ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 740 บริวารพลอยรุ่งโรจน์ แผนของดวงจิตมหามรรค
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 740 บริวารพลอยรุ่งโรจน์ แผนของดวงจิตมหามรรค
หลังจากอยู่กับสิงหงเสวียนหลายวัน หานเจวี๋ยกลับมาที่อารามเต๋าของตน
เขาเรียกไก่คุกรัตติกาล สวินฉางอัน แปดพี่น้องภูตน้ำเต้า เจ้าใหญ่ เจ้ารอง สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น ราชามังกรสามหัวและถูหลิงเอ๋อร์เข้ามาที่อารามเต๋า
เหล่าศิษย์สืบทอดมาถึงอย่างรวดเร็ว แต่ละคนประหม่ายิ่ง ต่างก็ปกปิดความตื่นเต้นยินดีไว้ไม่มิด
ยิ่งหานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไร พวกเขาก็เหมือนเรือลอยสูงตามน้ำ แต่ก็ยิ่งห่างไกลจากหานเจวี๋ยมากขึ้นเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ทว่าพวกเขายังคงภักดีต่อหานเจวี๋ยอยู่ ทราบว่าที่หานเจวี๋ยเรียกพวกเขาจะต้องมีเรื่องดีแน่
สำหรับลูกศิษย์และบริวารเหล่านี้ที่อยู่เคียงข้างตนมากว่าสามแสนปี หานเจวี๋ยนั้นระลึกถึงเสมอ
ดังคำกล่าวว่าหนึ่งคนรุ่งเรืองบริวารพลอยรุ่งโรจน์
หานเจวี๋ยไม่มีทางลืม
ในเส้นทางบำเพ็ญ คนไหนที่ทอดทิ้งเขา เขาไม่มีทางไยดี
แต่หากอยู่เคียงข้างเขามาตลอด เขาย่อมใส่ใจแน่นอน
มิใช่แค่คนเหล่านี้ที่อยู่เบื้องหน้า ยังมีพวกจอมปีศาจคุกรัตติกาล จินกังนู่และเผ่าเอกาด้วย หานเจวี๋ยก็ให้การดูแลเช่นกัน แต่จะถัดไปจากกลุ่มคนเบื้องหน้านี้ ลำดับขั้นนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง
“พวกเจ้าคือศิษย์กลุ่มแรกของสำนักซ่อนเร้น ติดตามข้ามากว่าสามแสนปี ถึงแม้ปกติแล้วข้าจะปิดด่านอยู่ตลอด แต่ก็คอยใส่ใจพวกเจ้าเสมอมา ตอนนี้ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะฝึกบำเพ็ญให้บรรลุระดับครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์ให้ได้กันทุกคน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะมอบความประหลาดใจให้พวกเจ้า
“ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ขอเพียงบำเพ็ญบรรลุระดับครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์ ให้มาหาข้าได้เลย”
หานเจวี๋ยเอ่ยเสียงเบา ทุกคนฟังแล้วพลันตื่นเต้นขึ้นมา
มู่หรงฉี่ ลี่เหยา ต้าซั่นเทียนและกวนปู้ไป้ล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่ในหมื่นโลกาฉายชัดก็ไม่มาปรากฏตัว โดยเฉพาะมู่หรงฉี่ เหล่าศิษย์สืบทอดล้วนทราบดีว่าหานเจวี๋ยเมตตาเอ็นดูมู่หรงฉี่อย่างยิ่ง หากเกิดเรื่องขึ้นกับเด็กคนนี้ หานเจวี๋ยไม่มีทางอยู่เฉย ดังนั้นมีสาเหตุที่เป็นไปได้อยู่เพียงข้อเดียวแล้ว
นั่นคือหานเจวี๋ยส่งพวกเขาไปเก็บตัว!
ไก่คุกรัตติกาลถาม “คุณสมบัติของพวกเรามีจำกัด บางทีอาจจะต้องอาศัยบารมีนายท่านเพื่อพิสูจน์มรรค แต่ในภายภาคหน้า ย่อมไล่ตามฝีเท้าของท่านไม่ทัน”
มันพูดจาห่อเหี่ยวน่าสงสาร ทว่าก็เป็นความจริง
ยิ่งระดับสูงเท่าไร คนที่สามารถอยู่เคียงข้างหานเจวี๋ยได้ก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ
หากมิใช่เพราะหานเจวี๋ยสามารถผลิตปราณเทพมารได้ ก็คงช่วยเหลือพวกพ้องเหล่านี้ไม่ได้จริงๆ ทำได้เพียงให้พวกเขามีชีวิตที่สงบสุขไปชั่วชีวิต
“ฝึกบำเพ็ญให้ถึงระดับครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
เมื่อหานเจวี๋ยพูดจบ ก็เริ่มเทศนาธรรม มหามรรคต้นกำเนิดหลั่งไหลเข้าสู่สมองของเหล่าศิษย์สืบทอด
สิบปีต่อมา
พวกเขาเพิ่งออกมาจากอารามเต๋า แต่ละคนล้วนมีใบหน้าใฝ่ฝันตั้งตาถึงอนาคต
….
ในอาณาเขตที่มืดมิดสุดขีดแห่งหนึ่ง กระดูกขาวโพลนนับไม่ถ้วนล่องลอยอยู่ ดูราวกับหมอกขาวที่ลอยปกคลุม
เกาะน้อยลูกหนึ่งลอยอยู่เพียงลำพัง บนเกาะมีเงาดำร่างหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่
เมื่อมองให้ดีๆ เงาดำเป็นเพียงไอดำที่พัวพันอยู่ทั่วร่าง ท่ามกลางไอดำที่ขยับไหวพลุ่งพล่าน ปรากฏใบหน้าหนึ่งที่อัปลักษณ์อย่างยิ่ง มีสัตว์พิษมากมายคืบคลานอยู่บนหน้า เขาสวมอาภรณ์สีดำ บริเวณหน้าอกเป็นโครงกระดูก
สายรุ้งเส้นหนึ่งร่วงลงมาจากด้านบน ร่อนลงตรงหน้าคนชุดดำ คลื่นพายุโหมซัดจนสะเทือนเกาะน้อย กิ่งก้านของต้นไม้เก่าแก่สั่นไหว แต่ไม่ได้ร่วงหล่นลงมา
คนชุดดำค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าต้องก่อความเคลื่อนไหวเช่นนี้อยู่ร่ำไป ไม่รู้สึกว่าเอะอะไปหน่อยหรือ”
ลำแสงสลายไป เงาร่างองอาจร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เขาหัวเราะดังลั่น “ฮ่าๆๆ เทพมารต้องสาป ข้าแค่เห็นว่าเจ้าอยู่ในสถานที่เปลี่ยวเหงาเช่นนี้ จึงอยากสร้างความคึกคักให้แก่เจ้าบ้าง”
คนชุดดำคือเทพมารต้องสาปที่ผ่านการแปลงกายแล้ว
เทพมารต้องสาปลืมตาขึ้นมองออกไป ผู้มาคือชายฉกรรจ์ในชุดคลุมสีม่วงคนหนึ่ง สวมเสื้อเกราะไว้ด้านใน บนศีรษะสวมกวานหงส์โบยบินประดับลูกปัด บนไหล่มีสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมังกรแต่ก็ดูคล้ายกิเลนเกาะอยู่สองตัว
เทพมารต้องสาปเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าคือดวงจิตมหามรรค ช่วยสุขุมหน่อยได้หรือไม่”
“เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งสะกดแดนบรรพกาลไว้ได้ ถึงแม้จะปล่อยให้พวกหัวแข็งบางส่วนหนีรอดไปได้ แต่ก็นับว่าสงบแล้ว ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกข้าไว้ว่าเจ้ามีศัตรูเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ สองคือหานเจวี๋ยแห่งมรรคาสวรรค์ใช่หรือไม่” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงเอ่ยถาม จากนั้นก็หุบยิ้ม
เทพมารต้องสาปพยักหน้า
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงเอ่ยว่า “ไม่นานมานี้ หานเจวี๋ยสังหารมิ่งไปสิบสี่รายรวมถึงดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวังด้วย เจ้าได้ยินข่าวหรือไม่”
เทพมารต้องสาปพยักหน้าอีกครั้ง เพียงแต่สีหน้าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ สัตว์พิษที่คืบคลานอยู่บนใบหน้าก็หยุดนิ่งไป
“เด็กคนนี้ประวัติลึกลับ ซ้ำยังสังหารดวงจิตมหามรรค ละเมิดกฎระเบียบฟ้าบุพกาล เรื่องสำคัญที่สุดคือเขาต้องการขยายมรรคาสวรรค์ จากแนวโน้มพัฒนาการของมรรคาสวรรค์ วันหน้าต้องเปลี่ยนแปลงฟ้าบุพกาลแน่ นี่มิใช่เรื่องดีเลย ข้าวางแผนจะทำลายล้างมรรคาสวรรค์ เจ้ายินดีจะลงมือหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะให้เจ้าได้สังหารหานเจวี๋ยด้วยตัวเอง” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงแค่นเสียงเอ่ย
เทพมารต้องสาปขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
ดวงตาเขาฉายแววชิงชังแวบหนึ่ง
คนที่เขาชิงชังมิใช่หานเจวี๋ย แต่เป็นจอมเทพข่งเซวี่ย
ไอ้คนสมองมีปัญหาผู้หนึ่ง ไล่ล่าสังหารเขาอยู่ตลอด
หากมิใช่เพราะเขาได้รับความช่วยเหลือจากดวงจิตมหามรรคเบื้องหน้าผู้นี้ เกรงว่าคงยังถูกทุบตีอยู่
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงโบกแขนเสื้อเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะจัดการเขาให้ก่อน แผนนี้จำเป็นต้องมีการวางแผน ถึงอย่างไรมรรคาสวรรค์ก็มีความพิเศษ ต้องการเวลาอย่างน้อยหลายแสนปี ข้าถึงจะเข้าโจมตีมรรคาสวรรค์ได้ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็มาด้วยกันเถอะ”
เทพมารต้องสาปลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงพยักหน้ารับ เขาไม่มีทางเลือกแล้ว
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงชูมือขึ้น เงาร่างสายหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านข้างเขา เป็นภาพมายา
“คนผู้นี้คือเหล่าจื่อ เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเทพหวนปัจฉิม เขาช่วยเหลือเจ้านิกายทงเทียนหนีไป ข้าต้องการให้เจ้าสาปแช่งเขา” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงเอ่ยชี้แจง
เทพมารต้องสาปกล่าวว่า “เหล่าจื่อเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่าอริยะมหามรรค ตบะของข้าต่ำเกินไป อาจทำร้ายเขาไม่ได้”
“ไม่เป็นไร เจ้าเลียนแบบเจ้าแดนต้องห้ามอันธการก็ได้ ทำให้บาดเจ็บไม่ได้ก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ ยากที่จะบำเพ็ญได้ซะ”
“เข้าใจแล้ว”
เทพมารต้องสาปตอบรับด้วยความจนปัญญา
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงแสยะยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้านี่นะ ตั้งใจฝึกบำเพ็ญให้ดีเถอะ ยังคงห่างชั้นกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการหลายขุมนัก พูดไปคาดว่าคงไม่มีใครเชื่อว่าเจ้าคือเทพมารต้องสาป มีอย่างที่ไหนปล่อยให้มหามรรคของตนถูกผู้อื่นชิงไปซึ่งๆ หน้าได้”
เทพมารต้องสาปเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้ามีอะไรจะสอนอีกหรือไม่”
“ฮ่าๆๆ เอาตามนี้เถอะ รอข้าช่วยเจ้าสังหารหานเจวี๋ยให้ได้ก่อน วันหน้าค่อยช่วยเจ้าลากตัวเจ้าแดนต้องห้ามอันธการออกมา จอมเทวาฟ้าบุพกาลกำลังตามหาเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอยู่พอดี หากว่าเจ้ามีเบาะแส แจ้งข้าได้ตลอด นี่คือผลงานใหญ่!”
“เข้าใจแล้ว”
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงเลือนหายไป
หัวคิ้วของเทพมารต้องสาปคลายตัวลง ดวงตาเขาฉายแววเย็นชาเล็กน้อย จากนั้นก็หลับตาลงฝึกบำเพ็ญต่อ
….
วันเวลาไหลผ่านไป ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งหมื่นปี
ตบะของหานเจวี๋ยมีความก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น เพียงแต่ยังคงห่างไกลจากการทะลวงขั้นยิ่งนัก
นี่ทำให้เขาเกิดความคิดชั่ววูบอยากที่จะปิดด่านหนึ่งล้านปีขึ้นมา
ถ้าปิดด่านหนึ่งล้านปีจริงๆ ก็เหมือนกับเขาหลับฝันไปตื่นหนึ่ง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ตรวจดูจดหมายด้วยความเคยชิน จากนั้นก็สอดส่องแดนเซียน
ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่พอตนตื่นขึ้นมา มรรคาสวรรค์ก็ได้ล่มสลายไปแล้ว
ขณะนี้ในแวดวงสหายยังไม่มีผู้ใดดับสูญ สหายของหานเจวี๋ยมีมากมายแล้ว แต่คนที่เขาจับตามองเป็นพิเศษ และสามารถนับเข้าสู่แวดวงสหายได้กลับมีไม่มากนัก
มรรคาสวรรค์ก็พัฒนาไปอย่างราบรื่นยิ่ง ถึงขั้นที่รวดเร็วอยู่บ้าง คาดว่าผ่านไปอีกไม่กี่หมื่นปี น่าจะมีตำแหน่งอริยะเพิ่มขึ้นอีกสองที่
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นเรื่องบางอย่าง
ชั้นฟ้าที่สามสิบสามมีกลิ่นอายแห่งอริยะเสรีเพิ่มขึ้นมา
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจอมอริยะเสวียนตู
เดิมทีเขาเป็นอริยะเสรีอยู่แล้ว ทว่าลดตบะตนลงเพื่อมาที่มรรคาสวรรค์ ยามนี้เมื่อมรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้น ในที่สุดเขาก็ฟื้นฟูกลับสู่ตบะที่แท้จริงอีกครั้ง
หานเจวี๋ยสอดส่องมรรคาสวรรค์ต่อ
ไม่นานนัก เขาสังเกตเห็นเรื่องบางอย่างอีกครั้ง
โลงศพของสื่อหยวนหงเหมิงและจารึกเบิกฟ้าหายไปแล้ว
ถึงแม้สื่อหยวนหงเหมิงจะผสานรวมกับหวงจุนเทียน แต่โลงศพและจารึกเบิกฟ้ายังคงอยู่นอกยมโลกมาตลอด มิใช่แค่ของสองสิ่งนี้ที่หายไปเท่านั้น หวงจุนเทียนก็ไม่อยู่ในมรรคาสวรรค์เช่นกัน
………………………………………………………………