
หลังจากเข้ามาในอาราม หลี่เสวียนเอ้าคุกเข่าลงเบื้องหน้าหานเจวี๋ย เอ่ยว่า “เจ้าสำนัก เผ่าสวรรค์เกิดความเปลี่ยนแปลง จี้เซียนเสินและฟางเหลียงแตกหัก สำนักซ่อนเร้นสมควรเลือกข้างผู้ใดขอรับ”
หานเจวี๋ยย้อนถาม “เจ้าว่าสมควรเลือกผู้ใดเล่า”
หลี่เสวียนเอ้าเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ฟางเหลียงเป็นศิษย์หลานของท่าน หลี่เต้าคงก็สนับสนุนฟางเหลียง ในเรื่องนี้ฟางเหลียงยืนอยู่บนพื้นฐานความมีเหตุผลชอบธรรม ตามหลักแล้วควรจะเลือกเขา แต่ว่า….ตอนนี้ฟางเหลียงอยู่ใต้ร่มธงของบรรพชนเต๋า เอาใจออกห่างไปแล้ว เขายังนับว่าเป็นคนของสำนักซ่อนเร้นอยู่หรือไม่”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าต้องการให้ข้าสนับสนุนจี้เซียนเสินหรือ”
“จี้เซียนเสินไร้บรรทัดฐาน หลงระเริงไร้คุณธรรม ข้าขอเสนอให้ท่านผลักดันศิษย์ของสำนักซ่อนเร้นสักคนเข้ารับช่วงชิงตำแหน่งบรรพชนสวรรค์ขอรับ”
หลี่เสวียนเอ้าสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางเอ่ยอย่างจริงจัง
เขาทราบดีว่าตนล้ำเส้นอยู่บ้าง แต่หากคิดจะเป็นที่ปรึกษาของหานเจวี๋ย ก็ต้องกล้าเสนอความเห็น มิเช่นนั้นเขาจะทำอันใดได้กันเล่า
คอยวิ่งเต้นเป็นธุระ หรือเป็นคนส่งสารกันล่ะ
หลังจากหลี่เสวียนเอ้าเสนอความเห็นไป ในใจก็รู้สึกกระวนกระวายอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยกล่าวไปว่า “พูดจามีเหตุผล เช่นนั้นเจ้าคิดว่าควรสนับสนุนผู้ใดถึงจะดีเล่า”
หลี่เสวียนเอ้าตอบกลับว่า “นั่นย่อมขึ้นอยู่กับดุลพินิจของท่านขอรับ ”
หานเจวี๋ยตกอยู่ในภวังค์ความคิด
หลี่เสวียนเอ้ารู้สึกว่าพูดไปพอสมควรแล้ว จึงขอตัวลาทันที
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา คนผู้นี้หาจุดยืนของตนได้แม่นยำนัก
สิ่งที่เขาพูดมามีเหตุผลจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นจี้เซียนเสินหรือว่าฟางเหลียง ล้วนไม่เหมาะสมจะเป็นตัวเบี้ยของเขาทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หากจะให้จี้เซียนเสินลงจาตำแหน่งบรรพชนสวรรค์ตอนนี้ เขาไม่มีทางยอมแน่
รอให้ถึงเวลาที่จี้เซียนเสินและฟางเหลียงห้ำหั่นกันจนเผ่าสวรรค์อ่อนกำลังลง ถึงจะเป็นโอกาสเหมาะสำหรับผลักดันบรรพชนสวรรค์คนใหม่
หานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ
ถึงจะบรรลุถึงระดับอริยะเสรีแล้ว เขาก็ยังต้องมุมานะต่อไป พยายามบรรลุถึงระดับอริยะมหามรรคให้ได้ในเร็ววัน ตามด้วยระดับยอดมหามรรค จากนั้นก็เป็นระดับผู้สร้างมรรคา
เขาต้องการก้าวไปสู่จุดสูงสุดทีละขั้นๆ จนอยู่ในระดับเดียวกับบรรพชนเต๋า จนถึงขั้นที่เหนือกว่าบรรพชนเต๋า!
ขนาดผู้แข็งแกร่งอย่างบรรพชนเต๋ายังถูกเหล่าผู้ทรงพลังในแดนเทพหวนปัจฉิมวางแผนเล่นงานได้ ดังนั้นต่อให้หานเจวี๋ยแข็งแกร่งเท่าบรรพชนเต๋า ก็ยังไม่รู้สึกปลอดภัยอยู่ดี ดังนั้นจะต้องเหนือกว่าบรรพชนเต๋าให้ได้
….
วันเวลาดำเนินไป
ภายในเผ่าสวรรค์เกิดความวุ่นวาย ทำให้แดนเซียนเริ่มปั่นป่วนไปด้วย สำหรับผู้ทรงพลังที่มีใจทะเยอทะยานบางคน นี่คือโอกาสดี
เผ่าปีศาจหายใจคล่องขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาพวกเขาเผชิญกับการกระหนาบโจมตีจากเผ่าสวรรค์และนิกายเจี๋ย แตกพ่ายกระจัดกระจาย ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้โอกาสปลดเปลื้องพันธนาการแล้ว เริ่มขยายอิทธิพลอีกครั้ง
เหล่าอริยะคล้ายจะไม่สนใจความขัดแย้งภายในเผ่าสวรรค์เลย เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยประกาศเชิญชวนผู้บำเพ็ญทั่วปวงสวรรค์มาสดับธรรม ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสามเสียด้วยซ้ำ
ดำเนินไปเช่นนี้จนเวลาผ่านพ้นไปอีกหนึ่งพันปี
ในวันนี้
เทพมารขุนพลสวรรค์ฟูมฟักเสร็จสิ้นแล้ว
หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปล่อยเทพมารขุนพลสวรรค์ออกมา
เทพมารขุนพลสวรรค์รูปร่างบึกบึนกำยำ ผิวกายขาวดำปะปนกันไป ร่างมนุษย์เศียรมังกร มีปีกสองคู่อยู่บนหลัง หน้าตาดุร้าย ลมหายใจที่พ่นออกมาเจือไอร้อนผ่าว
นี่ก็คือเทพมารฟ้าบุพกาล ดูน่าสะพรึงกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ ในโลกหล้า!
เทพมารขุนพลสวรรค์เพิ่งถือกำเนิดขึ้นก็มีตบะระดับเซียนทองต้าหลัวแล้ว
เมื่อเทพมารขุนพลสวรรค์เห็นหานเจวี๋ย เขาคุกเข่าลงทันที ประสานหมัดคารวะ
เหล่าเทพมารมิมีมารยาทพิธีการเช่นนี้ แต่ทันทีที่เทพมารขุนพลสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นก็ประจักษ์แจ้งเข้าใจโลกได้ในทันที ดังนั้นจึงแสดงความภักดีตามพิธีการที่หานเจวี๋ยคุ้นเคย
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นับจากนี้เจ้าจงอยู่ฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่ไปก่อน อย่าได้ทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น พวกเจ้าล้วนมีรากเหง้าเดียวกัน เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ!”
เทพมารขุนพลสวรรค์ตอบรับ น้ำเสียงแหบพร่าน่าลุ่มหลงยู่บ้างเพราะกำเนิดจากศิลาก่อวิญญาณ เขาจึงเคารพเชื่อฟังหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยโบกมือ สื่อให้เขาออกไปได้
หลังออกมาจากอารามเต๋า เทพมารขุนพลสวรรค์บังเอิญพบต่งจั๋วเข้า ทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดคุยทักทายอันใดกัน บรรยากาศชวนอึดอัดอยู่บ้าง
ภายในอารามเต๋าหานทั่วที่ยืนมองอยู่ด้านข้างมาตลอดอดใจไม่ไหวถามขึ้นมา “ท่านพ่อ เขาคือผู้ใดหรือขอรับ”
กลิ่นอายของเทพมารขุนพลสวรรค์น่าหวาดผวาจริงๆ เขาไม่เคยพบพานกลิ่นอายที่น่าหวาดผวาเช่นนี้มาก่อน ถึงขั้นที่เขาเกิดความรู้สึกต่อต้านเสมือนพบพานศัตรูตามธรรมชาติขึ้น
“อย่าถามเลย ตั้งใจฝึกบำเพ็ญเถอะ”
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างเฉยเมย เขาเริ่มสอบถามระบบอยู่ในใจ ‘สามารถแยกสาขาของแบบจำลองการทดสอบมาได้หรือไม่ ทำให้มีเพียงสิ่งมีชีวิตในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองที่ได้รับสิทธิ์เข้าถึงแบบจำลองการทดสอบ ไม่ให้พบเจอกับสิ่งมีชีวิตในอาณาเขตเต๋าหลักภายในแบบจำลองการทดสอบ’
[กำลังเปิดใช้ความสามารถแบบจำลองการทดสอบประจำอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง]
[เปิดใช้งานสำเร็จ]
หานเจวี๋ยยิ้มออกมา สบายใจในที่สุด
เทพมารฟ้าบุพกาลกระหายสงครามโดยกำเนิด หากเทพมารฟ้าบุพกาลเพิ่มมากขึ้น จะให้ทุกตนปิดด่านเข้าฌานกันหมด เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หานเจวี๋ยจำเป็นต้องปล่อยให้พวกเขาได้ปลดปล่อยความกระหายการต่อสู้บ้าง
เมื่อหานทั่วได้ยินวาจาของหานเจวี๋ยก็อดเม้มปากไม่ได้
‘ฮึ่ม ไม่ช้าก็เร็วข้าจะบ่มเพาะกลุ่มอิทธิพลที่ทรงพลังของข้าขึ้นมาบ้าง’
หานทั่วคิดเงียบๆ ก่อนที่จะได้พบกับหานเจวี๋ย เขาเคยได้ยินว่าสำนักซ่อนเร้นลึกลับยากคะเน มียอดฝีมือมากมายดั่งหมู่เมฆา
เขาก็อยากเจริญรอยตามหานเจวี๋ย ยิ่งใหญ่สูงส่ง ไม่จำเป็นต้องลงมือจัดการเรื่องจิปาถะด้วยตัวเอง
หานเจวี๋ยสอดส่องดูหยางตู๋รวมถึงตัวเลือกเทพมารฟ้าบุพกาลคนอื่นๆ ต่างก็มีพัฒนาการไม่เลวเลย
คนที่เขาให้ความสนใจที่สุดยังคงเป็นหยางตู๋
นอกจากหยางตู๋จะเป็นผู้กลับชาติมาเกิดแล้ว สถานะในจักรวาลแดนเซียนพิภพก็สูงส่งอย่างยิ่ง เป็นเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งทางช้างเผือกแล้ว
หยางตู๋มิได้ขยายอิทธิพลของตน อยู่ตัวคนเดียวเสมอมา ตามปกติก็ไม่ได้ออกไปเสพสุขรื่นเริง ฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด
นิสัยใช้ได้เลย
หานเจวี๋ยรู้สึกพึงพอใจ
ตอนนี้เขายังไม่ต้องการใช้งานหยางตู๋ ดังนั้นจึงไม่ติดต่อไปหาอีกฝ่าย
เขากลับสู่เขตเซียนร้อยคีรีอีกครั้ง
ภายในอารามเต๋า มีเพียงเขาเท่านั้น หลังจากดวงจิตประหลาดกลับมาก็ไปเตร็ดเตร่อยู่นอกอารามเต๋า น้อยนักที่จะกลับมา ดังนั้นช่วงเวลาส่วนใหญ่ของเขาจึงเงียบสงบยิ่ง
หานเจวี๋ยนั่งบนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา
เขาสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง ลูบไล้หน้าปกหนังสือแห่งความโชคร้ายอย่างทะนุถนอม
ไม่ได้ใช้งานเจ้ามานานเท่าไรแล้ว
ตอนนี้หนังสือแห่งความโชคร้ายเป็นสมบัติวิญญาณระดับเสรี หากปล่อยเข้าสู่แดนเซียน ก็นับเป็นสมบัติวิเศษสุดแข็งแกร่งชิ้นหนึ่ง
เป้าหมายแรก เทพบุพกาล!
หานเจวี๋ยเริ่มสาปแช่งเทพบุพกาล เทพบุพกาลเกิดความเกลียงชังต่อหานเจวี๋ย จึงมองเห็นรูปประจำตัวในจอค่าความสัมพันธ์ ดังนั้นหานเจวี๋ยสามารถใช้หนังสือแห่งความโชคร้ายเล่นงานเทพบุพกาลได้ง่ายดายยิ่ง
ห้าวันต่อมา
อายุขัยของหานเจวี๋ยเริ่มลดลง
หน่วยอายุขัยที่เสียไปต่อวินาทีคือร้อยล้านปี!
หนึ่งหมื่นล้านปี!
หนึ่งแสนล้านปี!
หนึ่งล้านล้านปี!
สิบล้านล้านปี!
ยี่สิบล้านล้านปี!
….
อายุขัยของหานเจวี๋ยลดลงอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นจำนวนอายุขัยในหน้าต่างค่าสถานะของตนลดฮวบลงไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกค่อนข้างตกใจเช่นกัน
แต่ก็นับว่าปกติ ถึงอย่างไรเทพบุพกาลเป็นดวงจิตมรรคาสวรรค์
อายุขัยลดฮวบลงไปเรื่อยๆ!
ห้าสิบล้านล้านปี!
หนึ่งพันล้านล้านปี!
สองพันล้านล้านปี!
สามพันล้านล้านปี!
หานเจวี๋ยเริ่มมือสั่น
คนผู้นี้ร้ายกาจเกินไปแล้วกระมัง เช่นนี้แล้วยังสาปแช่งให้เกิดเรื่องไม่ได้อีกหรือ
หานเจวี๋ยอยากยอมแพ้แล้ว
ล้มเลิกดีหรือไม่
ไม่ได้!
สู้ต่อไป!
ถึงแสนล้านล้านปีเมื่อไรค่อยว่ากันอีกที!
………………………………………………………………