ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 738 มือเดียวบดบังฟ้า มหาอริยะสวีหุน
เมื่อได้ยินคำพูดของจอมอริยะเสวียนตู หานเจวี๋ยค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง ข่าวแพร่ไปเร็วขนาดนี้เชียวหรือ
เจ้าชะตาอันธการใจกล้าเกินไปแล้วกระมัง!
ศึกวังสวรรค์ เขาเสียมิ่งไปทั้งหมดสิบห้าราย นอกจากมิ่งทั้งสิบสามที่ถูกหานเจวี๋ยสังหารไป ยังมีมิ่งที่ใช้ทักษะอันธการด้วย รวมถึงมิ่งรายแรกสุดที่ริเริ่มท้าทายวังสวรรค์
มิ่งที่ท้าทายวังสวรรค์ ก่อนหานเจวี๋ยจะจากมา ได้ส่งมอบให้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายอย่างเงียบๆ แล้ว
ว่ากันตามหลักเหตุผล ในสถานการณ์ปกติเมื่อเผชิญความเสียหายหนักเช่นนี้ น่าจะพักฟื้นไปสักระยะก่อน แต่เจ้าชะตาอันธการกลับต่างออกไป กำเริบเสิบสานขึ้นยิ่งกว่าเดิม ไร้ซึ่งความกริ่งเกรง
ในอีกแง่หนึ่ง
การปรากฏตัวขึ้นของมิ่งน่าจะนับได้ว่าทำลายความสงบของฟ้าบุพกาลเช่นกัน เหตุใดถึงไม่ล่วงเกินเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลเล่า
หรือว่าในสายตาของเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล พวกเขาไม่เป็นภัยคุกคามเลย
มีความเป็นไปได้สูง!
อย่างไรก็ตาม เจ้าชะตาอันธการพ่ายแพ้ต่อผานกู่ ต่างจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ นับตั้งแต่มีชื่อเสียงขึ้นมา ก็ยังไม่เคยปราชัย แม้แต่เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด
บางทีเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลอาจจะทราบแล้วว่าหานเจวี๋ยคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ แต่เขาจำเป็นต้องได้รับคำตอบยืนยันด้วย
ถึงอย่างไรยุคสมัยของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็เคยผงาดรุ่งเรืองในมรรคาสวรรค์ ผู้บำเพ็ญมากมายนับไม่ถ้วนล้วนเอาเยี่ยงอย่างเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ ในใจของผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนล้วนคาดเดาเกี่ยวกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ เข้าใจแจ่มแจ้งอยู่ในใจ
ฉิวซีไหลเอ่ยว่า “ขอเพียงไม่คุกคามมรรคาสวรรค์ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขา ถึงแม้จะมีอริยะมหามรรคมากมายมาผูกสัมพันธ์กับมรรคาสวรรค์ แต่รากฐานของมรรคาสวรรค์ยังอ่อนแอเกินไป ภารกิจเร่งด่วนยังคงเป็นการพัฒนามรรคาสวรรค์เป็นหลัก อย่าได้ถูกอริยะมหามรรคเบี่ยงเบนความสนใจ”
ฟางเหลียงเอ่ยว่า “ถูกต้องแล้ว ไม่มีทางเชื่อใจเหล่าอริยะมหามรรคอย่างสนิทใจไปตลอดได้”
ผานซินเอ่ยว่า “ตอนข้าเดินทางกลับ เผชิญกับการโจมตีจากตี้เจียงเข้า เขาคิดจะชิงขวานเบิกฟ้าของข้าไป ช่างน่าชังโดยแท้”
สีหน้าของเขาสงบนิ่งยิ่ง ไม่ได้ระเบิดความโกรธออกมา
ในอดีตเขาเคยเผชิญกับการปิดล้อมโจมตีจากเหล่าอริยะมหามรรค ก็ยังฝ่าวงล้อมออกมาได้ สิบสองบรรพชนจอมเวทไหนเลยจะขวางเขาได้
อริยะรายอื่นๆ ต่างก็นิ่งเงียบ ไม่ทราบว่าสมควรจะพูดอะไรดี
การร่วมมือกับเหล่าอริยะมหามรรคแห่งแดนเทพหวนปัจฉิมเป็นมติเอกฉันท์ ความขัดแย้งระหว่างผานซินและตี้เจียงก็เป็นเรื่องในวงศ์วานเชื้อสายของผานกู่ ไม่สามารถหักล้างมติเอกฉันท์ได้
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็พักเรื่องมิ่งเอาไว้ก่อน เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลสมควรเชื่อมต่อกับโลกฟ้าบุพกาลให้มากขึ้น เช่นนี้ดวงชะตามรรคาสวรรค์ถึงจะขยายเพิ่มรวดเร็วขึ้น อีกเรื่องหนึ่ง ทุกท่านสามารถก่อตั้งโลกมนุษย์ขึ้นด้านนอกมรรคาสวรรค์ได้ ในอนาคตแดนเซียนจะกลายเป็นศูนย์กลางของมรรคาสวรรค์ เมื่อถึงยามที่มรรคาสวรรค์ครอบครองฟ้าบุพกาลได้ เช่นนั้นแดนเซียนก็จะกลายเป็นศูนย์กลางของฟ้าบุพกาล…”
เขาเริ่มบอกเล่าแผนการออกมาเรื่อยๆ เหล่าอริยชนฟังแล้วจิตใจฮึกเหิม
ตอนนี้มรรคาสวรรค์ประสบความสำเร็จแล้ว อริยะทั้งหมดรวมถึงสรรพสิ่งล้วนถูกผูกติดไว้กับกระแสภาพรวม ล้วนพยายามเพื่อมุ่งสู่อนาคต ผู้ใดก็ไม่สามารถขัดขวางกระแสภาพรวมนี้ได้
ครึ่งชั่วยามผ่านไป พวกเขาเริ่มหารือกันเรื่องตำแหน่งอริยะหน้าใหม่
หานเจวี๋ยไม่ได้เข้าร่วม ไม่ว่าผู้ใดจะได้ไป ก็ไม่ส่งผลกระทบมากนัก
แต่เขาสังเกตเห็นว่าจอมอริยะเสวียนตูคล้ายจะต้องการตำแหน่งในครั้งนี้
ที่มรรคาสวรรค์มีวันนี้ได้ นอกจากการปกป้องของหานเจวี๋ยแล้ว จอมอริยะเสวียนตูมีความดีความชอบยิ่งใหญ่ที่สุด เขามุ่งมั่นพากเพียรมาโดยตลอด น้อยนักที่จะเอ่ยถึงความต้องการของตน
หานเจวี๋ยมีความประทับใจในตัวเขา จึงเปิดปากเอ่ยว่า “ให้นิกายเหรินเถอะ จอมอริยะเสวียนตูทุ่มเทมากขนาดนี้ นิกายเหรินก็สมควรพัฒนาสักหน่อยเช่นกัน ในอนาคตสำนักดวงชะตาแต่ละแห่งล้วนจะมีอริยะมรรคาสวรรค์มากกว่าหนึ่งราย อริยะมรรคาสวรรค์มิใช่ความต้องการสูงสุดของพวกเราอีกต่อไป ข้าสังเกตเห็นว่าตบะของทุกท่านล้วนมีความก้าวหน้า การสำเร็จเป็นอริยะเสรี ไม่เกินเอื้อมแน่นอน”
เขาออกปากทั้งที เหล่าอริยชนไหนเลยจะกล้าคัดค้าน ขณะเดียวกันก็เริ่มมีความหวังกับคำพูดของเขา
หากคนอื่นเอ่ยเช่นนี้ พวกเขาล้วนจะเหยียดหยามดูแคลน
แต่หานเจวี๋ยคืออริยะมหามรรค!
ในสายตาของอริยะมหามรรค อริยะเสรีจะนับเป็นอันใดได้เล่า
ชั่วขณะนั้น เหล่าอริยชนเริ่มเอ่ยสนับสนุนจอมอริยะเสวียนตู ถึงขั้นที่ประจบประแจงจอมอริยะเสวียนตูด้วย
ในเวลานี้ จอมอริยะเสวียนตูก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน ตอบรับโดยตรง พลางขอบคุณหานเจวี๋ย
ในฐานะอริยะหน้าใหม่ ซูฉีสังเกตเหตุการณ์ทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ เขามีความรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่า
มือเดียวบดบังฟ้าได้!
….
หลังจากเหล่าอริยะสิ้นสุดการประชุม ร่างแยกวิญญาณของหานเจวี๋ยก็สลายไป
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ
ห้าพันปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
[คุกสวรรค์อนธการสยบทาสสำเร็จ]
[มหาอริยะสวีหุน (มิ่ง) เกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้เต็มขั้นดาวแล้ว]
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
ใช้เวลาหนึ่งหมื่นห้าพันปีเต็ม!
เขาเรียกรูปประจำตัวของมหาอริยะสวีหุนออกมาตรวจสอบทันที
[มหาอริยะสวีหุน: ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะปลาย ผู้กำหนดชะตาเคราะห์ สิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาล หลังจากสำเร็จมหามรรค เผชิญการโจมตีจากดวงจิตมหามรรค ถูกสะกดไว้ ณ ชายขอบฟ้าบุพกาล ต่อมาได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าชะตาอันธการ กลายเป็นมิ่ง ระดับความประทับใจในขณะนี้เต็มขั้นดาวแล้ว]
จุ๊ๆ เป็นผู้อาวุโสทรงพลังอีกคนที่มีอดีตน่าเวทนานัก
สรุปแล้วดวงจิตมหามรรคก่อกรรมไว้มากน้อยเพียงใดกันแน่
มหาอริยะสวีหุนลืมตาขึ้น ลุกขึ้นแล้วคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย “บอกทุกอย่างที่เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับมิ่งออกมา”
มหาอริยะสวีหุนบอกเล่าไปตามความจริงทันที
ปัจจุบันนี้ เจ้าชะตาอันธการขยายจำนวนมิ่งจนมีเกินกว่าห้าสิบรายแล้ว ครึ่งหนึ่งในบรรดานั้นคือเหล่าอริยะมหามรรค อริยะมหามรรคเหล่านี้ต่างถูกฟ้าบุพกาลขับไล่ หรือไม่ก็เป็นตัวตนที่มีความแค้นต่อฟ้าบุพกาล
ต่ำกว่ามิ่งลงไป ยังมีกองทหารอันธการมากมายนับไม่ถ้วนด้วย ล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่เคยถูกฟ้าบุพกาลกดขี่ข่มเหง
สูงกว่ามิ่งขึ้นไป ในสังกัดของเจ้าชะตาอันธการ ยังมีเจ็ดมหาเทพชะตา ลึกลับอย่างยิ่ง ได้ยินว่าล้วนเป็นตัวตนที่เก่าแก่ยิ่งกว่ามรรคาสวรรค์เสียอีก
ความเข้าใจที่มหาอริยะสวีหุนมีต่อกลุ่มอิทธิพลมิ่งอันที่จริงก็ไม่นับว่าลึกล้ำนัก ถึงขั้นที่เขาไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเจ้าชะตาอันธการซ่อนตัวอยู่ที่ใด
“เจ้าชะตาเร้นกายมาโดยตลอด เพื่อหลบหลีกจากสิ่งใด” หานเจวี๋ยถาม
เจ้าชะตาก็คือเจ้าชะตาอันธการ
มหาอริยะสวีหุนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัดขอรับ ข้าเคยพบเขาเพียงครั้งเดียว เขาเคยเอ่ยถึงนามหนึ่ง เทพมารอนธการ”
หานเจวี๋ยหรี่ตาเอ่ยถาม “เทพมารอนธการซ่อนตัวอยู่ในฟ้าบุพกาลจริงๆ น่ะหรือ”
แต่เขารู้ดีอยู่แล้วว่าฟ้าบุพกาลรองรับเทพมารอนธการได้เพียงตนเดียว ซึ่งก็คือเขา
มหาอริยะสวีหุนกล่าว “ข้าก็ไม่ทราบขอรับ ข้าก็เคยสืบหาเทพมารอนธการเช่นกัน ร่ำลือกันว่าสาเหตุที่เทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนต่อสู้กัน นอกจากทำเพื่อพิสูจน์มรรคแล้ว ยังทำเพื่อเปลี่ยนแปลงก้าวข้ามสู่ตัวตนที่เหนือกว่าเทพมารฟ้าบุพกาล ซึ่งก็คือเทพมารอนธการ ทว่าหลังจากผานกู่ทำสำเร็จ กลับมิได้กลายเป็นเทพมารอนธการ กลับดับสูญสิ้นชีพไป มีคนเล่าว่า ผานกู่ได้รับรู้ถึงความน่าหวาดกลัวของเทพมารอนธการ ดังนั้นจึงหลบซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัว มิได้ดับสูญอย่างแท้จริง”
หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด
เขาถามอีกครั้ง “หากตอนนี้ข้าปล่อยเจ้ากลับไป เจ้าคิดว่าเจ้ายังสามารถแทรกซึมเข้าสู่กลุ่มอิทธิพลมิ่งได้หรือไม่”
มหาอริยะสวีหุนส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่ได้ขอรับ เจ้าชะตารับรู้ได้แล้วว่าข้าทรยศ”
หานเจวี๋ยได้แต่ล้มเลิกไปเสีย เขาให้มหาอริยะสวีหุนไปเสาะหาสถานที่สักแห่งเพื่อฝึกบำเพ็ญ วันหน้าให้อยู่ภายในเขตเซียนร้อยคีรี ห้ามเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนต่อผู้อื่น ให้บอกว่าตนคือองครักษ์อาณาเขตเต๋า
ดีร้ายอย่างไรมหาอริยะสวีหุนก็เป็นอริยะมหามรรคตนหนึ่ง วันหน้าสามารถปกป้องมรรคาสวรรค์ได้
ส่วนอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง หานเจวี๋ยยังคงมีความคิดแบบเดิม
มีเพียงเทพมารฟ้าบุพกาลเท่านั้นที่สามารถอยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองได้!
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ข้าอยากรู้ว่านอกจากข้าแล้ว ยังมีเทพมารอนธการตนอื่นอยู่อีกหรือไม่ รวมถึงในดินแดนเวิ้งว้างนอกฟ้าบุพกาลด้วย’
[ฟ้าบุพกาลรองรับเทพมารอนธการได้เพียงตนเดียว ส่วนดินแดนเวิ้งว้างนอกฟ้าบุพกาลขณะนี้ไม่สามารถวิวัฒนาการได้ ดินแดนเวิ้งว้างคือความเวิ้งว้างว่างเปล่าอย่างแท้จริง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ ต่อให้มี ก็สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว ไม่ต่างไปจากตาย]
ครั้งนี้กลับไม่ถูกหักอายุขัย
………………………………………………………………