ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 726 พลังแห่งอันธการ มาเยือนไม่ขาดสาย
พูดคุยกับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายอยู่พักใหญ่ แดนความฝันถึงสิ้นสุดลง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สูดหายใจเข้าลึกๆ
เขามองสองมือของตน รับรู้ได้ถึงพลังเวทอันแข็งแกร่งของตัวเอง
เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ ในชั่วขณะนั้น เขาถึงขั้นที่นึกไปว่าตนไร้พ่ายในใต้หล้านี้แล้ว
แต่เขานึกถึงเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลขึ้นมา นึกถึงสภาพน่าอนาถของปรมาจารย์ลัญจกรสรวง
จะหลงลำพองไม่ได้!
หานเจวี๋ยเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบทันที เตรียมจะดึงสติตัวเองสักเล็กน้อย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
เขาวางมือจากแบบจำลองการทดสอบ
ไม่ไหว ไม่ได้ทำให้เยือกเย็นขึ้นเลย กลับทำให้หลงลำพองยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!
‘เมื่อถึงเวลานั้นจะใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบมิ่งดูก่อนสักเล็กน้อย หากว่าเป็นระดับยอดมหามรรค ข้าค่อยพาลูกชายหนีตรงๆ เสียเลย’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
เขารู้สึกว่ามิ่งน่าจะอยู่ในระดับอริยะมหามรรค มิเช่นนั้นหากต้องการสยบวังสวรรค์ ไยต้องอาศัยการเดิมพันด้วยเล่า?
หานเจวี๋ยปรับอารมณ์ ฝึกบำเพ็ญต่อ
….
ฟ้าบุพกาล ณ วังสวรรค์
ภายในพระราชวังเทียมเมฆา โจวฝานเดินนำเหล่าแม่ทัพนายพลเดินเข้ามา ในบรรดานั้นมีฉินหลิงรวมอยู่ด้วย
หลังจากศึกในครั้งนั้น เขารู้สึกพอใจในตัวฉินหลิงเป็นพิเศษ มักจะให้ติดตามอยู่ข้างกายเสมอ ด้วยความช่วยเหลือของเขา ตบะของฉินหลิงเพิ่มพูนขึ้นเร็วยิ่ง ยามนี้เป็นเซียนทองต้าหลัวแล้ว หากอ้างอิงจากความเร็วในการฝ่าทะลวงก่อนหน้านี้ คาดว่าอีกไม่กี่หมื่นปีก็น่าจะพิสูจน์ครึ่งอริยะได้แล้ว เลิศล้ำอย่างยิ่ง!
เมื่อหานทั่วมองเห็นฉินหลิง เขาพยักหน้าให้นิดๆ
ฉินหลิงก็ทำเช่นเดียวกัน
ความรู้สึกที่ฉินหลิงมีต่อหานทั่วนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง อาจารย์ปู่หานอวี้คาดหวังให้เขาเหนือกว่าหานทั่ว เดิมทีเขาคิดว่าหานทั่วเป็นคนชั่วร้าย ไม่นึกเลยว่าหานทั่วจะคอยดูแลเขาเป็นพิเศษ ทำให้เขารู้สึกขัดแย้งยิ่งนัก
แน่นอน หากว่ากันในแง่คุณสมบัติแล้ว ฉินหลิงรู้สึกว่าตนไม่ด้อยไปกว่าหานทั่วเลย!
เขายังคงพยายามจะทำความหวังของอาจารย์ปู่หานอวี้ให้สำเร็จ เหนือกว่าหานทั่วให้ได้!
โจวฝานหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ท่านช่างอยู่นิ่งไม่เป็นเลยจริงๆ เพิ่งจบศึกเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งมา ก็ตีกับมิ่งต่อเลยหรือ เดิมพันการต่อสู้ของพวกท่านเรียกได้ว่าแพร่กระจายไปทั่วฟ้าบุพกาลแล้ว”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายส่ายหน้าก่อนเอ่ยว่า “หาใช่เราที่ก่อเรื่องไม่ เป็นมิ่งที่มาท้าทายก่อน คาดว่าคงเป็นเขาเช่นกันที่แพร่กระจายข่าวลือออกไป”
รอยยิ้มบนใบหน้าโจวฝานเลือนหายไป เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าก็รู้สึกว่าผิดปกติเช่นกัน จึงพาเหล่ายอดฝีมือทั้งหมดของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่มาด้วย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าล้วนจะสนับสนุนท่าน!”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายลุกขึ้นมา เดินมาหยุดตรงหน้า ตบไหล่เขาพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้รู้ใจของเราจะเคยเป็นทหารสวรรค์ในสังกัดเรามาก่อน”
โจวฝานกลอกตาใส่เขา คนผู้นี้ชมชอบเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าผู้อื่นนัก กดให้โจวฝานอยู่ต่ำกว่าตนเสมอ
“จะว่าก็ว่าเถอะ รอจนเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ของข้าเผชิญอันตราย วังสวรรค์ของท่านก็ต้องมาเช่นกัน”
“นิสัยของเรา เจ้ายังไม่รู้กระจ่างอีกหรือ จะไม่ให้การสนับสนุนได้อย่างไร”
ทั้งสองสบตากัน เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น
เหล่าเเม่ทัพนายพลของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่และเหล่าเทพเซียนของวังสวรรค์ล้วนเผยรอยยิ้มออกมา
ฟ้าบุพกาลกว้างไกลไร้สิ้นสุด สองกลุ่มอิทธิพลเคยเผชิญศึกร่วมกันมาหลายต่อหลายครั้ง คอยพึ่งพาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ต่างนับถือกันเป็นพี่เป็นน้องแล้ว
โจวฝานเอ่ยว่า “ระยะนี้อาจจะมีผู้ทรงพลังของกลุ่มอิทธิพลมรรคาสวรรค์อื่นๆ มุ่งหน้ามา เมื่อถึงเวลานั้นวังสวรรค์จะปล่อยพวกเขาเข้ามาหรือไม่”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ปล่อยสิ ย่อมปล่อยแน่อยู่แล้ว ผู้ที่ถูกคุกคามมิได้มีเพียงวังสวรรค์ หากมีชัย วังสวรรค์ของเราจะมีชื่อเสียงเลื่องลือ หากว่าพ่าย จะทำให้กลุ่มอิทธิพลอื่นๆ รู้สึกสะท้านไปด้วย”
โจวฝานพยักหน้ารับ ลอบสะท้อนใจอยู่ภายใน
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสิถึงจะเป็นผู้กระทำการใหญ่อย่างแท้จริง ตัวเขาโจวฝานถึงแม้จะก่อตั้งกลุ่มอิทธิพลขึ้น แต่กลับเหมือนราชาตราตั้งเท่านั้น ไม่ได้มีรัศมีเยี่ยงจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย และยิ่งไม่สันทัดการวางแผนเหมือนเขา
หากเขาเป็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย คงกังวลว่ากลุ่มอิทธิพลอื่นจะมาสร้างปัญหาซ้ำเติม
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่จึงพักอยู่ที่วังสวรรค์
โจวฝานดึงตัวหานทั่ว ฉู่ซื่อเหรินและฉินหลิงไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ใช้คำกล่าวอ้างสวยหรูว่าเป็นการรวมตัวของศิษย์ร่วมสำนัก
เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง มีกลุ่มอิทธิพลทยอยมาเยี่ยมเยือน จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ปล่อยพวกเขาเข้ามาในวังสวรรค์ ใจกว้างผ่าเผยยิ่ง
บางคนลอบถากถางจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายว่าโง่เขลา วู่วาม บางคนเลื่อมใสในความกล้าหาญและนิสัยของเขา ทัศนคติแตกต่างกันไป
แต่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขามีเพียงข้อเดียวเท่านั้น
พวกเขาอยากทราบถึงพลังของมิ่ง!
ณ ส่วนหลังของพระราชวังเทียมเมฆา ภายในศาลาศิลาลอยฟ้าแห่งหนึ่ง จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและนักพรตเต๋าชราคนหนึ่งกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่
เป็นโพธิสัตว์เจียอิ๋นแห่งแดนเทพหวนปัจฉิม
ผู้ก่อตั้งสำนักพุทธแห่งมรรคาสวรรค์[a1]
โพธิสัตว์เจียอิ๋นกล่าวด้วยความสะท้อนใจ “ไม่นึกเลยว่าเด็กน้อยในวันนั้นยามนี้จะบุกเบิกสร้างชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วฟ้าบุพกาล”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เราเพียงทะเลาะต่อยตีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ตบะของตนนั้นกลับไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย”
โพธิสัตว์เจียอิ๋นเอ่ยถาม “บิดาเจ้าสบายดีหรือไม่”
เมื่อจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายได้ฟังแววตาพลันเย็นเยียบ แต่ก็เก็บงำไว้อย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีอันใดให้ดีหรือไม่ดีกันเล่า กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายอัปมงคลแล้ว สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ก็นับว่ามีโชคเทียมฟ้าแล้ว”
“ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเขาจะกลายเป็นสิ่งอัปมงคล กลายเป็นนายแห่งเหล่าสิ่งอัปมงคลอีกด้วย” โพธิสัตว์เจียอิ๋นรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
“นึกถึงอดีตปีนั้น บิดาเจ้าคือบุตรแห่งสวรรค์ที่เลิศล้ำที่สุดของเผ่ามังกรแท้ ชื่อเสียงของเขาแว่วมาถึงแดนเทพหวนปัจฉิมเช่นกัน จนใจที่บังเอิญประสบเคราะห์ในแดนต้องห้ามอันธการ...”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยว่า “หากเขาไม่กลายเป็นสิ่งอัปมงคล เราคงไม่รอดพ้นจากการถูกสิ่งอัปมงคลยึดร่าง แล้วไปเถิด ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ผู้อาวุโส มิ่งมาครานี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ล้วนต้องหาทางหน่วงเหนี่ยวกักตัวเขาไว้”
โพธิสัตว์เจียอิ๋นหรี่ตาพลางเอ่ยว่า “วางใจเถิด เราได้หารือกับเทพสูงสุดหยวนสื่อ เจ้าแม่หนี่ว์วา ฝูซีเทียน รวมถึงสิบสองบรรพชนเผ่าจอมเวทแล้ว มิ่งช่างจองหองเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ก็คุกคามพวกเราเช่นกัน”
วังสวรรค์ไม่ใช่แห่งแรกที่ถูกคุกคาม ถึงอย่างไรเหล่าอริยะมหามรรคแห่งแดนเทพหวนปัจฉิม ต่างก็เผชิญกับการท้าทายจากมิ่งอย่างต่อเนื่อง
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยอย่างใช้ความคิด “ผู้อาวุโส ท่านว่ามิ่งทำเช่นนี้ด้วยสาเหตุใด ไม่ว่าเราจะคิดอย่างไร ล้วนรู้สึกว่าการกระทำนี้เสมือนหาความตายใส่ตัว หากเขาโจมตีตรงๆ ยังพอว่า เขาไล่ท้าทายกลุ่มอิทธิพลมีชื่อเสียงทั้งหมดในฟ้าบุพกาล ถึงขั้นที่ดูแคลนเทพมารฟ้าบุพกาลด้วย”
โพธิสัตว์เจียอิ๋นเอ่ยว่า “หากว่ากันในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็ไม่เห็นว่าเขาจะได้รับผลดีอันใด เช่นนั้นเหตุผลก็มีอยู่เพียงข้อเดียวแล้ว เขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง หาได้ต่อสู้เพื่อตนเองไม่”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้วแน่น
ตัวหมากอย่างนั้นหรือ
….
สามพันปีผ่านไป
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
ไม่รู้ว่าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจะใช้วิชาอัญเชิญเทพตอนใด สำหรับศึกใหญ่ที่กำลังจะมาถึง เขารู้สึกประหม่ายิ่งนัก ทั้งยังตื่นเต้นและกังวลเล็กน้อย
ตอนที่มาเข้าฝันก่อนหน้านี้ เขาได้ถ่ายทอดวิชาอัญเชิญเทพให้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย เมื่อถึงเวลาจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจะเรียกหาเขา
หานเจวี๋ยสงบใจฝึกบำเพ็ญต่อไม่ได้ จึงเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ
เขาตั้งค่าให้ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงหนึ่งร้อยคนเข้าโจมตีตนพร้อมกัน อยากเห็นว่าตนจะเอาชนะได้หรือไม่
ต่อให้มิ่งแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ยังต้องสู้กับอริยะมหามรรคแบบตัวต่อตัว แต่จะกล้าเผชิญหน้ากับการปิดล้อมโจมตีของอริยะมหามรรคหนึ่งร้อยคนหรือไม่
จากนั้น…
หานเจวี๋ยเผชิญกับการรุมสังหารอย่างน่าอนาถ
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงหนึ่งร้อยคนลงมือพร้อมกัน ความแข็งแกร่งเกินเรื่องราวไปมากจริงๆ
แต่นั่นก็ยิ่งกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขา
ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยจึงรอคอยการเข้าฝันจากจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลางหมกตัวอยู่ในแบบจำลองการทดสอบไปด้วย
และในเวลาเดียวกันนี้
ภายในมิติลึกลับ หลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าที่ยังคงนั่งสมาธิอยู่ในสระน้ำพลันลืมตาขึ้นพร้อมกัน
มองเห็นหมอกแสงผืนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา ภายในลำแสงปรากฏฉากสถานการณ์ของวังสวรรค์
“ข้าจะสยบวังสวรรค์ และถือโอกาสทำให้พวกเจ้าได้เห็นว่าพลังแห่งอันธการแข็งแกร่งมากแค่ไหน!”
เสียงของมิ่งดังขึ้นมา น้ำเสียงสะท้อนเลื่อนลอย ไม่สามารถสืบสาวไปถึงตัวจริงได้
หลี่เต้าคงฟังแล้วขมวดคิ้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างวังสวรรค์และสำนักซ่อนเร้น เขารู้ดีที่สุด อีกทั้งไมตรีส่วนตัวที่เขามีต่อจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ดียิ่ง
จู่ๆ สือตู๋เต้าก็ถามขึ้นมาว่า “เอาแต่เอ่ยถึงพลังแห่งอันธการอยู่ตลอด นอกจากมิ่งอย่างพวกเจ้าแล้ว อันธการยังมีกลุ่มอิทธิพลด้วยใช่หรือไม่”
………………………………………………………………
[a1]ชื่อนี้ถูกแล้วใช่หรือไม่คะ ไม่ใช่สำนักพุทธเฉยๆ ใช่มั้ยคะ