ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 937 ก้าวตามรอยเท้าอริยะสวรรค์เกรียงไกร
บทที่ 937 ก้าวตามรอยเท้าอริยะสวรรค์เกรียงไกร
เจียงเจวี๋ยซื่อฟังคำพูดของหานฮวงแล้วใจเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เลิศล้ำหมื่นยุค!
ตำแหน่งของบุตรแห่งสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในฟ้าบุพกาล!
ผู้ใดจะไม่ปรารถนาบ้างเล่า
เมื่อก่อนเจียงเจวี๋ยซื่อกลัวจะก่อให้เกิดปัญหายุ่งยากขึ้น แต่ตอนนี้อาจารย์ของเขาคือยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาลแล้ว เขายังต้องกลัวปัญหาอันใดอีก
เจียงเจวี๋ยซื่อหวั่นไหวขึ้นมา
หลิวเป้ยอ่านความคิดในใจของเขาออก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด บางทีนี่อาจจะเป็นการฝึกฝนประสบการณ์ที่อาจารย์เจ้ามอบให้”
ไปเสียได้ก็ดี!
กันไม่ให้มาแย่งรับศิษย์กับข้า!
จักรวาลดารามีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมากเรื่อยๆ สิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกสุดที่ถือกำเนิดขึ้นจะผสานคุณสมบัติเลิศล้ำยอดเยี่ยมไว้ ทั้งยังมีจำนวนจำกัด
“ใช่แล้ว! ไปเถอะ! อย่ายืดยาดเลย!”
หานฮวงตบไหล่เจียงเจวี๋ยซื่อเบาๆ เอ่ยเร่งเร้า
หานชิงเอ๋อร์ก็จ้องมองเขาเช่นกัน
เจียงเจวี๋ยซื่อกัดฟันเอ่ย “ได้! เช่นนั้นข้าจะออกท่องฟ้าบุพกาลไปกับพวกเจ้า!”
หานฮวงและหานชิงเอ๋อร์พลันยิ้มหน้าบาน
….
หลังจากบุตรธิดาจากไป หานเจวี๋ยก็เริ่มสอดส่องโลกอนธการ
เขาเพิ่งทะลวงขั้นได้ไม่นาน ยังอยู่ห่างไกลจากการทะลวงระดับครั้งต่อไป อีกทั้งระดับขั้นต่อไปก็คือผู้สร้างมรรคา ย่อมมิใช่เรื่องง่ายแน่นอน
เวลาผ่านไปหลายแสนปี โลกอนธการมีเทพมารฟ้าบุพกาลถือกำเนิดขึ้นมาอีกกลุ่มแล้ว ส่วนร่างจำลองเทพมารทั้งหมดที่หานเจวี๋ยเรียนรู้ก็กลายเป็นปราณเทพมารภายในโลกอนธการ
ภายในโลกอนธการมีดาราจักรอยู่หนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดล้านล้านล้านล้านล้านล้านแห่ง ภายในดาราจักรบางแห่งมีโลกถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว สร้างสรรค์สมบูรณ์แบบ
เพียงแต่ขณะนี้มีเพียงเทพมารฟ้าบุพกาล ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น
หานเจวี๋ยได้ครอบครองพลังแห่งการสรรค์สร้างแล้ว สามารถวิวัฒนาการสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นได้ แต่เขาไม่ได้รีบร้อน เพียงเติมเต็มพลังแห่งมหามรรคสามพันวิถีเข้าสู่โลกอนธการ เขาต้องการให้เทพมารฟ้าบุพกาลได้เรียนรู้พลังแห่งการสรรค์สร้าง แล้วสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา
หากว่าเขาสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาตรงๆ อาจจะกลายเป็นเหยื่อของเทพมารฟ้าบุพกาลไป แต่หากว่าปล่อยให้เทพมารฟ้าบุพกาลสร้างขึ้นด้วยตัวเอง เช่นนั้นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะนับเป็นทายาทของเทพมารฟ้าบุพกาล ความหมายจะต่างกันออกไป
อีกอย่าง ถึงไม่มีสิ่งมีชีวิต สำหรับหานเจวี๋ยแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
ตัวโลกอนธการเองก็กำลังพัฒนาอยู่ ต่อให้ปรากฏสิ่งมีชีวิตขึ้น ก็ไม่ได้เพิ่มจำนวนปราณอนธการขึ้น กลับจะย่อยสลายดูดกลืนปราณอนธการไป
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็นึกถึงเจ้านวฟ้าบุพกาลขึ้นมา
หรือว่าสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้านวฟ้าบุพกาลมากเท่าไรเช่นกัน ดังนั้นเจ้านวฟ้าบุพกาลจึงไม่แยแสเลย
ขอเพียงฟ้าบุพกาลไม่พังทลายไป เจ้านวฟ้าบุพกาลก็จะปล่อยให้ผู้ทรงพลังฟ้าบุพกาลก่อเรื่องวุ่นวายได้
หากว่ามีเทพมารฟ้าบุพกาลเข่นฆ่ากันภายในโลกอนธการ หานเจวี๋ยจะไม่ใส่ใจเช่นกัน ต่อให้ตายไป ก็ทำให้เทพมารฟ้าบุพกาลถือกำเนิดขึ้นใหม่ได้ มีร่างจำลองเสรีสุญญตาอยู่ เขาก็สามารถสร้างปราณเทพมารขึ้นเรื่อยๆ ได้
ต้องกล่าวเลยว่า ร่างจำลองเสรีสุญญตาเลิศล้ำโดยแท้
บอกว่าเป็นร่างจำลอง แต่ความจริงคือมหามรรคสามพันวิถี
สิ่งนี้คือพลังวิเศษที่ได้มาจากระบบ แปลว่าประวัติความเป็นมาของระบบลึกล้ำยิ่ง
พอนึกได้เช่นนี้ หานเจวี๋ยก็ถามในใจ ‘ความเป็นมาของระบบเกี่ยวข้องกับห้าผู้สร้างมรรคาหรือไม่’
[ไร้บ่วงกรรมเชื่อมโยง]
ไม่มีอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นระบบคงเกี่ยวข้องกับอนธการ
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
ในเวลานี้เอง ข้อความแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ยอีกครั้ง
[ระบบตรวจสอบพบว่าท่านเข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาไปสู่ผู้สร้างมรรคาแล้ว ขอเพียงพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาสำเร็จ จะได้จะทราบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับระบบ]
ผู้สร้างมรรคาอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยอุทานจุ๊ๆ อยู่ในใจ ในที่สุดโฉมหน้าจริงของระบบก็จะเผยออกมาแล้วเช่นนั้นหรือ
ตอนนี้เขาแข็งแกร่งมากแล้ว เข้าใจสภาพร่างกายของตนอย่างสมบูรณ์ ไม่ถูกอำนาจอื่นใดทำให้ไขว้เขวอีก ดังนั้นเขาไม่กังวลอีกแล้วว่าจะถูกระบบแว้งกัด
อีกอย่าง หากไม่มีระบบ ตัวเขาไหนเลยจะมีวันนี้ได้
หากว่าผู้ทรงพลังที่สร้างระบบขึ้นล่วงลับไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นหานเจวี๋ยก็จะทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อเติมเต็มอุดมการณ์ของเขา ถือว่าเป็นการทดแทนคุณ
อย่างไรก็ตามหานเจวี๋ยรู้สึกอยู่เสมอว่าระบบไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากตัวตนใดๆ เลย
คล้ายกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งเสียมากกว่า
ผ่านมาเก้าล้านกว่าปีแล้ว ระบบยังคงทำงานเหมือนหุ่นยนต์มาโดยตลอด ไม่มีวิญญาณและจิตใจ
แน่นอน เป็นไปได้ว่าอาจจะปกปิดไว้หรือไม่ก็เสียความทรงจำไป
ทั้งหมดนี้ล้วนต้องรอจนกว่าเขาบรรลุถึงผู้สร้างมรรคาแล้วค่อยใคร่ครวญกันดูอีกที
หลังผ่านไปหลายชั่วยาม หานเจวี๋ยลุกขึ้นยืน เริ่มยืดเส้นยืดสาย
“สมควรไปผ่อนคลายสักระยะแล้ว”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง
ผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาเดินไปหาสิงหงเสวียนและชิงหลวนเอ๋อร์ สอบถามพวกนางว่าอยากออกไปเที่ยวเล่นหรือไม่
ทว่าเกิดเหตุเหนือความคาดหมายเพราะสตรีทั้งสองปฏิเสธ
คำพูดที่หานเจวี๋ยเอ่ยยามทำศึกกับดวงจิตบรรพกาลในวันนั้นดังก้องฟ้าบุพกาล พวกนางก็ได้ยินเช่นกัน หลังจบเรื่องหานฮวงได้เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่าดวงจิตบรรพกาลแข็งแกร่งมากแค่ไหน ในใจของพวกนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
พวกนางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหานเจวี๋ยถึงมารำลึกอดีตกับพวกนาง ที่แท้ก็กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เพื่อไม่ให้ต้องเสียใจภายหลัง
สตรีทั้งสองนางเคยหารือกันเป็นการส่วนตัวแล้วว่าจะแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ จะให้ไล่ตามสามีทันนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยก็ต้องมีคุณสมบัติพอจะช่วยแบ่งเบาแรงกดดันของสามีบ้าง
พวกนางไม่ไป หานเจวี๋ยกลับรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง เลยต้องไปที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สองคนเดียว
ภายในอาณาเขตเต๋าทั้งสามแห่งล้วนมีเสี้ยวเจตจำนงของเขาทิ้งไว้เสี้ยวหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย
เมื่อเห็นหานเจวี๋ย ลี่เหยาและอู้เต้าเจี้ยนต่างปรีดายิ่ง รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ
อู้เต้าเจี้ยนซักถามเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด เรื่องที่ถามล้วนเกี่ยวข้องรายละเอียดช่วงเขาต่อสู้กับดวงจิตบรรพกาลก่อนหน้านี้
หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ปิดบังเช่นกัน
“ดวงจิตบรรพกาลแข็งแกร่งมากจริงๆ ข้าจำเป็นต้องจริงจังกับการต่อสู้”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจริงจัง อู้เต้าเจี้ยนฟังแล้วกลอกตาคราหนึ่ง
ลี่เหยากลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ยิ่งการต่อสู้จบลงเร็วเท่าไรก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังของท่านพี่ เพราะเอาจริงเอาจังมากถึงได้ไปจู่โจมกะทันหัน”
“เพราะครั้งนี้ข้าไปโจมตีเขาอย่างเปิดเผยชัดเจน หาใช่จู่โจมกะทันหันไม่” หานเจวี๋ยแค่นเสียงตอบ
ตัวเขาในอดีตจะตั้งใจพูดจาเหลวไหลไปเรื่อย เบี่ยงเบนความสนใจของศัตรูแล้วค่อยชิงลงมือก่อน
ลี่เหยามองเขาด้วยสายตาเทิดทูน ทำให้เขาพอใจยิ่ง
อู้เต้าเจี้ยนถามด้วยความสนใจ “เช่นนั้นท่านก็ถ่ายทอดพลังวิเศษให้พวกเราด้วยสิเจ้าคะ ให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้นด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว อีกเดี๋ยวจะเทศนาธรรมให้พร้อมกันทีเดียว”
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ
หลายวันต่อมา หานเจวี๋ยเดินออกมาจากอารามเต๋าพร้อมสตรีทั้งสอง ลี่เหยามีสีหน้าปกติเป็นธรรมชาติ แต่สีหน้าอู้เต้าเจี้ยนกลับแดงซ่าน
เทพมารฟ้าบุพกาลห้าสิบสามตนพากันเข้ามาหาทันที ทั้งหมดล้วนมีสีหน้าตื่นเต้น
“คารวะท่านเจ้าสำนัก!”
“คารวะอาจารย์ปู่!”
“คารวะนายท่าน!” 艾琳小說
หานเจวี๋ยโบกแขนเสื้อพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่งลงเถอะ ไม่ได้เทศนาธรรมให้พวกเจ้ามานานแล้ว สมควรจะมอบโชควาสนาให้สักหน่อยแล้ว”
ทุกคนเริ่มประจบเอาใจเขา ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง นอกจากฝึกบำเพ็ญแล้วก็ไม่มีเรื่องอื่นใดให้ทำอีก เบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้วศึกระหว่างหานเจวี๋ยและดวงจิตบรรพกาลยังไม่ได้ผ่านไปนานมากขนาดนั้น
อีกอย่าง ต่อให้ผ่านไปหลายแสนปีแล้ว อิทธิพลของศึกนี้ก็ยังคงอยู่ ทุกครั้งที่พวกเต้าจื้อจุนเข้าสู่หมื่นโลกาฉายชัดล้วนจะเอ่ยถึงอิทธิพลจากการต่อสู้นี้
ยามนี้อริยะสวรรค์เกรียงไกรกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในฟ้าบุพกาลแล้ว ไม่ใช่แค่กับมรรคาสวรรค์ บุตรแห่งสวรรค์ในดินแดนอื่นรวมถึงในอาณาเขตฟ้าบุพกาลแห่งอื่นล้วนเคารพเลื่อมใสในตัวอริยะสวรรค์เกรียงไกรทั้งสิ้น การก้าวตามรอยเท้าของอริยะสวรรค์เกรียงไกรกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดในการบำเพ็ญของเหล่าบุตรแห่งสวรรค์
ทันทีที่เริ่มเทศนาธรรม พอหานเจวี๋ยเปล่งวาจาคำแรกออกมาก็ทำให้เหล่าเทพมารทั้งหมดเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรคทันที
เวลาผ่านไปสามพันปีเต็ม พวกเขาถึงทยอยได้สติกลับคืนมา ตบะล้วนมีความก้าวหน้าทั้งสิ้น ถึงขั้นที่ในหัวตระหนักรู้ในมหามรรคอื่นๆ เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยด้วย
ส่วนหานเจวี๋ยกลับหายตัวไปนานแล้ว
มู่หรงฉี่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ที่แท้อาจารย์ปู่อยู่ระดับใดกันแน่ ช่างลึกล้ำเหลือคณาโดยแท้”
กวนปู้ไป้เอ่ยยิ้มๆ “ฮ่าๆๆ เจ้าย่อมหยั่งไม่ถึงแน่อยู่แล้ว เพียงแต่เจ้าสามารถหยั่งระดับของข้าดูได้ อีกไม่นานข้าจะพิสูจน์มหามรรคแล้ว!”
“ข้าก็ด้วย!”
จิ้งจอกชาดเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจ พวกเขาล้วนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล คุณสมบัติเลิศล้ำ พอได้รับการเทศนาธรรมจากหานเจวี๋ย ประตูสู่มหามรรคก็ปรากฏต่อครรลองสายตาของเทพมารฟ้าบุพกาลบางส่วนแล้ว
………………………………………………………………