ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 858 ตั้งอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
บทที่ 858 ตั้งอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
ระยะเวลาปิดด่านของหานเจวี๋ยได้เปลี่ยนเป็นหนึ่งแสนปีไปโดยไม่ทันรู้ตัว
ผ่านไปอีกหนึ่งแสนปี
ในช่วงนี้ หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่ามีการต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้นนอกมรรคาสวรรค์ เพียงแต่ปิดฉากลงรวดเร็วยิ่ง และไม่มีอันตรายกล้ำกรายมรรคาสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจมากนัก
หนึ่งแสนปีต่อมา เขาลืมตาขึ้นอย่างตรงเวลา
นับตั้งแต่พิสูจน์ยอดมหามรรคได้ผ่านไปกว่าหกแสนปีแล้ว แต่เขายังอยู่ห่างไกลจากระดับยอดมหามรรคระยะกลาง มองไม่เห็นปลายทางเลย
หานเจวี๋ยสอดส่องดูรอบๆ มรรคาสวรรค์ก่อน การต่อสู้ก่อนหน้านี้สิ้นสุดลงนานแล้ว ไม่มีกลิ่นอายน่าสงสัยอยู่ในละแวกนั้น และไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ หลงเหลืออยู่ ทุกอย่างดูปกติยิ่ง ราวกับไม่เคยเกิดการต่อสู้ขึ้น
เขานับนิ้วทำนาย ทราบว่าเป็นอริยะเทพอวี๋เจี้ยนที่ออกโรง สังหารผู้รุกราน เขาหมดความสนใจทันที
เขาทอดสายตาเข้าไปในฟ้าบุพกาล เริ่มสอดส่องห้วงจักรวาลดวงดาวที่ตนโยนออกไปเมื่อนานมาแล้ว
ห้วงจักรวาลแห่งนี้วิวัฒนาการจนปรากฏดวงดาวมากมายเท่าอายุขัยของหานเจวี๋ยแล้ว เนืองแน่นเรียงราย ก่อตัวเป็นวงโคจรขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง สว่างไสวพร่างพราว
กฎแห่งการสรรค์สร้างยังคงหล่อเลี้ยงจักรวาลแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง ระหว่างหมู่ดาวปรากฏพลังวิญญาณสารพัดชนิดขึ้น ดวงดาวเริ่มหมุนโคจร ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้น
ตั้งอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามขึ้นในจักรวาลนี้แล้วกัน ถึงอย่างไรปัจจุบันนี้หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ต้องการที่ซ่อนตัวแล้ว เมื่อถึงเวลาสามารถอยู่ในอารามเต๋าแห่งที่สามแล้วทำความเข้าใจพลังแห่งการสรรค์สร้างโดยตรงได้ สมบูรณ์แบบยิ่งนักมิใช่หรือ
พอคิดแล้ว หานเจวี๋ยก็ตัดสินใจทันที
เขาเข้าฝันหลิวเป้ยก่อน
แดนความฝันคือในอารามเต๋า หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “กลับมาเถอะ ไม่ต้องหาแล้ว”
หลิวเป้ยลืมตาขึ้น ตะลึงงัน
“ไม่หาแล้วหรือ” หลิวเป้ยถามด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นอะไร”
หลิวเป้ยตอบอ้อมแอ้มว่า “ข้าถูกขังเสียแล้ว”
หานเจวี๋ยถาม “เป็นผู้ใด”
“ข้าไม่ทราบ…”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
….
หลังสลายแดนความฝัน หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ตัวตนลึกลับที่กักตัวหลิวเป้ยไว้ ข้าสามารถสังหารเขาในเสี้ยววินาทีได้หรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสี่แสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
นี่…
อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!
หานเจวี๋ยคิดจะปล่อยผ่านตามสัญชาตญาณ แต่คิดไปคิดมา ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า
ดำเนินการต่อ!
[ได้]
หานเจวี๋ยสบถในใจ ตนช่างโง่เขลาโดยแท้ ยังมีอะไรต้องปลอดภัยไว้ก่อนอีก
เขาเริ่มรอคอยให้หลิวเป้ยสำแดงวิชาอัญเชิญเทพ
ไม่ว่าอย่างไร หลิวเป้ยทุ่มเททำงานตามคำสั่งของเขา ถึงไม่มีผลงานแต่ก็มีความอุตสาหะ หานเจวี๋ยไม่อาจปล่อยให้เขาถูกข่มเหงได้
หานเจวี๋ยทิ้งเสี้ยวเจตจำนงสายหนึ่งไว้ในอารามเต๋าเสมอมา ยามที่เขาดับสูญอยู่ด้านนอก จะได้คืนชีพในอารามเต๋าได้สะดวก
รออยู่สักพัก คลื่นวนสีดำถึงได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยเปิดใช้สมบัติวิเศษทั่วร่าง แสงเทพแผ่เรืองรอง จากนั้นเขากระโดดเข้าสู่คลื่นวนสีดำ
ทันใดนั้น เขามาปรากฏตัวบนผืนแผ่นดินสีแดงแห้งแล้งรกร้างแห่งหนึ่ง ไอร้อนระเหยอยู่รอบทั่วสารทิศ
หานเจวี๋ยจับพิกัดจากกลิ่นอายของหลิวเป้ยแล้วเคลื่อนย้ายไปปรากฏตรงหน้าเขา艾琳小說
เมื่อหลิวเป้ยเห็นหานเจวี๋ย เขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยไม่สนใจเขา สายตามองไปยังเงาร่างหนึ่งที่อยู่บนเนินเขา
คนผู้นี้มีสามตา กลิ่นอายชั่วร้ายแผ่ออกมาจากทั่วร่าง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หานเจวี๋ยนึกถึงสิ่งอัปมงคลขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“เหตุใดท่านผู้สูงศักดิ์ถึงกักขังร่างแยกของข้า”
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม น้ำเสียงเย็นชา
อีกฝ่ายลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสามจ้องมองหานเจวี๋ย ลุกขึ้นมาทันที
“ยอดมหามรรค กลิ่นอายไม่คุ้นเคย ไม่แปลกเลยที่ข้าทำนายไม่พบพื้นเพของคนผู้นี้ ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็มาสู้กันสักยกเถอะ ทดสอบความสามารถของยอดมหามรรคหน้าใหม่สักหน่อย!”
อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงผันผวนและเย็นชา
หานเจวี๋ยถาม “ท่านคงต้องแจ้งนามสักหน่อยกระมัง”
อีกฝ่ายตอบอย่างเฉยเมย “ข้าคือเฟิงเต้า…”
เขาเอ่ยยังไม่ทันจบ จู่ๆ หานเจวี๋ยก็ก่อร่างจำลองเทพมารขุนพลสวรรค์ขึ้น ซัดหมัดใส่เขา
เทพมารขุนพลสวรรค์ที่สูงนับหมื่นจั้งโน้มตัวไปด้านหน้า ชกลงมาจากเหนือนภา หมัดนี้เร็วเกินไปจริงๆ นักพรตเฟิงเต้าถูกหมัดที่ใหญ่โตดั่งขุนเขาชกเข้าเต็มแรง
ตูม!
พื้นดินไหวถล่ม ธุลีแดงปลิวว่อน ตามมาด้วยลาวานับไม่ถ้วน จากนั้นดาวทั้งดวงพลันเกิดรอยแตกร้าว จากนั้นก็พังทลายลง ก่อตัวเป็นรัศมีทรงกลม ขยายตัวไปในแนวราบ ห้วงอวกาศดั้งเดิมบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง
หานเจวี๋ยคว้าตัวหลิวเป้ย โยนเข้าไปในคลื่นวนสีดำ
คลื่นวนสีดำหดตัวเข้าหากัน
หานเจวี๋ยถือกระบี่พิพากษาอนธการ ยืนอยู่หน้าคลื่นวนสีดำ รอคอยให้คลื่นวนสีดำหดตัว
ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายแกร่งกล้าสายหนึ่งพุ่งเข้ามาโจมตี เขาตวัดกระบี่ในทันใด ปราณกระบี่เข้าไปในคลื่นวนสีดำ ทำลายกายเนื้อของนักพรตเฟิงเต้า
ในเวลานี้เอง คลื่นวนสีดำได้เลือนหายไป
หลิวเป้ยพรูลมหายใจออกมา
หานเจวี๋ยพลันหันหลังกลับมา ประทับฝ่ามือผนึกสุญญตาใส่หลิวเป้ย
จิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาชำแรกผ่านเข้าไปในร่างของหลิวเป้ย ตราผนึกทั้งหมดที่นักพรตเฟิงเต้าทิ้งไว้ในร่างหลิวเป้ยถูกลบล้างไป
สิบลมหายใจต่อมา เขาถึงได้ปล่อยตัวหลิวเป้ย
หลิวเป้ยถามด้วยความระมัดระวัง “เขาแอบวางอุบายไว้ในร่างข้าหรือ”
“อืม มิเช่นนั้นจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดมานานขนาดนี้ได้หรือ”
“จริงดังท่านว่า”
หลิวเป้ยตอบด้วยความละอาย
หานเจวี๋ยโบกมือ สื่อให้เขาถอยออกไป
หลิวเป้ยทำความเคารพแล้วหันหลังจากไปทันที
[นักพรตเฟิงเต้าเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 3 ดาว]
หานเจวี๋ยเรียกดูรูปประจำตัวของนักพรตเฟิงเต้าทันที
[นักพรตเฟิงเต้า: ระดับยอดมหามรรคระยะกลาง สิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาล นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น เกิดความเกลียดชังในตัวท่าน เนื่องจากพลังอันน่าหวาดหวั่นของท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 3 ดาว]
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
หานเจวี๋ยก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน ระดับความเกลียดชังนี้ไม่นับเป็นอันใดเลย ถึงอย่างไรหลิวเป้ยก็ผิดที่เข้าไปในอาณาเขตเต๋าของผู้อื่น
เขาเป็นคนมีเหตุผลคนหนึ่ง การต่อสู้เมื่อครู่นับว่าเป็นการสั่งสอนแล้ว ไม่อาจทำลายล้างผู้อื่นเพียงเพราะเขม่นอีกฝ่ายได้ การฝึกบำเพ็ญมาเนิ่นนานหลายยุคหลายสมัยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
‘หากตอนนี้ข้าออกจากมรรคาสวรรค์ไป แล้วถูกเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลหรือเจ้านวฟ้าบุพกาลสังหาร สามารถฟื้นคืนชีพจากเสี้ยวเจตจำนงที่ทิ้งไว้ในอารามเต๋าได้หรือไม่’
หานเจวี๋ยถามในใจ เป็นการป้องกันเผื่ออีกฝ่ายมีวิธีเหนือชั้นอันใด
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ได้]
เช่นนั้นก็ดี!
หานเจวี๋ยออกจากมรรคาสวรรค์ทันที มุ่งหน้าสู่ห้วงจักรวาลดาราด้วยความเร็วสูงสุด
เขาต้องการตั้งอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามขึ้นในห้วงจักรวาลดารา
ถือโอกาสลองทดสอบเล็กน้อยด้วยว่า หากเขาออกจากมรรคาสวรรค์ จะถูกโจมตีหรือไม่!
หานเจวี๋ยยังคงตึงเครียดยิ่งนัก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ออกมาท่องฟ้าบุพกาลมานานแล้ว
แต่ก่อนอย่างมากก็ใช้ร่างแยก หนนี้นับว่าออกมาด้วยร่างจริงเป็นครั้งแรก
เขาเคลื่อนย้ายมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูง
ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ เขามาถึงห้วงจักรวาลดาราแล้ว
นี่คือความเร็วของระดับยอดมหามรรค แม้ว่าฟ้าบุพกาลจะกว้างไกลไร้ขอบเขตก็ตาม
หานเจวี๋ยลอยตัวอยู่เหนือห้วงจักรวาลดารา ก้มมองหมู่ดาวนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านล่าง ค้นหาดวงดาวขนาดใหญ่ที่อยู่ในจุดในกลางอย่างรวดเร็วแล้วร่อนลงไป จากนั้นก็ก่อตั้งอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
[อาณาเขตเต๋าแห่งที่สามก่อตั้งสำเร็จแล้ว]
ข้อความนี้เด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย จากนั้นเขาสัมผัสได้ว่ามีพลังที่มองไม่เห็นครอบคลุมพื้นที่ในรัศมีสิบล้านลี้ไว้ ปิดกั้นแยกตัวจากโลกภายนอก
พลังวิญญาณและปราณฟ้าประทานเริ่มถือกำเนิดขึ้น บ่งชี้ว่าอาณาเขตเต๋าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับอาณาเขตเต๋าหลักและอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
หานเจวี๋ยเริ่มลบกลิ่นอาย ร่องรอยรวมถึงบ่วงกรรมของตนในระหว่างมาจนถึงห้วงจักรวาลดาราทิ้ง
ทุกอย่างนี้ล้วนไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เขาสามารถใช้จิตรับรู้ลบล้างได้
นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดระดับยอดมหามรรคถึงลึกลับไร้ร่องรอย
‘ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้มีผู้ใดทราบหรือไม่ว่าข้ามาที่นี่’
หานเจวี๋ยยังคงถามในใจด้วยความหวาดระแวง
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
แพงขนาดนี้เชียวหรือ
หานเจวี๋ยหัวใจเต้นรัว
เขาเลือกดำเนินการต่อ
[ไม่มี]
………………………………………………………………
โหมดอ่านต่อเนื่อง