ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 765 ข้าอยากล้างแค้น
“เหตุใดจอมเทพข่งเซวี่ยถึงไล่ล่าสังหารเจ้าอยู่ตลอดเล่า”
นักพรตเต๋าเสินเผาถาม เขาก็รู้สึกว่าประหลาดเช่นกัน นี่ก็ผ่านมาหลายแสนปีแล้ว เป็นหนี้แค้นแบบใดกันแน่
เทพมารต้องสาปตอบด้วยความกลัดกลุ้ม “ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด น่าจะเกี่ยวข้องกับหานเจวี๋ย หลังจากออกห่างมรรคาสวรรค์ครานั้น จอมเทพข่งเซวี่ยก็ตามล่าข้าไม่ยอมปล่อย จนถึงตอนนี้พวกเรายังไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย”
แววตานักพรตเต๋าเสินเผาวูบไหว เอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าคือจอมเทพข่งเซวี่ยรับคำสั่งจากหานเจวี๋ยอย่างนั้นหรือ”
เทพมารต้องสาปพยักหน้า กัดฟันตอบ “มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วน หานเจวี๋ยคล้ายจะชำนาญวิธีสยบคน ข้าเคยสืบข่าวมา ฉิวซีไหลแห่งมรรคาสวรรค์และเทพสูงสุดอู๋ฝ่าล้วนเคยเป็นศัตรูของหานเจวี๋ย ยามนี้กลายเป็นผู้สนับสนุนที่ทรงอำนาจที่สุดในมรรคาสวรรค์ของหานเจวี๋ย มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อแห่งเผ่าหายนะเองก็เป็นเช่นนี้ จอมเทพข่งเซวี่ยออกจากมรรคาสวรรค์มาอย่างปลอดภัย เดิมทีก็แปลกอยู่แล้ว มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือเขาสยบต่อหานเจวี๋ยแล้ว!
“ไม่ผิดแน่! เป็นเช่นนี้แน่นอน!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของนักพรตเต๋าเสินเผา เทพมารต้องสาปนำข้อมูลอื่นๆ มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เข้าใจอย่างรวดเร็วยิ่ง
เขาเผยสีหน้าแค้นเคืองออกมา
หานเจวี๋ยที่สมควรตาย ชิงมหามรรคของข้าไป ซ้ำยังไล่ล่าสังหารข้าตลอดอีก!
ถึงแม้เขาจะเกลียดชังหานเจวี๋ย แต่เขายังพุ่งเป้าไปที่หานเจวี๋ยไม่ได้ หานเจวี๋ยมีสิทธิ์อะไรมาตามไล่ล่าเขาอยู่ตลอด
คนผู้นี้เกินไปแล้ว!
ไม่ถูกสิ!
อริยะมหามรรครายนี้ทำเกินไปแล้ว!
เทพมารต้องสาปเงยหน้ามองนักพรตเต๋าเสินเผา “ท่านเสิน ข้าไม่ขอให้ท่านช่วยฆ่าหานเจวี๋ยแล้ว แต่สังหารจอมเทพข่งเซวี่ยให้ข้าก่อนเถิด!”
ทว่านักพรตเต๋าเสินเผาไม่ได้ตอบรับเขา แต่กลับจ้องตรงมาที่เขา
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด
เทพมารต้องสาปคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ สัตว์พิษบนใบหน้าหยุดนิ่ง ร่างกายของเขาสั่นเทานิดๆ
เขากล่าวว่า “ในเมื่อท่านเสินลำบากใจ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ไม่รบกวนการบำเพ็ญของท่านเสินแล้ว…”
เขาหันหลังคิดจะจากไป เพิ่งจะขยับตัว อำนาจทรงพลังอย่างหนึ่งพลันตรึงเขาไว้กับที่ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
“ในเมื่อมาแล้วก็อย่าจากไปเลย”
เสียงของนักพรตเต๋าเสินเผาแว่วแผ่วเบาเข้าสู่หูของเทพมารต้องสาป
สองตาของเทพมารต้องสาปเบิกกว้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
มิน่าเล่านักพรตเต๋าเสินเผาถึงรอดชีวิตกลับมาได้!
หมากก้าวนี้…
เทพมารต้องสาปพลันเกิดความหวาดกลัวในตัวหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยไม่ได้หวาดระแวงเช่นที่เห็นกันในฉากหน้า เพียงแค่ป้องกันไว้ทางหนึ่งเท่านั้น มองจากยามนี้ หานเจวี๋ยเตรียมการมาโดยตลอด ปกป้องมรรคาสวรรค์เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเขาเพียงกลัวว่าจะถูกรบกวน
จบสิ้นแล้ว!
พินาศแล้ว!
….
ณ เขาเทพปู้โจว
หานอวี้นั่งสมาธิอยู่ใต้พฤกษาเก่าแก่ สายลมสะอาดบริสุทธิ์พัดโชยมา สอดประสานกับฟ้าดิน กลายเป็นฉากงดงามเลิศล้ำ
ในเวลานี้เอง
หานอวี้พลันลืมตาขึ้น เขาเลิกคิ้วแวบหนึ่ง พึมพำว่า “เหตุใดถึงรู้สึกเช่นนี้…”
เขาลุกขึ้นยืน เดินลงไปที่ตีนเขา
ที่ตีนเขา สตรีชุดเขียวนางหนึ่งนอนอยู่บนพื้น โลหิตแดงฉานซึมอยู่ตรงหน้าท้อง ใบหน้าซีดเผือด หายใจรวยริน
หานอวี้ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้านาง ขมวดคิ้วแน่น
เขาเทพปู้โจวเป็นเขตปลอดสงคราม กล่าวอีกนัยคือสตรีนางนี้หนีมาถึงที่นี่ในสภาพที่บาดเจ็บอยู่แล้ว
หานอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็โบกแขนเสื้อช่วยรักษาบาดแผลให้นาง
ด้วยตบะของเขา การรักษาผู้บำเพ็ญระดับเซียนคนหนึ่งเป็นเรื่องง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ
ในไม่ช้า สตรีชุดเขียวก็รู้สึกตัว
หานอวี้หายตัวไปแล้ว สตรีชุดเขียวพบว่าอาการบาดเจ็บของตนหายดีแล้ว อดที่จะตื่นเต้นยินดีมิได้
นางลูบหน้าท้องของตน พึมพำว่า “ที่แท้เขาเทพปู้โจวก็มีมหาบรรพชนเผ่ามนุษย์ปิดด่านอยู่ที่นี่จริงๆ”
นางลุกขึ้นยืน หันหลังกลับไปมองทางยอดเขาที่มองไม่เห็นปลายยอด ดวงตานางฉายแววเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น พลันตัดสินใจเดินทางขึ้นเขา
หลายเดือนต่อมา สตรีชุดเขียวหยุดพักที่เนินเขาแห่งหนึ่ง เงยหน้ามองขึ้นไป เมฆาสายฟ้าซัดตลบพัวพันภูเขา ก่อตัวเป็นกำแพงเมฆสายหนึ่ง ไม่ยอมให้ล่วงล้ำผ่านเข้าไป
สตรีชุดเขียวคุกเข่าลง ตะโกนออกมา “ผู้เยาว์ต้องการกราบท่านมหาบรรพชนเป็นอาจารย์ บำเพ็ญมุ่งสู่มหามรรค หวังเพียงล้างแค้น หลังจากล้างแค้นสำเร็จ ข้ายินดีอยู่เฝ้าเขาเทพปู้โจวรับใช้ผู้อาวุโสไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”
เสียงของนางไพเราะเสนาะหู แต่สั่นคลอนหานอวี้ที่อยู่บนยอดเขาไม่ได้
สตรีชุดเขียวร้องตะโกนอยู่หลายวัน เมื่อไม่ได้รับการตอบกลับ นางจึงเสาะหาสถานที่แห่งหนึ่งก่อนเริ่มนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญ รอคอยคำตอบจากผู้อาวุโสอย่างสงบ
การรอคอยครั้งนี้ยาวนานถึงสามพันปี
ใต้พฤกษาเก่าแก่ หานอวี้ลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแววสนใจนิดๆ
เขาเปิดปากถาม “สามพันปีแล้ว เจ้ายังคิดจะล้างแค้นอยู่อีกหรือ”
สตรีชุดเขียวที่กำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่ลืมตาขึ้นทันที สีหน้าตื่นเต้นยินดี
นางรีบลุกขึ้น คุกเข่าคำนับไปทางยอดเขา ประสานหมัดกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ข้ายังคิดอยู่เจ้าค่ะ!”
“ความแค้นอันใดกัน ผ่านไปสามพันปีแล้ว ยังไม่ปล่อยวางอีกหรือ”
สตรีชุดเขียวยังคงอยู่ในระดับเซียน ระยะเวลาสามพันปีสำหรับนางแล้วไม่นับว่าสั้นเลย
สตรีชุดเขียวได้ฟังก็ตอบกลับว่า “ความแค้นสังหารศัตรูของอาจารย์เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ของข้าเก็บข้ามาเลี้ยง เลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ ปฏิบัติต่อข้าเหมือนบุตรสาวแท้ๆ หากข้าไม่ล้างแค้นให้เขา ชีวิตนี้หัวใจของข้าคงยากจะสงบลงได้”
หานอวี้นับนิ้วทำนาย สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแปลกพิกล
สตรีชุดเขียวไม่ได้ยินเสียงเขาพูดต่อ จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ท่านยังอยู่หรือไม่เจ้าคะ ข้าไม่ร้องขอให้ท่านมาช่วยข้าล้างแค้น เพียงถ่ายทอดพลังวิเศษให้ข้าก็พอเจ้าค่ะ หลังจากข้าล้างแค้นสำเร็จ จะอยู่รับใช้ท่านไปชั่วนิรันดร์!”
หานอวี้เอ่ยเสียงเรียบ “อาจารย์ของเจ้าเป็นจักรพรรดิเซียน เช่นนั้นศัตรูของเจ้าก็คงเป็นจักรพรรดิเซียนเช่นกัน แต่เจ้าทราบหรือไม่ว่าจักรพรรดิเซียนหมายถึงอะไร”
สตรีชุดเขียวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกัดฟันเอ่ย “ข้าทราบดีว่ายากเย็นยิ่ง แต่ข้าจำเป็นต้องทำให้ได้”
“เช่นนั้นเจ้าทราบหรือไม่ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังจักรพรรรดิเซียนรายนั้น”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ…”
สีหน้าสตรีชุดเขียวซีดเซียว ถึงนางจะไม่ทราบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของศัตรูคือผู้ใด แต่ก็รู้ว่าในแดนเซียนแห่งนี้ ผู้บำเพ็ญทั้งหลายล้วนมีเส้นสายของตัวเอง ยิ่งตบะสูงเท่าไร เส้นสายภูมิหลังก็ยิ่งใหญ่โตเท่านั้น
หานอวี้เอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เป็นระดับเทพคนหนึ่ง”
สตรีชุดเขียวตัวสั่น อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไป
ระดับเทพ…
สตรีชุดเขียวไม่กล้าจินตนาการเลย นางเพียงเคยได้ยินมาว่าเหนือระดับจักรพรรดิเซียนขึ้นไปมีตัวตนอย่างระดับเทพอยู่ แต่ยังไม่เคยพบมาก่อน
นางเคยเห็นจักรพรรดิเซียนคนหนึ่งลงมือมาก่อน เรียกได้ว่าเด็ดเดือนสอยดาว เคลื่อนเขาเขย่าสมุทรได้ แกร่งกล้าเลิศล้ำ ขนาดจักรพรรดิเซียนยังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงระดับเทพเลย
“แล้วเบื้องหลังระดับเทพคนนั้นคือผู้ใด เจ้ารู้หรือไม่”
สตรีชุดเขียวก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม
หานอวี้เอ่ยต่อว่า “จะผูกอาฆาตจองเวรกันไปถึงไหนเล่า เหนือคนยังมีคนเหนือฟ้ายังมีฟ้า เกลียดชังคั่งแค้นกันไปไม่จบไม่สิ้น จำเป็นต้องทำให้ได้หรือ”
สตรีชุดเขียวกัดฟันกล่าวว่า “ข้าไม่อยากถอดใจเจ้าค่ะ ต่อให้สิ้นชีพ ข้าก็ยังต้องการล้างแค้น!”
หานอวี้ไม่เอ่ยต่ออีก
สตรีชุดเขียวยังคุกเข่าไม่ยอมลุก
การคุกเข่าครั้งนี้ยาวนานถึงห้าร้อยปี
นางคุกเข่าไปพร้อมกับปรับลมหายใจฝึกบำเพ็ญไปด้วย ในสมองยังคงนึกทบทวนถึงวาจาของผู้อาวุโสท่านนั้น
สรุปแล้วนางสมควรล้างแค้นหรือไม่
ในวันนี้ เสียงของหานอวี้แว่วลงมาอีกครั้ง “เจ้าคิดตกหรือยัง”
สตรีชุดเขียวใจลอยอยู่บ้าง ก่อนตอบไปตามสัญชาตญาณ “ข้าอยาก…ล้างแค้น!”
ยามที่สองคำสุดท้ายหลุดออกจากปากนาง สีหน้าพลันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้นมา
เมื่อเอ่ยจบ เมฆสายฟ้าที่ซัดตลบอยู่เหนือศีรษะพลันสลายตัว แสงตะวันสาดส่องลงมาทีละสาย ส่องกระทบร่างของสตรีชุดเขียว ทำให้นางรู้สึกราวกับอยู่ในโลกอีกใบ
นางเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ริมขอบผา ทอดมองนางจากที่สูง
นางเพ่งสายตามอง อดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้
นางหลงนึกว่าผู้อาวุโสจะแก่เฒ่าผมขาวหงอก ไม่คิดเลยว่าจะเป็นบุรุษรูปงามเช่นนี้ นางไม่เคยพบเห็นบุรุษที่หล่อเหลาเช่นนี้มาก่อนเลย ใจลอยไปชั่วขณะ
หานอวี้เอ่ยยิ้มๆ “ขึ้นมาเถอะ ในเมื่อเจ้ายึดมั่นถือมั่นเช่นนี้ ข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษให้เจ้า แต่ข้าจะไม่รับเจ้าเป็นศิษย์ เพียงอยากสร้างสีสันให้ช่วงเวลาอันน่าเบื่อหน่ายสักหน่อยเท่านั้น”
………………………………………………………………