ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 973 เป้าหมายของหานเจวี๋ย
บทที่ 973 เป้าหมายของหานเจวี๋ย
“ทำอย่างไรดี”
เจียงอี้กระซิบถาม สายตาจับจ้องร่างที่เต็มไปด้วยขนสีขาวเขม็ง กลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาโจมตีกะทันหัน
สามคนที่เหลือก็คิดเช่นนี้ ไม่กล้าประมาท
เต้าจื้อจุนขมวดคิ้วแน่น ในฐานะผู้นำกลุ่มหน้าที่ตัดสินใจตกอยู่กับเขา
โชควาสนาในครั้งนี้ไม่ใช่น้อยเลย น้ำพุนี้ไม่เพียงช่วยให้ตบะของพวกเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเท่านั้น ยังยกระดับคุณสมบัติด้วย โดยเฉพาะประโยชน์อย่างหลังทำให้มันกลายเป็นโชควาสนาที่ถึงร้องขอก็ไม่อาจได้มา แล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร
อีกทั้งพลังของร่างขนสีขาวนี้ก็ไม่อาจหยั่งวัดได้ ไหนเลยจะขู่ให้ยอมล่าถอยได้
เต้าจื้อจุนเพ่งสายตา มือขวาที่ไพล่หลังไว้กำเข้าหากัน วินาทีต่อมา ห้วงอากาศรอบตัวร่างขนสีขาวแข็งตัวในชั่วพริบตา ส่งผลให้ร่างขนสีขาวขยับตัวไม่ได้เช่นกัน
“สลาย!”
เต้าจื้อจุนตวาดเสียงเบา ร่างขนสีขาวและผลึกน้ำแข็งรอบตัวแตกกระจายไปพร้อมกัน สลายเป็นไอหมอกเลือนหายไป
จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้ตะลึงงัน จบเท่านี้หรือ
ในเวลานี้เอง แขนข้างหนึ่งที่มีขนยาวสีขาวปกคลุมยื่นออกมาจากน้ำพุอีกครั้ง ร่างขนสีขาวร่างเดิมปีนออกมาอีกครั้ง จ้องมองพวกเขาเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้
เหล่าตานขมวดคิ้วแน่น
“อยากได้…มากกว่านี้หรือไม่…”
จู่ๆ ร่างขนสีขาวก็เปล่งเสียงงึมงำเข้าใจยากออกมา แต่สมองของพวกเต้าจื้อจุนกลับแปลงเสียงเป็นภาษาที่พวกเขาเข้าใจได้ด้วยตัวเอง
เหล่าตานขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เจ้าต้องการให้พวกเรามุดลงไปหรือ”
“ถูกต้อง…”
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
“ข้าก็จำไม่ได้ว่าข้าเป็นใคร…หากพวกเจ้าช่วยข้า ข้าจะให้พวกเจ้ามากขึ้น…”
พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามมองหน้ากัน
หรือว่าเจ้าสิ่งนี้ถูกผนึกไว้ในน้ำพุ
สรุปแล้วใต้น้ำพุซุกซ่อนสิ่งใดไว้กันแน่
ร่างขนสีขาวสั่นสะท้านไปทั่วตัว ยกมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ด้านล่าง…”
เหล่าตานเดินมาหยุดข้างกายเต้าจื้อจุน เอ่ยเสียงขรึม “เจ้าคิดอย่างไร”
แววตาเต้าจื้อจุนวูบไหว สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่เข้าถ้ำเสือไหนเลยจะได้ลูกเสือ ข้าจะลงไปก่อน พวกเจ้ารอที่นี่ หากข้าไม่กลับมาภายในสามชั่วยามก็หาทางช่วยข้าเถิด!”
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็จะรับหน้าให้ก่อนเสมอ!
“ข้าจะลงไปกับเจ้าด้วย!”
เจียงอี้เอ่ยเสียงขรึม แววตาแน่วแน่
จ้าวเซวียนหยวนเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “จะลงไปคนเดียวได้อย่างไร หากเกิดเรื่องกับเจ้าจริงๆ พวกเราก็ช่วยเจ้าไม่ได้เช่นกัน แตกกลุ่มกระจายไปหมด ไปด้วยกันเถอะ อริยะมหามรรคสี่คน อย่างไรก็คงไม่ถึงตายกระมัง!”
เหล่าตานสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เอ่ยขึ้นมา “ผู้เฒ่าก็ต้องไปด้วยหรือ”
“ไร้สาระ! เป็นพวกพ้องกันมิใช่หรือ”
“ผู้เฒ่าเป็นรุ่นปู่เจ้าแล้ว!”
ทั้งสี่โต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง คลายความประหม่าจากนั้นก็พากันมุดลงน้ำพุไป
….
ณ อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
หานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นพร้อมหานหลิง เมื่อได้เห็นสภาพแวดล้อมรอบข้างที่คุ้นเคยอีกครั้ง หานหลิงถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้ายิ้มแย้ม
“เดียดฉันท์ฟ้าบุพกาลปานนี้เชียวหรือ” หานเจวี๋ยรู้สึกขบขัน
หานหลิงป้องปากหัวเราะพลางเอ่ยว่า “เดียดฉันท์จริงๆ เจ้าค่ะ วันหน้าท่านพ่ออย่าบอกให้ลูกออกไปอีกเลย เว้นแต่ท่านจะออกไปทำธุระค่อยให้ลูกติดตามไปด้วยก็ได้เจ้าค่ะ”
หานเจวี๋ยนั่งบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร เอ่ยอย่างจนใจ “สตรีต้องมีครอบครัว ไม่มีทางติดตามพ่อไปได้ตลอด”
หานหลิงก็นั่งลงเช่นกัน กล่าวไปว่า “รอจนข้าเหนือกว่าท่านพ่อค่อยออกไปแล้วกันเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นอาจจะได้อยู่ตลอดไปจริงๆ”
“เช่นนั้นก็ยิ่งดีเจ้าค่ะ”
หานหลิงแลบลิ้นอย่างซุกซน
หานเจวี๋ยก็ไม่พูดมากอีก เริ่มฝึกบำเพ็ญต่อ
เขาก็มีเป้าหมายของตนอยู่เช่นกัน นั่นก็คือการพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาให้ได้ในเร็ววัน
สองพ่อลูกปิดด่านไปพร้อมกัน
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หนึ่งแสนปีผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยเริ่มสอดส่องโลกอนธการ หานหลิงเดินออกไปด้านนอก ไปเยี่ยมเซวียนฉิงจวินผู้เป็นมารดา ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ลูกกัน เมื่อมีเวลาว่างนางก็สมควรไปเยี่ยมบ้าง
โลกอนธการยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พลังปฐมยุคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หากเทียบกับจำนวนปราณอนธการแล้วเปรียบเสมือนน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร ไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงเลย
ยิ่งปราณปฐมยุคเพิ่มขึ้นมากเท่าไร พลังเวทของหานเจวี๋ยก็แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้เทพมารฟ้าบุพกาลในโลกอนธการก็มีเกินห้าร้อยตนแล้ว ปราณเทพมารที่เหลือยังอยู่ระหว่างฟูมฟัก การจะให้กำเนิดเทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนนั้นอยู่อีกไม่ไกลแล้ว
หานเจวี๋ยคาดการณ์ว่าน่าจะมีเทพมารฟ้าบุพกาลไม่ถึงสามพันตน เพราะถึงอย่างไรก็มีเทพมารฟ้าบุพกาลเกือบร้อยตนอยู่ในฟ้าบุพกาล โดยส่วนใหญ่อยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย
[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารพยาบาท] x10922281
[จ้าวเซวียนหยวนศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมารพยาบาท] x9873221
….
[หานฮวงบุตรชายของท่านทะลวงระดับ พลังมรรคเพิ่มมหาศาลฉับพลัน]
[โจวฝานศิษย์ของท่านเข้าสู่ก้นบึ้งฟ้าบุพกาล]
[ชิงเทียนเสวียนจีสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[เทพมหาทัณฑ์สหายของท่านเผชิญกับคำสาปแช่งลึกลับ]
[เทวีตราวินัยสหายของท่านดูดซับพลังแห่งกฎเกณฑ์สูงสุด พลังมรรคเพิ่มพูน]
[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านตระหนักรู้ในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
….
หานเจวี๋ยแปลกใจ พวกเต้าจื้อจุนล้วนตระหนักรู้ในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค
โชคดีขนาดนี้เชียวหรือ
เขานับนิ้วทำนาย พบว่าตนทำนายถึงพิกัดของสามคนนี้ไม่ได้
น่าสนใจอยู่บ้าง
หานเจวี๋ยสามารถปราบอริยะมหามรรคนับล้านได้ แต่ยังคงสอดส่องสถานที่บางส่วนในฟ้าบุพกาลไม่ได้
ในฟ้าบุพกาลยังมีเฒ่าประหลาดมากมายเร้นกายอยู่ ตอนที่ดวงจิตนพชาติเข้าโจมตีอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามก่อนหน้านี้ หานเจวี๋ยก็รับรู้ถึงกลิ่นอายหลายสายที่แกร่งกล้ากว่าเทพมหาทัณฑ์
ล้วนเป็นตัวตนโบราณ แต่ด้อยกว่าหานเจวี๋ยเสียอีก
หานเจวี๋ยไล่อ่านจดหมายต่อไป
ดวงชะตาของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย หวงจุนเทียนและพวกโจวฝานล้วนเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น ช่วงนี้แม้แต่นักพรตเต๋าเสินเผาก็พบโชควาสนาเช่นกัน
หานเจวี๋ยอ่านแล้วปรีดานัก
เมื่อแวดวงสหายไม่เกิดเรื่องขึ้น เขาก็สามารถปิดด่านอย่างสบายใจได้
ปัจจุบันนี้เทพมหาทัณฑ์และเทวีตราวินัยล้วนกลายเป็นคนของเขาแล้ว ในฟ้าบุพกาลน่าจะไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายคนใกล้ชิดของเขาอีก
หลังจากอายุครบสิบล้านปี หานเจวี๋ยสงสัยยิ่งนักว่าตัวเลือกรางวัลทุกหนึ่งล้านปีจะกลายเป็นทุกสิบล้านปีหรือไม่
หากเป็นเช่นนี้ เขาจะต้องเพิ่มกำหนดเวลาปิดด่านให้นานขึ้น
หนึ่งแสนปีสั้นเกินไป!
เขามีเป้าหมายอย่างหนึ่งที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ นั่นคือพิสูจน์ผู้สร้างมรรคาก่อนงานชุมนุมฟ้าบุพกาล
งานชุมนุมฟ้าบุพกาลน่าจะจัดขึ้นตอนเขาอายุสิบห้าล้านสองแสนปี เขายังมีเวลากว่าห้าล้านปี
หลายชั่วยามต่อมา หานหลิงกลับมาที่อารามเต๋า
พอเห็นบิดากำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ นางก็เข้ามาหาทันที เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ลูกพิสูจน์เสรีแล้วเจ้าค่ะ จำนวนกองทหารจักรพรรดิบรรลุถึงแสนนายแล้ว”
ทหารจักรพรรดิระดับเสรีหมื่นนายอย่างนั้นหรือ
หัวใจหานเจวี๋ยเต้นแรง ดาวจักรพรรดิอนธการน่ากลัวอยู่บ้าง
หรือว่ามหาโชคแต่กำเนิดจะมีความต่างด้านระดับชั้นอยู่เช่นกัน เขารู้สึกว่าเจียงเจวี๋ยซื่อสู้บุตรีเขาไม่ได้เลย
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ใช้ได้เลย ต่ำกว่ามหามรรคล้วนเป็นมดปลวกทั้งสิ้น เร่งพิสูจน์มหามรรคให้ได้ในเร็ววันเถอะ พ่อจะถ่ายทอดพลังวิเศษให้เจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ”
หานหลิงตอบรับ แววตาผิดหวังเล็กน้อย
หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “เอาเถอะ เจ้าแข็งแกร่งมาก ร้ายกาจกว่าพวกพี่ๆ เสียอีก พอใจแล้วกระมัง เด็กสาวอย่างเจ้าต้องให้ข้ากล่าวชมให้ได้เลยสินะ”
หานหลิงยิ้มเบิกบาน เอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน “ลูกเพียงอยากได้คำชมจากท่านพ่อ มากไปหรือเจ้าคะ”
หานเจวี๋ยถาม “แม่เจ้ารู้หรือไม่”
“ข้าไม่ได้บอกนางเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้สนใจข้ามากนัก”
หานหลิงเม้มปาก นางรับรู้ได้ว่ามารดาต้องการบุตรชายมากกว่า
หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าอย่าโทษนางเลย หากจะโทษก็ต้องโทษพ่อ พ่อน่าจะเปลี่ยนเจ้าให้เป็นบุตรชาย”
“เป็นสตรีแล้วอย่างไรเจ้าคะ เพศไม่ได้สำคัญเลย ตบะสิถึงจะเป็นสิ่งสำคัญในโลกนี้ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่สนใจกายเนื้อของข้าอยู่แล้ว ใส่ใจเพียงตัวตนและวิญญาณของข้าเท่านั้น” หานหลิงแบสองมือพลางเอ่ยออกมา
………………………………………………………………