ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 910 ฟ้าบุพกาลยากจะหยั่ง
บทที่ 910 ฟ้าบุพกาลยากจะหยั่ง
ในอวกาศกว้างไพศาล เรือใบขบวนหนึ่งแล่นมุ่งหน้าไปในทิศทางหนึ่ง
เรือใบขนาดใหญ่ลำหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุดมีนักพรตเต๋าวัยกลางคนรายหนึ่งยืนบนดาดฟ้าเรือ มีแผ่นหินขนาดเท่าฝ่ามือสิบชิ้นลอยวนอยู่รอบตัว ดูราวกับชิ้นส่วนตัวต่อ ลึกลับยากจะคาดเดา
นักพรตเต๋าวัยกลางคนจ้องมองจักรวาลดาราที่ส่องแสงพราวระยับอยู่ด้านหน้า ขมวดคิ้วนิดๆ
สิ่งมีชีวิตร่างงูเศียรคนตนหนึ่งที่ด้านข้างเอ่ยยิ้มๆ “ไม่คิดเลยว่าในฟ้าบุพกาลซุกซ่อนโลกเหนือชั้นเช่นนี้ไว้ เหมาะสำหรับให้เผ่าพันธุ์ของพวกเราอยู่อาศัยยิ่ง”
นักพรตเต๋าวัยกลางคนเอ่ยว่า “ผิดปกติ ละแวกนี้ไม่มีผนึกทรงพลังอยู่เลย ด้านในก็ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต เหตุใดถึงไม่มีเผ่าพันธุ์อื่นมาครอบครองก่อนเลย”
สิ่งมีชีวิตร่างงูเศียรคนเอ่ยว่า “ฟ้าบุพกาลไร้ขอบเขต ไม่ถูกสิ่งมีชีวิตค้นพบก็เป็นเรื่องปกติ”
“ก็ถูก เพียงแต่ระวังไว้หน่อยก็ไม่เสียหาย”
นักพรตเต๋าวัยกลางคนเอ่ยเตือน
สิ่งมีชีวิตร่างงูเศียรคนพยักหน้ารับ หันไปถ่ายทอดคำสั่ง
ในเวลาเดียวกันนี้
ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
หานฮวงมองเผ่าพันธุ์ที่อยู่นอกจักรวาล สีหน้าตื่นเต้น
“อริยะเสรี เป็นโอกาสให้ข้าได้ฝึกฝนฝีมือพอดี เปิดประสบการณ์”
หานฮวงพึมพำกับตัวเอง เขาย่อกายกระโจน หวังจะพุ่งออกไป
ครืน!
ค่ายกลอาณาเขตเต๋าอันไร้รูปลักษณ์บนท้องฟ้าสกัดขวางหานฮวงไว้ ท้องนภากระเพื่อมไหว ทำให้เหล่าศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ในอาณาเขตเต๋าเงยหน้ามองด้วยความตกใจ
หานชิงเอ๋อร์แสดงสีหน้าประหลาดใจ เด็กคนนี้คิดจะทำอะไร
นางเงยหน้ามองขึ้นไปเช่นกัน ไม่นานนักก็มองเห็นเผ่าพันธุ์ลึกลับที่อยู่นอกจักรวาลแล้ว
“พี่รอง อย่ากังวลเลย มีเจียงเจวี๋ยซื่ออยู่ ไม่มีทางเกิดอันตรายขึ้น” หานชิงเอ๋อร์ร้องบอก ในอดีตนางเคยเห็นเจียงเจวี๋ยซื่อออกโรงแล้ว จัดการผู้รุกรานได้ราบคาบ
พอหานฮวงได้ยิน ยิ่งขมวดคิ้วแน่น
เขาไม่ได้ดึงดันกระแทกค่ายกลอาณาเขตเต๋าต่อ แต่หันหลังเหาะมุ่งไปหน้าอารามเต๋าของหานเจวี๋ย เขาคิดเข้าไปด้านใน ขอให้หานเจวี๋ยปล่อยเขาออกไป ผลคือเขาไม่สามารถเข้าไปในอารามเต๋าของหานเจวี๋ยได้
หานเจวี๋ยยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ ไหนเลยจะปล่อยให้เขารบกวนได้
หานฮวงมีสีหน้าคับข้อง เขาเป็นอริยะมหามรรค ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่สามารถขยับเขยื้อนประตูบานนี้
เขารู้ว่าท่านพ่อแข็งแกร่งยิ่ง แต่ไม่คิดเลยว่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นที่เขายากจะมองเห็นขอบเขตพลังได้
เขาเป็นถึงอริยะมหามรรคแล้ว แม้แต่ประตูอารามเต๋าแห่งนี้ก็ยังเปิดไม่ออกงั้นหรือ
หานฮวงไม่ยอมรับ กัดฟันดันประตูต่อไป ทุ่มเทพลังทั้งหมดในตัว
จนปัญญาที่ไม่ว่าเขาจะใช้พลังขนาดไหน ก็ดันให้ขยับไม่ได้ เขาถึงขั้นที่ใช้ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรแล้วก็ไม่สามารถทำลายประตูเบื้องหน้าได้
หานฮวงปล่อยมือ หันหลังเดินออกไป
เขากลับมาปิดด่านฝึกบำเพ็ญในอารามเต๋าของตน
ในขณะเดียวกันนี้ เจียงเจวี๋ยซื่อปรากฏตัวขึ้นนอกจักรวาลดารา หานชิงเอ๋อร์เริ่มชมการต่อสู้แล้ว
เจียงเจวี๋ยซื่อไร้พ่ายในระดับเสรี ผู้นำของเผ่าพันธุ์ที่รุกรานก็เป็นอริยะเสรีเช่นกัน ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา
การต่อสู้ดำเนินอยู่ไม่นานนัก เจียงเจวี๋ยซื่อเอาชนะได้สบายๆ
หานชิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ไม่แปลกเลยที่จะข่มพี่รองได้ แข็งแกร่งจริงๆ”
ทุกครั้งได้ชมการต่อสู้ของเจียงเจวี๋ยซื่อ นางล้วนเลื่อมใสยิ่ง 艾琳小說
ชิงหลวนเอ๋อร์ก็รับชมศึกนี้ด้วย เอ่ยชื่นชมว่า “สมกับที่เป็นศิษย์ของท่านพ่อเจ้า เขาน่าจะเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของท่านพ่อเจ้ากระมัง”
หานชิงเอ๋อร์ส่ายหน้า “ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ ข้าเคยได้ยินพี่รองบอกว่า อย่างมากเจียงเจวี๋ยซื่อก็แค่ติดสิบลำดับแรกในสังกัดของท่านพ่อเท่านั้น”
ชิงหลวนเอ๋อร์ส่ายหน้าหลุดขำออกมา
หานชิงเอ๋อร์เหลือบมองนาง อดถามไม่ได้ “ท่านแม่ ดูเหมือนท่านจะไม่สนใจใคร่รู้ในตัวท่านพ่อสักนิดเลยนะเจ้าคะ ระวังท่านพ่อจะหาสตรีมาเพิ่มอีกหลายนาง!”
ชิงหลวนเอ๋อร์เอ่ยยิ้มๆ “หาก็หาไปสิ นับตั้งแต่ข้ารู้จักท่านพ่อเจ้า เขาก็เต็มไปด้วยความลึกลับแล้ว ข้าเองก็ชอบความลึกลับของเขา ข้าฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ก็เป็นเรื่องที่ไม่กล้าคาดคิดมาก่อนอยู่แล้ว ไหนเลยจะไปรบกวนการฝึกบำเพ็ญของท่านพ่อเจ้าอีก”
หานชิงเอ๋อร์เม้มปาก ไม่เข้าใจมารดาของตนเลย ทว่าก็ไม่ได้พูดมากเช่นกัน
ทุกคนล้วนมีทางเลือกในแบบของตน
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อของนางสมบูรณ์แบบจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม ตบะ หรือว่าอุปนิสัยและบารมี นางรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้อีกแล้ว
หานชิงเอ๋อร์อดคิดไม่ได้ สามีในอนาคตของตนจะหล่อเหลาองอาจปานใดกัน
อย่างน้อยก็ต้องเทียบชั้นกับท่านพ่อได้!
ไม่ได้สิ!
ท่านพ่อเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่ง ได้แค่แปดส่วนของเขาก็พอดีมากแล้ว!
….
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งแสนปี
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ตบะก้าวหน้าขึ้นมาก
เขาเลือกเข้าฝันจอมเทพข่งเซวี่ยก่อน เพื่อยืนยันว่าขอมเทพข่งเซวี่ยรอดออกมาแล้วจริงๆ
ในแดนความฝัน จอมเทพข่งเซวี่ยโขกศีรษะให้เขาไม่หยุด ขอบพระคุณหานเจวี๋ย
ตอนนี้เขาภักดีต่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องลงมือก็ช่วยเขาออกมาได้ ที่พึ่งระดับนี้ย่อมต้องเกาะไว้ให้แน่น
หลังจากสลายแดนความฝัน หานเจวี๋ยไปเข้าฝันเทพมหาทัณฑ์ต่อ
เขาเล่าเรื่องของดวงจิตบรรพกาลออกมา
“เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว ดวงจิตบรรพกาลแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ข้าสู้เขาไม่ได้เลย”
เทพมหาทัณฑ์เอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด นี่คือสาเหตุที่เขาไม่กล้าไปเยือนแดนบรรพกาลด้วยตัวเอง
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว เขาทราบว่าเทพมหาทัณฑ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดวงจิตบรรพกาล ค่าตัวแตกต่างกันมากยิ่ง เขาเพียงอยากให้เทพมหาทัณฑ์เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เท่านั้น
เทพมหาทัณฑ์เอ่ยอย่างจนปัญญา “สหายเต๋าน่าจะมองออก ในฟ้าบุพกาลมีอาณาเขตมากมายที่ไม่อาจสอดส่องได้ ยากจะประเมินผู้ทรงพลังที่ซ่อนตัวอยู่ได้ ถึงอย่างไรฟ้าบุพกาลก็ดำรงอยู่มานาน อยู่มานานจนไม่อาจประเมินได้ว่านานแค่ไหนกันแน่”
หานเจวี๋ยเงียบไป
เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าเทพมหาทัณฑ์อ่อนแอลงกันนะ
พอมาอยู่ฝ่ายธรรมะแล้วอ่อนแอลงเช่นนั้นหรือ
พอลองคิดดูแล้วก็ถูก แต่ก่อนเทพมหาทัณฑ์เคยท้าทายตัวตนระดับสูง มีศัตรูน้อยกว่าบรรพชนเทพปฐมกาลมากนัก ตอนนี้เขานั่งอยู่ในตำแหน่งเดียวกับบรรพชนเทพปฐมกาล มีสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องเขาอยู่ แรงกดดันมากกว่าในอดีต ย่อมไม่กล้าบุ่มบ่ามผลีผลาม
“ข้าจะระวังเรื่องนี้เอาไว้ ขอบคุณสหายเต๋ามากที่มาเตือน สหายเต๋าไม่จำเป็นต้องกังวลไป ข้าก็นับว่ามีความเข้าใจในแดนบรรพกาลอยู่ ตอนนี้ยังไม่คุกคามถึงฟ้าบุพกาลแน่” เทพมหาทัณฑ์เอ่ยอย่างจริงจัง น้ำเสียงจริงใจ ราวกับตื้นตันในตัวหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยไม่เชื่อว่าเขาจะรู้สึกตื้นตันจริง จึงบอกลาเขาทันที
หลังจากสิ้นสุดแดนความฝัน หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
ฟังจากคำพูดของเทพมหาทัณฑ์ คนผู้นี้น่าจะมีสายสัมพันธ์อันดีกับดวงจิตบรรพกาลกระมัง
ต่อให้สู้ไม่ไหว ก็น่าจะนั่งไม่ติดสิ สงบนิ่งเช่นนี้ เป็นไปได้สูงว่าสองฝ่ายจะมีไมตรีต่อกัน
หานเจวี๋ยก็ไม่ยอมเสียอายุขัยเพื่อวิวัฒนาการดู แม้ว่าเขาจะเดาถูก ก็ไม่เป็นไรเลย ถึงอย่างไรเขาก็ผูกมิตรกับเทพมหาทัณฑ์แล้ว เท่ากับมีความสัมพันธ์อันดีกับดวงจิตบรรพกาลด้วย
ใครจะเป็นลูกพี่ใหญ่ในฟ้าบุพกาลก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา ขอเพียงไม่มาหาเรื่องเขาก็พอ
ต่อให้คิดจะมาหาเรื่องเขา เขาก็สามารถหดหัวซ่อนอยู่ในอาณาเขตเต๋าได้
ฟ้าบุพกาลในปัจจุบันนี้ ถึงเป็นตัวตนระดับผู้สร้างมรรคา ก็ไม่สามารถบุกเข้ามาในอาณาเขตเต๋าของเขาได้
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย ใส่ใจความเคลื่อนไหวของแวดวงสหายในช่วงนี้
….
ในโลกมืดสลัว หมอกหนาบดบังนภา บนพื้นดินที่กว้างใหญ่ไพศาล มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้นั่งสมาธิรวมกันในบริเวณหนึ่ง เหล่าตานยืนอยู่ไม่ไกล กวาดตามองรอบข้าง
“คงไม่มีอันตรายกระมัง ข้าบอกไปแล้วไง วางใจเถอะ สมบัติชิ้นนั้นของข้าพึ่งพาได้มากยิ่ง หากว่ามีอันตรายเข้ามาใกล้ จะต้องแจ้งเตือนพวกเราแน่” จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เหล่าตานแค่นเสียง “สมบัตินั้นของพวกเราอยู่ในสถานที่อื่นอาจจะใช้งานได้จริง แต่อยู่ที่นี่แล้วไม่แน่ว่าจะได้ผล”
จ้าวเซวียนหยวนส่ายหน้าหลุดหัวเราะออกมา
เจียงอี้กล่าวว่า “จะว่าไป ข้ารู้สึกได้จริงๆ ว่ามีบางสิ่งจับตามองพวกเราอยู่ คงไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าตัวที่ตามไล่ล่าพวกเราก่อนหน้านี้กระมัง”
“คงไม่ใช่กระมัง นี่ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว พวกเราพักฟื้นกันมาพันปีแล้ว”
จ้าวเซวียนหยวนขมวดคิ้วแน่น ในใจก็เริ่มวิตกขึ้นมาแล้วเช่นกัน
พวกเขาสี่คนหากเป็นเรื่องดีมักจะคาดการณ์ได้ยากนัก แต่หากว่าเป็นเรื่องเคราะห์ร้ายแล้ว แต่ละคนล้วนมีลางสังหรณ์เฉียบไวยิ่ง
ยิ่งคิดจ้าวเซวียนหยวนก็ยิ่งวิตก ลุกขึ้นมาทันที
เขากวาดตามองไปรอบๆ กลัวว่าจะมีศัตรูปรากฏตัวขึ้น
เจียงอี้ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ข้าพร้อมจะเจ็บตัวแล้ว”
………………………………………………………………