ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 947 ยุคใหม่ ชะตาเซียนพเนจร
บทที่ 947 ยุคใหม่ ชะตาเซียนพเนจร
“ข้าจะพิสูจน์ตัวให้เห็นในงานชุมนุมฟ้าบุพกาล!”
จ้าวซวงเฉวียนแค่นเสียง สายตาเขามองไปที่ร่างชิงเทียนเสวียนจี แววตาเต็มไปด้วยเจตนาต่อสู้
ชิงเทียนเสวียนจีเวียนท้าสู้กับพวกเต้าจื้อจุนครบทั้งสามคนแล้ว เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่า ในการต่อสู้ครั้งที่สามเกิดเสียงดังสะท้านสะเทือนดึงดูดให้เหล่าบุตรแห่งสวรรค์ออกมาสังเกตการณ์
แม้จะเห็นชิงเทียนเสวียนจีพ่ายแพ้เพียงศึกเดียว ทว่าจ้าวซวงเฉวียนคิดว่าคุณสมบัติของตนต้องแข็งแกร่งกว่าชิงเทียนเสวียนจีแน่
ตระหนักรู้ได้หลังต่อสู้เช่นนี้จะนับเป็นอันใดเล่า
ไม่สามารถเอาชนะศัตรูที่เหนือกว่าได้ ยังเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งได้อีกหรือ!
เหล่าตานพินิจดูจ้าวซวงเฉวียน จากนั้นมองไปที่ชิงเทียนเสวียนจีอีกครั้ง มองสลับไปมาไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่
อีกด้านหนึ่ง
ภายในวังวิถีสวรรค์
โจวฝาน ฟางเหลียง หลงเฮ่า ซูฉีและหลี่เสวียนเอ้าเหล่าศิษย์สืบทอดแห่งสำนักซ่อนเร้นมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
พวกเขาก็กำลังชมการต่อสู้ระหว่างเจียงอี้และชิงเทียนเสวียนจีอยู่เช่นกัน
ฟางเหลียงเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “เวลาผ่านไปเร็วยิ่ง ชนรุ่นหลังต่างไล่ตามขึ้นมาแล้ว”
โจวฝานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว นึกถึงอดีตปีนั้น พวกเราก็เป็นบุตรแห่งสวรรค์ในถิ่นของตน แต่ยังเทียบกับบุตรแห่งสวรรค์เหล่านี้ไม่ได้เลย ล้วนบรรลุระดับอริยะกันแล้ว แต่รู้สึกเหมือนยังไม่พ้นจากอาจารย์เลย พวกเราในช่วงเวลานั้นแค่บรรลุจักรพรรดิเซียนได้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว”
“ฮ่าๆๆ ก็ไม่เห็นหรือว่ามรรคาสวรรค์ในตอนนี้ต่างจากมรรคาสวรรค์ในกาลก่อนมากเพียงใด”
หลี่เสวียนเอ้าเอ่ยต่อพลางลูบเคราหัวเราะเสียงดัง
ซูฉีกล่าวด้วยความจนใจว่า “ศิษย์ข้าคนนี้คุณสมบัติเลิศล้ำจริงๆ แต่นิสัยหยิ่งทะนงเกินไป ชิงเทียนเสวียนจีถูกขนานนามว่าเป็นบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งของมรรคาสวรรค์ คาดว่าเด็กสองคนนี้คงต้องขัดแย้งกันไม่น้อย อาจารย์อย่างพวกเราก็ไม่สามารถบังคับห้ามปรามได้”
โจวฝานพยักหน้าพลางกล่าวว่า “บังคับห้ามปรามไม่ได้จริงๆ เรื่องของชนรุ่นหลัง ผู้อาวุโสไหนเลยจะแทรกแซงได้ อีกทั้งยังไม่ใช่หนี้แค้นยิ่งใหญ่อันใดด้วย”
เขาเริ่มย้อนระลึกถึงช่วงเวลาในอดีตของตน
บทสนทนาค่อยๆ เข้าสู่เรื่องงานชุมนุมฟ้าบุพกาล
หลงเฮ่าเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “ตอนนี้มรรคาสวรรค์มีบุตรแห่งสวรรค์มากมายปานนี้ สิบยอดฟ้าบุพกาลจะไม่ตกเป็นของมรรคาสวรรค์หมดหรือ”
โจวฝานส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “อย่าได้ดูแคลนฟ้าบุพกาลเชียว บุตรแห่งสวรรค์ชั้นเลิศในฟ้าบุพกาลก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เว้นเสียแต่เหล่าบุตรแห่งสวรรค์ในมรรคาสวรรค์จะเป็นระดับเดียวกับหานฮวง”
เมื่อเอ่ยถึงหานฮวง ทุกคนล้วนรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
เสรีแต่กำเนิด เพียงพอที่จะทำให้บุตรแห่งสวรรค์ไม่ว่าคนใดก็ต้องรู้สึกสิ้นหวังอยู่ในใจ
โชคดีที่ครั้งนี้หานฮวงไม่ได้มาเข้าร่วมงานชุมนุมสำนักซ่อนเร้น มิเช่นนั้นบุตรแห่งสวรรค์เหล่านี้ต้องได้รับความสะเทือนใจจนปิดกั้นตัวเองแน่นอน ไหนเลยจะกล้าไปต่อสู้แย่งตำแหน่งอีก
“งานใหญ่ครานี้ของสำนักซ่อนเร้นนับว่าเป็นเรื่องดี ทำให้เหล่าศิษย์แห่งสำนักซ่อนเร้นได้เข้าใจว่าทางสำนักแข็งแกร่งมากเพียงใด ว่ากันตามจริง แม้แต่ข้าก็ตกใจเช่นกัน โดยเฉพาะพวกเจ้าไก่คุกรัตติกาล ไม่น่าเชื่อว่าจะสำเร็จเสรีกันหมดแล้ว น่าเหลือเชื่อนัก อริยะเสรีกว่าห้าสิบคนเชียวหรือ” โจวฝานอดพูดถึงไม่ได้
คนอื่นๆ ก็พยักหน้ารับ
หลี่เสวียนเอ้าเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักบ่มเพาะพวกเขาด้วยวิธีลับ พวกเจ้าระวังตัวไว้เถิด อย่าถูกแซงจนรั้งท้ายเล่า”
หลงเฮ่าแบสองมือพลางเอ่ยว่า “ข้าถูกแซงล้ำหน้าไปแล้ว เมื่อก่อนข้ารู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจยิ่ง ตอนนี้ถึงได้พบว่าคุณสมบัติกลายเป็นดาษดื่นสามัญเสียแล้ว”
ในอดีต เขาคือตัวตนที่มีคุณสมบัติเลิศล้ำที่สุดในหมู่โอรสของจักรพรรดิสวรรค์
จนปัญญาที่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง เขามิใช่บุคคลเลิศล้ำเหนือชั้นอีกต่อไป
โจวฝานเอ่ยยิ้มๆ “ลองไปหาบิดาของเจ้าดูหรือไม่ ตอนนี้ฝ่าบาทก็รุ่งโรจน์มากเช่นกัน ในสังกัดมีอริยะมหามรรครั้งตำแหน่งแม่ทัพเทพด้วย ต้องรู้ไว้ด้วยว่าในฟ้าบุพกาลมีอริยะมหามรรคอยู่เท่าไร เพียงได้มาสักคนก็นับว่าทรงพลังมากแล้ว”
หลงเฮ่าส่ายหน้า ตอบอย่างจนใจว่า “ระหว่างข้าและเขาตัดสัมพันธ์พ่อลูกกันไปนานแล้ว เป็นความผิดของตัวข้าในกาลก่อนเอง อย่าได้เอ่ยถึงเลย”
พอเอ่ยถึงเรื่องก่อนมรรคาสวรรค์จะเริ่มต้นวงจรใหม่ขึ้นมา สีหน้าของซูฉีก็ค่อนข้างอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติเช่นกัน
ทำลายล้างสรรพสิ่ง เป็นตราบาปที่เขาไม่อาจลบเลือนได้ชั่วชีวิต
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่กำลังพูดคุยกันอยู่ อริยะมรรคาสวรรค์คนอื่นๆ ก็พูดคุยอยู่ในอาณาเขตเต๋าอื่นเช่นกัน
งานใหญ่ที่สำนักซ่อนเร้นจัดขึ้นครานี้ มีบุตรแห่งสวรรค์ของสำนักซ่อนเร้นกลับมามากมายเหลือเกิน เกิดแรงกระตุ้นต่อเหล่าบุตรแห่งสวรรค์ในมรรคาสวรรค์อย่างใหญ่หลวง นี่นับเป็นเรื่องดีสำหรับมรรคาสวรรค์
อริยะทั้งหมดล้วนรับรู้ได้ถึงเค้าลางแห่งความรุ่งโรจน์และการแข่งขันที่จะตามมาในอนาคต
แต่ก่อนเป็นเพียงยุคสมัยแห่งอริยะสวรรค์เกรียงไกรที่เลิศล้ำเหนือโลกา ตอนนี้อริยะสวรรค์เกรียงไกรมาถึงจุดสูงสุดแล้ว คลื่นลูกหลังกำลังซัดโถมไล่ตามมาอย่างบ้าคลั่ง ยากจะหยุดยั้งได้
….
จิตรับรู้ของหานฮวงค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมา ความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาดั่งน้ำหลาก ทำให้เขาปวดหัวแทบระเบิด
เขาลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือสีขาวโพลน มองไม่เห็นสิ่งใดเลย
เขาหันศีรษะไปมองอย่างยากลำบาก
หานชิงเอ๋อร์และเจียงเจวี๋ยซื่อลอยอยู่รอบๆ ไม่ไกลออกไปเห็นเซียนพเนจรกำลังนั่งสมาธิอยู่ รอบกายมีปราณสีม่วงพัวพัน
“เกิดอะไรขึ้น…”
สีหน้าหานฮวงแปรเปลี่ยน เขาพลันพบว่าพลังเวทของตนหายไป มรรคผลแห่งมหามรรคถูกชิงไป ตอนนี้เขาไม่ต่างไปจากมนุษย์ธรรมดาเลย
เขามองเซียนพเนจรด้วยสายตาโกรธแค้น ร้องด่าว่า “ไอ้ชาติสุนัข! เจ้าทำอะไรลงไป”
เซียนพเนจรลืมตาขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า “คุณสมบัติเสรีแต่กำเนิดช่างแข็งแกร่งโดยแท้ เหนือล้ำกว่าเทพมารฟ้าบุพกาล ต้องขอบคุณความเลิศล้ำของเจ้าแล้ว ข้าจะใช้คุณสมบัติของเจ้าสำแดงเดชต่อไปเอง”
“ข้าควรจะเรียกคุณสมบัติที่เหนือล้ำกว่าเทพมารฟ้าบุพกาลของเจ้าว่าอย่างไรดีเล่า โอ้ ใช่แล้ว ในตำนานกล่าวกันว่าเทพมารอนธการสยบอยู่เหนือกว่าเทพมารฟ้าบุพกาล ในเมื่อไม่มีตัวตนอย่างเทพมารอนธการอยู่ เช่นนั้นข้าจะกลายเป็นเทพมารอนธการเอง เจ้าว่าเป็นอย่างไร ฮ่าๆๆ!”
เซียนพเนจรหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หานฮวงได้ฟังก็ตาแดงก่ำ
ในเวลานี้เอง เจียงเจวี๋ยซื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเช่นกัน
สีหน้าเจียงเจวี๋ยซื่อก็แปรเปลี่ยนมหันต์ จ้องมองไปที่เซียนพเนจร ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เจ้าทำอะไรข้า”
เซียนพเนจรเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มหาโชคแต่กำเนิด วิชากลับชาติกำเนิดมหาโชคของเจ้ากลายเป็นของข้าแล้ว เมื่อผสานพรสวรรค์ของพวกเจ้าทั้งสองเข้าด้วยกัน ข้าก็จะไร้พ่ายแน่นอน อริยะสวรรค์เกรียงไกรผู้นั้นไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของข้า เดิมทีข้าก็เป็นยอดมหามรรคอยู่แล้ว รอจนข้าผสานรวมเสร็จ ต้องเหยียบอริยะสวรรค์เกรียงไกรไว้ใต้เท้าได้แน่!”
สีหน้าเจียงเจวี๋ยซื่อดำคล้ำ ทว่าไม่ได้สบถด่าเหมือนหานฮวง
ด่าไปก็แค่ระบายอารมณ์ได้เท่านั้น ไม่มีประโยชน์กับสถานการณ์ปัจจุบันเลย
เซียนพเนจรค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เขาชูสองมือขึ้นมา เอ่ยยิ้มๆ “พวกเจ้าอย่ากลัวไปเลย ข้าไม่สังหารพวกเจ้าแน่ เพียงต้องการตัดเส้นทางไร้พ่ายของอริยะสวรรค์เกรียงไกร เขาส่งผลกระทบต่อเส้นทางพิสูจน์มรรคแห่งวิถีสูงสุดมากเกินไป เขาเป็นตัวประหลาด ทำให้บ่วงกรรมและชะตาฟ้าบุพกาลปั่นป่วน เดิมทีก็ไม่สมควรมีตัวตนอยู่แล้ว รอข้าสังหารเขาได้ก็จะคืนคุณสมบัติและโชคให้พวกเจ้า”
หานฮวงกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ จ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย หากว่าสายตาสามารถสังหารคนได้ เซียนพเนจรคงร่างสิ้นวิญญาณสลายไปแล้ว
เจียงเจวี๋ยซื่อเปิดปากถาม “คืนให้พวกเราอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเป้าหมายของเจ้าคืออะไร เพียงเพื่อล้างแค้นท่านอาจารย์ข้าเช่นนั้นหรือ”
เซียนพเนจรส่ายหน้าพลางเอ่ยไปว่า “ล้างแค้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าไร้ความบาดหมางกับเขา ข้าบอกไปแล้วอย่างไร ข้าทำเพื่อปกป้องฟ้าบุพกาล ฟ้าบุพกาลประทานโชคให้ข้า ข้าดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคบุกเบิกฟ้าบุพกาล ผ่านยุคสมัยมานับไม่ถ้วน ข้าเคยเห็นดวงจิตและผู้ยิ่งใหญ่มามากมายนัก ทุกยุคสมัยล้วนมีผู้ไร้พ่ายที่บากบั่นมานะเหยียบย่ำกองกระดูกขึ้นมาเพื่อพิสูจน์มรรค แต่อริยะสวรรค์เกรียงไกรกลับต่างออกไป เขาไม่มีดวงชะตามรรคาสวรรค์ ดวงชะตาของเขาถึงขั้นที่ไม่อยู่ในฟ้าบุพกาลด้วยซ้ำ ตลอดเส้นทางเขาสังหารคนที่เดิมทีสมควรเป็นผู้ไร้พ่ายไปมากมาย กิตติศัพท์การต่อสู้เหล่านั้นไม่อาจคาดเดาได้เลย เดิมทีก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
“เขาเป็นตัวประหลาด หากว่าไม่กำจัดเขา ฟ้าบุพกาลต้องล่มสลายแน่”
หานฮวงร้องด่า “หากไม่มีบิดาข้า ฟ้าบุพกาลไหนเลยจะสงบสุขได้ ดวงจิตบรรพกาล ดวงจิตมหามรรคเหล่านั้นสมคบกันทำชั่ว ฟ้าบุพกาลจะเป็นอย่างไรเล่า”
เซียนพเนจรย้อนถาม “เช่นนั้นหากมรรคาสวรรค์แข็งแกร่งกว่าฟ้าบุพกาล ฟ้าบุพกาลจะเป็นเช่นใดเล่า”
หานฮวงผงะไป
แววตาเซียนพเนจรเยียบเย็น เอ่ยไปว่า “มรรคาสวรรค์ หาใช่เพียงฟ้าดินแห่งหนึ่งไม่ คุณสมบัติมันเทียบได้กับฟ้าบุพกาล ดวงชะตาทั้งสองแบ่งแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง หากว่าปล่อยให้มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วมรรคาสวรรค์จะเข้าแทนที่ฟ้าบุพกาล สิ่งมีชีวิตโบราณและเผ่าพันธุ์แรกฟ้าบุพกาลเหล่านั้นที่เข้าสู่มรรคาสวรรค์ไม่ได้ล้วนจะดับสูญไม่อาจย้อนหวนกลับมาได้ และสาเหตุที่จะนำพาไปถึงรูปการณ์ของจุดจบเช่นนี้ก็คืออริยะสวรรค์เกรียงไกร!
“เขาจำเป็นต้องตาย!”
………………………………………………………………