ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 786 อับอาย คู่บำเพ็ญเพียร
แดนความฝันยังเป็นป่าบนภูเขาในละแวกสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์
หวงจุนเทียนลืมตาขึ้น เมื่อมองเห็นหานเจวี๋ย ก็ลุกขึ้นทำความเคารพทันที
“นายท่าน!”
หวงจุนเทียนเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อม
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าหวงจุนเทียนเป็นเช่นเดียวกับปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ดูชั่วร้ายขึ้น ความเปลี่ยนแปลงทางกลิ่นอายมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไร้ซึ่งท่วงท่าศักดิ์สิทธิ์ของผู้เป็นอริยะ
หานเจวี๋ย “เหตุใดช่วงที่ผ่านมาถึงตัดขาดดวงชะตามรรคาสวรรค์”
เขาไม่ได้ถามเรื่องมิ่งตรงๆ ทำราวกับตนไม่ทราบความจริง
หวงจุนเทียนตอบด้วยความจนใจ “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ถูกมิ่งโจมตี ถูกบังคับให้กลายเป็นมิ่งขอรับ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนียิ่งนัก
“ถูกมิ่งโจมตีกี่คน”
“คนเดียวขอรับ…”
“ตบะระดับใด”
“เซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าขอรับ…”
“…”
“…”
หานเจวี๋ยพูดไม่ออกแล้ว
หวงจุนเทียนอับอายอย่างยิ่ง ตัวสั่นไปหมด
มัวแต่ยุ่งอยู่กับการชิงอำนาจ เขาไม่ได้ต่อสู้กับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันมานานเหลือเกิน ยามต่อสู้เผลอประมาท ถูกอีกฝ่ายสะกดควบคุม เมื่อนึกย้อนดูแล้วเขารู้สึกว่าตนอ่อนแอเหลือเกิน
หานเจวี๋ยถอนหายใจคราหนึ่ง “ก็ไม่อาจโทษเจ้าได้ เจ้าไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้จริงๆ”
หวงจุนเทียนกระอักกระอ่วนสุดขีด เขาอยากบอกเหลือเกินว่าตนก็มีพรสวรรค์เช่นกัน
นึกถึงอดีตเมื่อปีนั้น ตอนเขาอยู่ในโลกมนุษย์ ก็นับว่าเป็นตัวตนที่ไร้พ่ายในระดับเดียวกัน จนกระทั่งมาพบหานเจวี๋ยเข้า
เขาไม่มีหน้าจะพูด ได้แต่ซุกหัวหดคอ อยู่เงียบๆต่อไป
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็แฝงตัวอยู่ในกองกำลังมิ่งเถอะ เช่นเดียวกับที่แฝงตัวอยู่ในนิกายเจี๋ยก่อนหน้านี้ เจ้าทำได้หรือไม่” หานเจวี๋ยถาม
หวงจุนเทียนเงยหน้าขึ้นทันที กล่าวว่า “ข้าก็คิดเช่นนี้ขอรับ ต้องการทำคุณทดแทน!”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เจ้าจงดูแลปกป้องตัวเองให้ดี หากมีโอกาสเหมาะสม ข้าจะคิดหาทางช่วยเหลือเจ้า”
“ไม่ต้องขอรับ หากข้าต้องให้ท่านช่วยเหลือ เช่นนั้นก็แปลว่าไร้ประโยชน์จริงๆ ให้ข้าแฝงตัวอยู่ในกลุ่มมิ่งเถอะขอรับ หากวันหน้าท่านอยากทราบสิ่งใด ข้าก็สามารถช่วยสืบหาข่าวมาให้ท่านได้”
ไม่แน่ว่าข้าอาจจะมอบความประหลาดใจให้ท่านได้ด้วย!
หวงจุนเทียนไม่ได้เอ่ยประโยคนี้ออกไป ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือฟ้าบุพกาล แตกต่างจากมรรคาสวรรค์
หากนำฟ้าบุพกาลไปเปรียบเทียบกับมรรคาสวรรค์ มีการเล่นเล่ห์น้อยกว่า แต่ที่มากกว่าคือหลักการผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อผู้แข็งแกร่ง พลังเป็นตัวตัดสิน
ไม่เกรงกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ กลัวก็แต่สิ่งที่ไม่คาดฝัน!
หากว่าหวงจุนเทียนถูกคนบ้าบิ่นสักคนเล่นงานจนตาย เช่นนั้นไม่ขายหน้าแย่หรือ
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ตกลง ว่ากันตามนี้”
แดนความฝันสิ้นสุดลง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น รู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง
ต้องพูดเลยว่า มิ่งค่อนข้างแข็งแกร่งจริงๆ
หลี่เต้าคง สือตู๋เต้า ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงและหวงจุนเทียนต่างตกเป็นเชลย
มีแต่มรรคาสวรรค์ที่เป็นเช่นนี้ ทอดตามองไปทั่วฟ้าบุพกาล เจ้าชะตาอันธการซ่องสุมกองกำลังได้มากน้อยเพียงใดแล้วเล่า
‘เหตุใดถึงไม่มียอดมหามรรคที่แข็งแกร่งไปหาเรื่องเจ้าชะตาอันธการบ้างเลย เอาแต่มาวอแวข้าอยู่ได้’
หานเจวี๋ยคิดด้วยความขุ่นเคือง
บางทีเจ้าชะตาอันธการอาจจะประสบอันตรายยิ่งกว่าเขาเสียอีก เพียงแต่คนผู้นี้มีวิธีหนีรอดเท่านั้น
จะอย่างไรคนผู้นี้ก็ครอบครองอำนาจดวงชะตามหามรรค แม้แต่ผานกู่ก็ยังสังหารเขาไม่ได้
หานเจวี๋ยไล่อ่านจดหมายต่อไป
ทั้งหมดเต็มไปด้วยโอกาสวาสนาและการถูกทุบตี ล้วนไม่สามารถดึงดูดความสนใจของหานเจวี๋ยได้อีก
หานเจวี๋ยจึงหันเหสายตาสอดส่องภายในเขตเซียนร้อยคีรี
เขาพบว่าไก่คุกรัตติกาลบรรลุครึ่งอริยะแล้ว แต่ก็ไม่ได้มาหาเขา
เขานับนิ้วทำนาย อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าพลางหลุดหัวเราะออกมา
ที่แท้เป็นเพราะสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น เจ้าใหญ่ เจ้ารอง รวมถึงศิษย์สืบทอดคนอื่นๆ ล้วนยังไม่บรรลุครึ่งอริยะ ไก่คุกรัตติกาลจึงกำลังรอพวกเขาอยู่
พวกเขาต้องการไปหาหานเจวี๋ยด้วยกัน เนื่องจากพวกเขาเดาได้ว่าทันทีที่ไปหาหานเจวี๋ย พวกเขาจะต้องไปจากเขตเซียนร้อยคีรี
อยู่ด้วยกันมาล้านกว่าปี เจ้าพวกนี้ผูกพันแน่นแฟ้น หักใจทอดทิ้งกันและกันไม่ลง
ก็มิใช่เรื่องแย่อันใด
ในสังกัดของหานเจวี๋ย บรรดาศิษย์ต่างจับกลุ่มเล็กๆ แตกต่างกันออกไป โชคดีที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น
สิ่งสำคัญคือมรรคาสวรรค์และสำนักซ่อนเร้นล้วนกำลังพัฒนาอยู่ พวกเขายังสามารถเติบโตไปได้อีก ดังนั้นจึงไม่มีจุดให้ขัดแย้งเลยสักนิด
หากว่าสำนักซ่อนเร้นไม่สามารถขยายตัวต่อไปได้อีก พวกเขาก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปมากกว่าเดิมได้เช่นกัน เช่นนั้นก็ทำได้เพียงยื้อแย่งฉกฉวยผลประโยชน์ที่มีในกลุ่มอำนาจของตนแล้ว
หานเจวี๋ยไม่เคยกลัวเลยว่าศิษย์ในสำนักจะเกิดความขัดแย้งขึ้นภายใน
ผู้ใดก่อเรื่องขึ้นมาเพียงจับโยนเข้าคุกสวรรค์อนธการเสียก็พอ
ในเวลานี้เอง
หานเจวี๋ยรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยสายหนึ่ง
เทพมารฟ้าบุพกาลหงหยวน!
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับตัวตนของนางทันที
[หงหยวน: ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะปลาย เทพมารฟ้าบุพกาล เกิดความประทับใจในตัวท่านเนื่องจากท่านสังหารดวงจิตมหามรรคแห่งความสิ้นหวัง ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]
ค่าความประทับใจนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่รวมตัวเหล่าเทพมารก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนั้นหานเจวี๋ยไม่ได้สนใจเลย
ความงามมักเป็นภัย จงใจมาเข้าใกล้ข้า ต้องมีแผนการแน่!
นี่มาหากันอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ
ผ่านไปสามลมหายใจ เขาลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วนิดๆ
เขาใช้แบบจำลองการทดสอบอีกครั้ง
ผ่านไปหนึ่งลมหายใจ เขาลืมตาขึ้น ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
เจตนาสังหารฉายวาบขึ้นในดวงตาของหานเจวี๋ย
สังหารทิ้งโดยตรงเลยดีหรือไม่นะ
เลี่ยงไม่ให้นำพาปัญหามาให้ข้า…
ไม่ได้ อีกอย่างอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีค่าความเกลียดชังในตัวเขา เขาจะสังหารได้อย่างไร
หานเจวี๋ยไม่สังหารมิตร
อีกอย่างหากสังหารหงหยวน ต้องดึงดูดให้เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลรวมกลุ่มกันมาโจมตีแน่นอน มีแต่โทษไร้ซึ่งประโยชน์
ช่างเถอะ!
หานเจวี๋ยสร้างร่างแยกขึ้นร่างหนึ่ง ออกไปพบหงหยวน
หงหยวนกำลังรอคอยอยู่ในแดนต้องห้ามอันธการ เมื่อเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้น นางแย้มยิ้ม ยิ้มหวานปานบุปผา เพียงพอจะล้มล้างสรรพสิ่งได้ จนปัญญาที่ในสายตาของหานเจวี๋ย รอยยิ้มของนางช่างมารยานัก
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “สหายเต๋าหงหยวนมาด้วยเรื่องใดหรือ”
หงหยวนป้องปากยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเชิญข้ามาเยี่ยมมิใช่หรือ สหายเต๋าหานปรากฏตัวขึ้นเร็วยิ่ง ข้าหลงนึกว่าข้าคงต้องรอคอยไปอีกสักระยะหนึ่ง มรรคาสวรรค์ช่างเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ พวกเราเหล่าอริยะมหามรรคล้วนไม่อาจรุกล้ำได้”
หานเจวี๋ยยิ้มน้อยๆ ตอบไปว่า “เช่นนั้นเจ้ามาเยี่ยมข้าด้วยเหตุผลนี้อย่างเดียวหรือ”
หมายความว่าอย่างไร
เจ้าคิดจะรุกล้ำเข้าไปหรือ
หานเจวี๋ยแทบจะคิดหยิบขวานออกมาแล้ว
“เหตุผลน่ะหรือ เป็นเพราะข้าอยากสร้างความสนิทสนมกับสหายเต๋าหาน มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานปานนี้ มีเพียงรูปโฉมของสหายเต๋าหานที่ตรงกับรสนิยมของข้า อีกทั้งเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลเหมือนกัน ย่อมอยากใกล้ชิดเป็นธรรมดา” หงหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แสร้งทำทีเขินอาย
หานเจวี๋ยไม่ติดบ่วง ล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่อยู่กันมานานโขแล้ว เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงอีก
ต่อให้สิ่งที่นางพูดมาเป็นความจริง คาดว่าคงเป็นเพราะอยากกอดต้นขาของหานเจวี๋ยไว้
แต่หานเจวี๋ยกลัวความยุ่งยาก!
“ช่วงนี้ต้นกำเนิดฟ้าบุพกาลปรากฏมิติพิเศษขึ้น ด้านในอาจมีโชคอันยิ่งใหญ่รออยู่ สหายเต๋าหานอยากร่วมเดินทางไปกับข้าหรือไม่ ถือโอกาสกระชับสายสัมพันธ์ ไม่แน่ว่าหลังจบการเดินทางครั้งนี้ พวกเราอาจจะกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันก็ได้” หงหยวนถามด้วยรอยยิ้ม
หานเจวี๋ยตอบว่า “ข้ามีคู่บำเพ็ญเพียรแล้ว และไม่ได้มีเพียงคนเดียวด้วย ข้าเสพความหฤหรรษ์มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ภายหลังปลดปลงโลกีย์ ถึงได้เพียรบำเพ็ญเช่นวันนี้ ไม่ต้องการคู่บำเพ็ญเพียรอีก ขอบคุณในน้ำใจของสหายเต๋าหงหยวน”
หงหยวนยิ้มละไมกล่าวไปว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสา สหายเต๋าหานก็อย่าด่วนปฏิเสธเลย หากวันหน้าจู่ๆ เปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า”
หานเจวี๋ยหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “เช่นนั้นก็ค่อยว่ากันในอนาคตเถิด”
“แล้วเจ้าจะไปหรือไม่”
“แล้วไปเถอะ ไกลจากมรรคาสวรรค์เกินไป ข้ากลัวตาย”
“เจ้ากลัวข้าจะทำร้ายเจ้าหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร”
“แม้ว่าสหายเต๋าหงหยวนจะไม่ทำร้ายข้า แต่หากพบพานศัตรูเล่า หรือหากบังเอิญพบยอดมหามรรคผ่านทางมา เล่า จะทำอย่างไร”
“ความคิดนี้ของเจ้าพิลึกเสียจริง ยอดมหามรรคไหนเลยจะพานพบได้ง่ายๆ อีกทั้งจะลงมือโดยไม่สนเหตุผลได้หรือ”
หงหยวนส่ายหน้าหลุดหัวเราะ ยิ่งรู้สึกว่าหานเจวี๋ยน่าสนใจกว่าเดิม
หานเจวี๋ยจนปัญญาแล้ว
พูดมาถึงขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ
ต้องให้ฉีกหน้าตรงๆ หรืออย่างไร?
………………………………………………………………