ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 644 จิตสังหารของผานกู่
หานเจวี๋ยรับรู้ได้ถึงปรากฏการณ์สวรรค์ อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ มรรคาสวรรค์เอ๋ยเจ้าไว้อาลัยให้ศัตรู กล่าวโทษข้าที่ช่วยเหลือเจ้าอยู่หรือ
แน่นอน เขาแค่บ่นไปเรื่อยเท่านั้น มรรคาสวรรค์คือกฎเกณฑ์ มิมีหกอารมณ์เจ็ดปรารถนาเยี่ยงสิ่งมีชีวิต
หานเจวี๋ยพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
เต้าปู้หวังดับสูญ ก่อให้เกิดนิมิตแห่งมหามรรค ทว่าเทพบุพกาลและโพธิสัตว์จุนทีที่แสร้งสิ้นชีพ มิได้ก่อให้เกิดนิมิตแห่งมหามรรค แล้วผู้ทรงพลังในแดนเทพหวนปัจฉิมแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาสิ้นชีพแล้ว
หรือผู้ทรงพลังเหล่านั้นก็มิได้คิดเช่นนี้จริงๆ เพียงอยากสาดโคลนใส่เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเท่านั้นหรือ
มีคำอธิบายเพียงเท่านี้แล้ว
หานเจวี๋ยปรับสภาวะ เริ่มยกระดับพลังวิเศษมรรคกระบี่ของตน
หลายเดือนต่อมา เขาฝึกฝนร่างจำลองเสรีสุญญตาต่อ
อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่งเริ่มฝึก เสียงของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก็แว่วขึ้นในหู
“เหล่าอริยชนจงมารวมตัวที่ตำหนักเอกอนันต์ ข้ามีเรื่องจะแจ้ง”
หลังจากหานเจวี๋ยได้ยิน ก็มิได้มีความเคลื่อนไหวในทันที
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงแข็งแกร่งกว่าเขา!
ซ้ำยังโลดแล่นในมรรคาสวรรค์ได้อย่างอิสระเสรีอีก
หานเจวี๋ยมิใช่อริยะมรรคาสวรรค์ สามารถสิ้นชีพในมรรคาสวรรค์ได้และตกตายได้อย่างแท้จริง ไม่มีทางถูกมรรคาสวรรค์ชุบชีวิตขึ้นมาซ้ำๆ
‘ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงมีเจตนาสังหารข้าหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดูเหมือนค่าตัวปรมาจารย์ลัญจกรสรวงจะเพิ่มขึ้น
ดำเนินการต่อ!
[ขณะนี้ไม่มี]
หานเจวี๋ยรู้สึกโล่งอกแล้ว
เช่นนั้นก็ดี
หานเจวี๋ยทะยานออกจากอาณาเขตเต๋า ไปโผล่ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
ตำหนักเอกอนันต์ที่เงียบสงัดมานานมีแสงเทพแผ่เรืองรองอีกครั้ง กลายเป็นอาณาเขตเต๋าที่โดดเด่นที่สุดในชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
หานเจวี๋ยมาถึงหน้าตำหนักเอกอนันต์ อริยะตนอื่นมากันพร้อมหน้าแล้ว แม้แต่จักรพรรดินีผืนพิภพก็มาด้วย
หลี่เต้าคงเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “เจ้าสำนัก นึกถึงอดีตปีนั้นพวกเราร่วมฟังเทศนาธรรมที่ตำหนักเอกอนันต์ด้วยกัน ข้ายังจำได้ดี”
เหล่าอริยชนมีสีหน้าแปลกพิกล
ไม่พูดยังพอว่า แต่พอพูดถึงพวกเขาก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา
พวกเขาอยากลืมเลือนคุณสมบัติของหานเจวี๋ยไปยิ่งนัก!
เมื่อเทียบกับหานเจวี๋ยแล้ว พวกเขารู้สึกว่าตนช่างธรรมดานัก ราวกับมนุษย์ปุถุชน
หานเจวี๋ยไม่ได้ตอบรับ นี่หลี่เต้าคงหาเรื่องให้เขาอยู่หรือ
สือตู๋เต้าจ้องมองหานเจวี๋ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาสนใจใคร่รู้ในตัวเจ้าสำนักซ่อนเร้นยิ่งนัก
ไม่ทราบว่าเหตุใด…
เขารู้สึกรางๆ ว่าหานเจวี๋ยคล้ายเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!
เวลานี้เอง ประตูตำหนักเอกอนันต์เปิดออก เหล่าอริยชนต่างเข้าสู่ตำหนัก
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงนั่งสมาธิอยู่บนเบาะกลม พอเหล่าอริยชนมาถึงเบื้องหน้าเขา เขาก็ลืมตาขึ้น โบกมือขวาคราหนึ่ง เบาะกลมพลันปรากฏขึ้นด้านหลังอริยชนทุกคน
เหล่าอริยชนนั่งลง
เทพสูงสุดหนานจี๋เปิดปากเอ่ยขึ้นก่อน “ปรมาจารย์ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว หากมิได้ท่านลงมือ เกรงว่ามรรคาสวรรค์คงตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่!”
อริยะที่เหลือก็ประจบเอาใจเช่นกัน มีความจริงใจแฝงอยู่พอสมควร
ตอนที่เห็นเผ่าเพลิงกัลป์บุกเข้าสู่แดนเซียนก่อนหน้านี้ พวกเขาตื่นตระหนกกันสุดขีด
นับตั้งแต่มรรคาสวรรค์เริ่มต้นใหม่ ภูมิหลังของมรรคาสวรรค์ยังบกพร่องอยู่บ้าง เพียงมีสิ่งมีชีวิตมากมายเท่านั้น ทว่าผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังกลับยังไม่มากพอ
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงถอนหายใจคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ก่อนข้าจะลงมือ เต้าปู้หวังมีโชคร้ายพัวพันกายอยู่แล้ว มีคนสาปแช่งเขาอยู่”
เหล่าอริยชนตกตะลึง เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยหรี่ตาพลางเอ่ยว่า “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!”
ไม่ว่าจะเป็นมรรคาสวรรค์ หรือว่าแดนเทพหวนปัจฉิม มีคนมากมายที่สวมรอยเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งศัตรู
แต่พลังคำสาปแช่งที่สามารถทำร้ายอริยะมหามรรคได้ มีเพียงเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเท่านั้น!
เหล่าอริยชนเริ่มทอดถอนใจ
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการอีกแล้ว มองจากจุดนี้ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการน่าจะให้การสนับสนุนมรรคาสวรรค์”
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการเป็นผู้ใดกันแน่”
“ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเป็นสหายเต๋าหานเจวี๋ย ตอนนี้เห็นทีว่าคงจะไม่ใช่ หากสหายเต๋าหานสังหารเต้าปู้หวังได้ คงลงมือไปก่อนหน้านี้แล้ว”
“แค่กๆ สหายเต๋าหานก็อยู่ด้วย พูดเหลวไหลอันใดกัน”
“ฮ่าๆๆ”
อาจเป็นเพราะเผชิญภยันอันตรายด้วยกันมามากมายแล้ว เหล่าอริยชนจึงเริ่มเอ่ยหยอกล้อหานเจวี๋ยแล้ว คล้ายจะสนิทสนมกันมากขึ้น
หานเจวี๋ยไม่ได้โต้ตอบ เพียงฮึดฮัดอยู่ในใจ
เล่นอะไรก็เล่นไป แต่อย่ามาล้อเล่นกับผู้เฒ่า!
เขาสอบถามในใจทันที ‘ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงมีเจตนาสังหารข้าหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ขณะนี้ไม่มี]
หานเจวี๋ยลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเปิดปากกล่าวว่า “เต้าปู้หวังดับสูญแล้ว ตอนแรกข้าทำร้ายเขาบาดเจ็บสาหัส ไม่คิดเลยว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะไม่ยอมละเว้นเขา เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน คาดว่าภายในระยะเวลาอันสั้นนี้แดนเทพหวนปัจฉิมคงไม่วางแผนปองร้ายมรรคาสวรรค์อีก”
“ข้าเรียกพบพวกเจ้าด้วยมีเรื่องจะประกาศให้ทราบ ข้าจะไปจากมรรคาสวรรค์”
พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา เหล่าอริยชนก็เบิกตากว้าง ตกใจหน้าจนถอดสี พากันออกปากรั้งตัวอีกฝ่ายไว้
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเป็นที่พึ่งหลักของพวกเขา หากว่าเขาจากไป แดนเทพหวนปัจฉิมต้องเหิมเกริมกว่าเดิมแน่
แม้ว่าหลี่เต้าคง สือตู๋เต้าและฟางเหลียงจะไม่ได้พูดอะไร แต่ต่างก็ไม่อยากให้ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงจากไปเช่นกัน
ก่อนที่พวกเขาจะพิสูจน์มรรคก็ทราบดีอยู่แล้วว่าผู้พิทักษ์มรรคาสวรรค์ตัวจริงมิใช่อริยะ แต่เป็นปรมาจารย์ลัญจกรสรวง สหายรักคนนี้ของบรรพชนเต๋า!
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยต่อว่า “ข้ากับเหล่าผู้ทรงพลังแห่งแดนเทพหวนปัจฉิมหารือกันแล้ว ตัดสินใจว่าจะร่วมมือกันผนึกแดนบรรพกาล หลังจากนี้ไปสักระยะ แดนเทพหวนปัจฉิมน่าจะไม่มาวุ่นวายกับมรรคาสวรรค์ แต่พวกเจ้าก็ไม่อาจชะล่าใจได้ ในฟ้าบุพกาลมีเผ่าพันธุ์เช่นเดียวกับเผ่าเพลิงกัลป์ซุกซ่อนอยู่มากมาย ในหมู่พวกเขาบ้างก็ถูกมรรคาสวรรค์ขับไล่ออกไป บ้างก็หล่อเลี้ยงขึ้นจากโลกที่ผู้ทรงพลังบุกเบิกขึ้น เติบโตไปตามกาลเวลา จนพวกเขาผงาดขึ้นมา”
“เป็นเพราะการมีอยู่ของมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต มรรคาสวรรค์จึงถูกจำกัดพลังไว้เสมอมา ตกเป็นรองล้าหลังฟ้าบุพกาล เหตุใดบรรพชนเต๋าถึงตรากฎเกณฑ์เช่นนี้ขึ้น ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน และไม่มีหนทางพยากรณ์ได้”
เมื่อเหล่าอริยชนได้ฟังล้วนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ว่ากันตามจริงแล้ว การโจมตีของเผ่าเพลิงกัลป์มีแรงกระตุ้นต่อพวกเขาอย่างลึกล้ำ
ถึงขั้นที่พวกเขารู้สึกขุ่นเคืองในตัวบรรพชนเต๋าขึ้นมา
จอมอริยะเสวียนตูถามขึ้น “แดนบรรพกาลซุกซ่อนสิ่งใดไว้กันแน่ ถึงต้องให้เหล่าอริยะมหามรรคร่วมมือกัน”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงตอบตรงๆ “จิตสังหารของผานกู่”
เหล่าอริยชนพลันตกตะลึง
“ผานกู่เบิกฟ้าแยกพสุธา ร่างผันแปรกำเนิดสรรพสิ่ง แต่จิตสังหารของเขากลับไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในตำนาน ปีนั้นผานกู่ล้างสังหารเทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนเพื่อพิสูจน์มรรค จิตสังหารของเขาถึงขั้นที่เริ่มล่อลวงมรรคจิตของผานกู่ เขาจึงจำเป็นต้องตัดแยกจิตสังหารของตนออกมา สะกดไว้ในมรรคาสวรรค์ เมื่อวันเวลาผันผ่าน เทพมารฟ้าบุพกาลถือกำเนิดใหม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ร้องรับขับขานกับจิตสังหารของผานกู่ บรรพชนเต๋าที่ผสานมรรคแล้วจำเป็นต้องนำจิตสังหารของผานกู่ไปผนึกไว้ในแดนบรรพกาล”
“หากจิตสังหารนี้หลุดออกมา จะต้องเกิดฉากโลหิตนองฟ้าบุพกาลเยี่ยงในอดีตครานั้นขึ้นอีกครั้งเป็นแน่”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงถอนหายใจ เหล่าอริยชนเงียบงัน
หานเจวี๋ยเริ่มใช้ความคิด
หรือว่าสุดยอดพลังนั้นคือจิตสังหารของผานกู่
แต่เวลาผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ จิตสังหารของผานกู่ยังคงแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือ
หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว เมื่อผานกู่ดับสูญ เทพมารฟ้าบุพกาลที่เหลือรอดมาผ่านกาลเวลามานานถึงเพียงนี้ น่าจะเหนือกว่าผานกู่ไปนานแล้ว
ช้าก่อน
หรือผานกู่ยังไม่ตาย
หานเจวี๋ยใจเต้นแรง เขารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงยิ่ง
ถ้าคิดกันตามสถานการณ์ทั่วไป ผู้ใดจะยินดีพลีชีพตนเพื่อบุกเบิกฟ้าดินเล่า
ถึงอย่างไรตัวหานเจวี๋ยก็ไม่คิดจะทำแน่
หลังก่อตั้งมรรคาสวรรค์สำเร็จ ผู้ทรงพลังยุคหลังก็พิสูจน์ให้เห็นในจุดหนึ่งแล้วว่า การบุกเบิกฟ้าดินไม่จำเป็นต้องพลีชีพตนเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นหลี่มู่อีและปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ต่างก็บุกเบิกมรรคาสวรรค์น้อยของตนขึ้นทั้งคู่
จู่ๆ ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก็มองไปทางหานเจวี๋ย “หานเจวี๋ย เจ้าเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลตนใดกันแน่”
เหล่าอริยชนก็พากันมองไปที่หานเจวี๋ยเช่นกัน
หานเจวี๋ยตอบ “เทพมารขุนพลสวรรค์”
ถึงอย่างไรเทพมารขุนพลสวรรค์ก็ได้ถือกำเนิดแล้ว
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงขมวดคิ้ว
เหล่าอริยชนชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ ถ้าหานเจวี๋ยเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลจริงๆ เช่นนั้นพวกเขาจะเทียบไม่ติดก็เป็นเรื่องปกตินัก
“ข้ารู้จักเทพมารขุนพลสวรรค์ เขายังมีชีวิตอยู่ จะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร” ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
………………………………………………………………