ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 655 เผ่าหายนะ ไพ่ตาย
สำหรับความทะนงตนของกวนปู้ไป้ หานเจวี๋ยหาได้รู้สึกต่อต้านอันใด อย่างน้อยกวนปู้ไป้ก็ไม่ได้ไปหาเรื่องถากถางศิษย์คนอื่นๆ หรือโอ้อวดตบะของตน หลังจากเข้าสู่สำนักสิ่งแรกที่ทำคือปิดด่านฝึกบำเพ็ญ ความมุ่งมั่นระดับนี้ทำให้หานเจวี๋ยพอใจยิ่ง
เส้นทางแห่งการเพียรบำเพ็ญหาได้เดียวดายไม่!
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย จดหมายในช่วงหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมาไม่แตกต่างกันเลย ไม่มีเรื่องไหนที่ดึงดูดความสนใจหานเจวี๋ยได้เป็นพิเศษ
หลังตรวจจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยก็เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญต่อ
สี่พันปีผ่านไปในชั่วพริบตา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง เขาเพ่งสายตาแวบหนึ่ง เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา
เป็นต้าซั่นเทียน!
ต้าซั่นเทียนเปลี่ยนเป็นเทพมารเงาไพศาลสำเร็จแล้ว!
หลังจากลงถึงพื้น ต้าซั่นเทียนจมอยู่ในภวังค์ เขาพลันได้สติกลับมา รีบคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย
“ขอบพระคุณเจ้าสำนักที่ให้ชีวิตใหม่อีกครั้ง! ต้าซั่นเทียนจะจงรักภักดีต่อท่านไปชั่วชีวิต!”
ต้าซั่นเทียนเอ่ยด้วยความตื้นตัน ด้วยค่าความประทับใจระดับ 6 ดาวที่เขามีต่อหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยเชื่อว่าคำพูดของเขาออกมาจากใจจริง
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ออกไปเถอะ นับจากนี้ก็ฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่ ในสถานการณ์ทั่วไปจงเชื่อฟังมู่หรงฉี่”
“ขอรับ!”
ต้าซั่นเทียนไม่พูดไร้สาระอีก เมื่อทำความเคารพเสร็จก็ออกจากอารามเต๋าไป
พวกมู่หรงฉี่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเขา เดินมาหาทันที หลังจากทราบว่าต้าซั่นเทียนก็กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลเช่นกัน พวกเขาก็พากันเอ่ยแสดงความยินดี
เมื่อหยางตู๋ทราบว่าต้าซั่นเทียนคือตัวตนระดับครึ่งอริยะขั้นสมบูรณ์ที่น่าหวาดหวั่น ก็มีอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเดียวกัน เขาก็คาดหวังต่ออนาคตของตนมากยิ่งขึ้น
ที่นี่เต็มไปด้วยเทพมารฟ้าบุพกาล เขาคือคนต่อไป!
เมื่อต้าซั่นเทียนทราบว่ามีเทพมารฟ้าบุพกาลคนอื่นๆ อยู่ด้วย เขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีก ทว่าก็เก็บซ่อนไว้ในใจ
เจ้าสำนักคิดจะทำอะไรกันแน่
ชุบเลี้ยงกองกำลังเทพมารฟ้าบุพกาลกลุ่มหนึ่งหรือ
ตอนนี้มีเทพมารฟ้าบุพกาลสี่ตนแล้ว วันหน้าก็จะเพิ่มขึ้นอีก!
แค่ต้าซั่นเทียนนึกไปว่าในอนาคตจะมีเทพมารฟ้าบุพกาลกลุ่มหนึ่งเผยตัวสู่โลกบุกตะลุยไปทั่วฟ้าบุพกาล โลหิตเขาก็เดือดพล่านแล้ว ยากจะสะกดความฮึกเหิมได้
หานเจวี๋ยไม่ได้ออกจากอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองในทันที เขาเริ่มสอดส่องเริ่นกังและอิ่นหงเฉิน ทั้งสองล้วนมีตบะระดับเซียนทองไท่อี่แล้ว พวกเขาล้วนกลายเป็นผู้กลับชาติมาเกิดในชั้นแนวหน้าของมิติวัฏจักร ถัดจากหยางตู๋ลงมา
หานเจวี๋ยมิได้ให้จักรพรรดิเซียนวัฏจักรคอยดูแลพวกเขา ที่พวกเขามาถึงวันนี้ได้ ล้วนแต่พึ่งพาความสามารถของตนทั้งสิ้น
สิ่งที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ เกิดความบาดหมางเล็กน้อยขึ้นระหว่างสองคนนี้ เคยต่อสู้กันไปยกหนึ่ง ทว่าไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้
หลังจากเข้าสู่มิติวัฏจักร สองคนนี้ก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แข็งแกร่งยิ่งกว่าหยางตู๋ในกาลก่อนเสียอีก
นอกเหนือจากคุณสมบัติของพวกเขาที่สูงส่งกว่าหยางตู๋แล้ว ก็ต้องยกความดีความชอบให้มิติวัฏจักรที่เข้ายึดครองแดนเซียนพิภพได้สำเร็จ เมื่อได้รับดวงชะตาของแดนเซียนพิภพ เหล่าผู้กลับชาติมาเกิดจึงพัฒนาขึ้นเร็วกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
หานเจวี๋ยคิดไปคิดมา ตัดสินใจไปเข้าฝันพวกเขา เทศนาธรรมแก่พวกเขา
เขาดึงตัวทั้งสองเข้าสู่แดนความฝันเดียวกัน ไม่รอให้คนทั้งสองทันได้ตอบสนอง มหามรรคต้นกำเนิดก็เข้าครอบคลุมจิตรับรู้ของพวกเขา
….
ณ ชายขอบทางช้างเผือก ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีแสงนีออนส่องสว่างพร่างพราวนับไม่ถ้วน มีสถานีอวกาศหลายพันแห่งลอยวนโอบล้อม ยานบินพุ่งสวนขวักไขว่มากมายดั่งฝูงตั๊กแตน
ภายในดาวเคราะห์ ณ ตึกสูงระฟ้าที่มีเมฆหมอกปกคลุมแห่งหนึ่ง บนชั้นดาดฟ้าชั้นที่สูงที่สุด หญิงสาวคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่บนพื้นกระจกเคลือบสีส่องประกายแวววาว บนผนังเต็มไปด้วยแสงสว่างจากเทคโนโลยีไฮเทค ทำให้คนตาลาย เธอสวมชุดฝึกสีดำเข้ารูป ร่างกายมีสัดส่วนโค้งเว้างดงามสมบูรณ์แบบ
เธอคืออิ่นหงเฉิน
ทันใดนั้นเธอลืมตาขึ้นมา แววตาสับสน ร่างกายสั่นไหวนิดๆ
ผ่านไปพักใหญ่
เธอสงบใจลง เอ่ยพึมพำ “ความฝันหรือ”
“ไม่ถูกสิ ตบะของฉันเพิ่มขึ้นจริงๆ…ต้องเป็นฝีมือของผู้อาวุโสลึกลับคนนั้นที่เคยถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้ฉันในอดีตครั้งนั้นแน่นอน...”
ดวงตาอิ่นหงเฉินส่องประกาย เธอเป็นผู้กลับชาติมาเกิดชั้นแนวหน้าแล้ว เธอเคยสัมผัสของรางวัลทุกประเภทในมิติวัฏจักรแล้ว ทว่ากลับไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย
อิ่นหงเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยในตัวผู้อาวุโสท่านนั้น เขาเป็นใครกันแน่
ทำไมถึงสนับสนุนเธอ
อิ่นหงเฉินไม่เข้าใจ เริ่มระลึกถึงมรรคที่ตระหนักได้ก่อนหน้านี้
“ต้น…กำเนิด…”
อีกด้านหนึ่ง บนอุกกาบาตดวงหนึ่ง
ชายหนุ่มร่างกำยำเปลือยท่อนบนคนหนึ่งนั่งอยู่ในหลุมกว้าง เส้นผมสีดำของเขาปลิวไสวนิดๆ บุคลิกดุดัน
เขาคือตัวเลือกเทพมารอีกคนที่หานเจวี๋ยกำหนดตัวไว้ เริ่นกัง
เริ่นกังค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาก็ตื่นตะลึงกับมหามรรคต้นกำเนิดเช่นกัน
“ท่านเป็นใครกันแน่…”
“หรือข้าจะมิใช่เด็กกำพร้า”
ดวงตาเริ่นกังฉายแววซับซ้อน
ยอดฝีมือผู้สามารถก่อคลื่นมรสุมให้ทางช้างเผือกได้คนนี้เริ่มกังวลถึงผลได้ผลเสียแล้ว
….
เมื่อกลับมาที่เขตเซียนร้อยคีรี หานเจวี๋ยไม่ได้ฝึกบำเพ็ญต่อ แต่เทศนาธรรมให้เหล่าศิษย์ในเขตเซียนร้อยคีรี หน่วยลงทัณฑ์ซ่อนเร้นออกโรงแล้ว เหล่าศิษย์ที่เตร่อยู่ด้านนอกไม่ยอมกลับมาก็ถูกจับตัวกลับมา ส่วนศิษย์ที่ไม่ได้กลับมาก็ล้วนสิ้นชีพไปหมดแล้ว
ในการเทศนาธรรมครั้งนี้ กวนปู้ไป้ก็จมจ่อมเคลิบเคลิ้มเช่นกัน
เวลาหนึ่งร้อยปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
[กวนปู้ไป้เกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 5 ดาว]
นับตั้งแต่กราบอาจารย์ กวนปู้ไป้ไม่เกิดความประทับใจต่อหานเจวี๋ยเลย แต่ครั้งนี้กลับพุ่งมาแตะถึงระดับห้าดาวในคราวเดียว
ใช่จริงๆ ต้องแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์ก่อนถึงจะใช้ได้!
หานเจวี๋ยยิ้มนิดๆ เขาเริ่มคาดหวังในตัวกวนปู้ไป้ขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาสัมผัสได้ว่ากวนปู้ไป้เข้าสู่วิถีแห่งมหามรรคต้นกำเนิด ความเร็วในการตระหนักมรรคของเขารวดเร็วกว่าศิษย์ทั้งหมดของสำนักซ่อนเร้น
บุตรแห่งสวรรค์ที่มาจากฟ้าบุพกาลช่างแตกต่างออกไปจริงๆ
เขาวางแผนจะชุบเลี้ยงกวนปู้ไป้อย่างจริงจัง และไม่กลัวเลยว่าวันหน้ากวนปู้ไป้จะทรยศสำนักซ่อนเร้น ถึงอย่างไรก็มีคุกสวรรค์อนธการอยู่!
หานเจวี๋ยเริ่มคิดวางแผนจัดสรรเทพมารฟ้าบุพกาลให้แก่กวนปู้ไป้แล้ว
“เหล่าอริยชนจงรีบมาที่ตำหนักเอกภพ!”
เสียงของจอมอริยะเสวียนตูพลันแว่วขึ้นในหูหานเจวี๋ย น้ำเสียงเจือความร้อนใจไว้เล็กน้อย
หานเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจ เขามองไปที่ยมโลกทันที
เป็นอย่างที่คิด!
มีกลิ่นอายทรงพลังมหาศาลมุ่งหน้าเข้ามาในบริเวณแดนต้องห้ามอันธการนอกเขตยมโลก ราวกับต้องการโถมเข้าปกคลุมยมโลก
หืม
สิ่งอัปมงคลหรือ
ไม่ถูกสิ ถึงแม้จะไร้รูปลักษณ์ แต่กลิ่นอายเข้มข้น ไม่ได้เลือนลับเช่นเดียวกับสิ่งอัปมงคลเหล่านั้น
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เขาขยับตัวมุ่งหน้าสู่ตำหนักเอกภพ
ภายในตำหนักเอกภพ เหล่าอริยชนมารวมตัว แต่ละคนต่างพูดถึงกลิ่นอายลึกลับนอกเขตยมโลก
หานเจวี๋ยไม่ได้เอ่ยสอด
จอมอริยะเสวียนตูพลันปรากฏกายขึ้น เหล่าอริยชนพากันหันไปมองเขา
เทพสูงสุดหนานจี๋มีนิสัยใจร้อนจึงชิงเอ่ยถามก่อน “หนนี้เป็นผู้ใดอีก”
จอมอริยะเสวียนตูถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เผ่าหายนะ เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเทพหวนปัจฉิม ครั้งนี้มีฝูซีเทียนและเทพสูงสุดหยวนสื่อหนุนหลัง ฝูซีเทียนยังไม่ตายจริงๆ ที่พึ่งของเขาก็คือเจ้าแม่หนี่ว์วา เจ้าแม่หนี่ว์วาเป็นอริยะรุ่นแรก สำเร็จเป็นอริยะมหามรรคนานแล้ว เป็นหมากสำคัญตัวหนึ่งที่เหล่าอริยะรุ่นแรกทิ้งไว้คอยสอดส่องควบคุมอริยะมรรคาสวรรค์รุ่นหลัง หลังจากบรรพชนเต๋าหายตัวไป สถานการณ์ของมหาเคราะห์แปรเปลี่ยน นางจึงอาศัยเหตุนี้ถอนตัวไป”
“ฝูซีเทียนเป็นอริยะที่เจ้าแม่หนี่ว์วาให้การสนับสนุน พวกเขาเป็นพี่น้องกันจริงๆ เจตนาของฝูซีเทียนก็คือเจตนาของเจ้าแม่หนี่ว์วาเช่นกัน เคราะห์ภัยครานี้นับว่าเป็นการเผยไพ่ตายแล้ว”
เหล่าอริยชนขมวดคิ้ว เรื่องที่เจ้าแม่หนี่ว์วายังมีชีวิตอยู่ พวกเขามิได้แปลกใจเลย ถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยคาดเดาเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ฟางเหลียงถาม “เมื่อเทียบกับเผ่าเพลิงกัลป์แล้ว เผ่าหายนะเป็นอย่างไร”
สือตู๋เต้าแค่นเสียงกล่าว “แข็งแกร่งกว่าแน่นอน มิเช่นนั้นจะส่งมาหาที่ตายหรือไร”
หลี่เต้าคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ถูกต้อง!”
เหล่าอริยชนมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ เหตุใดจู่ๆ สองอริยะก็ยืนอยู่ฝั่งเดียวกันเล่า
ฟางเหลียง สือตู๋เต้าและหลี่เต้าคงล้วนเป็นอริยะหน้าใหม่ เมื่อพูดคุยกันเองไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ไม่ใส่ใจมารยาทพิธีการ
หานเจวี๋ยมองตัวหมากทั้งสามของตน ไม่ปริปากเอ่ยอันใด
………………………………………………………………