ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1681 : เลี้ยงกู่
“ เกิดอะไรขึ้นอีก ?” จางหยูถามขึ้นมา
“ ปราณสุสานรุกล้ำเข้ามาในตัวข้าแต่มันก็ถูกสยบไว้ทันทีและไม่ได้เป็นภัยต่อข้ามากนัก “ เขาพูดขึ้นมา “ ข้ายังเดินหน้าต่อแต่ไม่นานก็มาพบกับกองกระดูกเหล่านี้ ”
“ เจ้าหมายความว่าเมื่อหลายพันปีก่อนก็มีกองกระดูกพวกนี้แล้วรึ ? ”
“ ใช่ ” จ้านเทียนเกอไม่กล้าจะโกหก “ กองกระดูกเหล่านี้ไม่ได้มากเท่าตอนนี้แต่ก็ไม่ได้น้อยกว่ามากนัก ”
จางหยูถามขึ้นต่อ “ หลังจากนั้นเจ้าถึงโดนครอบงำรึ ? ”
จ้านเทียนเกอเงียบไปชั่วครู่และพูดขึ้น “ ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ ข้าได้เจอกับชายคนหนึ่ง เขาก็เป็นผู้นำขั้น 8 เหมือนกัน !”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นจางหยู, หลินเป่ยชานและเกลดันต่างก็พากันแปลกใจ ฉากที่จ้านเทียนเกออธิบายออกมานี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าคุ้นๆ มันไม่ใช่แบบเดียวกับที่พวกเขาเจอกับจ้านเทียนเกอรึไง?
จ้านเทียนเกอก็เจอประสบการณ์แบบเดียวกันรึ ?
“ ผู้นำคนนั้นโดนปราณสุสานครอบงำ เขาได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่รู้จักแต่การฆ่า ” จ้านเทียนเกอสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดขึ้น “เขาพบกับข้าและเข้าโจมตีข้า หากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัวแล้ว ข้าก็ไม่เกรงกลัวอะไรแต่ข้ามาถึงที่นี่พร้อมกับปราณสุสานที่รุกล้ำเข้ามาในตัว ความแข็งแกร่งของข้าจึงได้รับผลกระทบ ข้าต้องต้านทานปราณสุสานในตัวรวมถึงต้องรับมือกับอีกฝ่าย สุดท้ายข้าก็ถูกปราณสุสานครอบงำและกลายเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนกับอีกฝ่าย ”
เขาถอนหายใจออกมาแล้วพูดต่อ “ หลังจากที่โดนครอบงำ ข้าก็ได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่รู้จักแต่การฆ่า เมื่อไม่ต้องกังวลเรื่องปราณสุสานในตัวแล้ว สุดท้ายข้าก็เอาชนะอีกฝ่ายไปได้ สติข้าโดนกลืนกิน ข้าไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไร ข้าทำตามสัญชาตญาณ ข้าไล่ล่าทุกคนที่มีหยกและคร่าชีวิตทุกคน…ตั้งแต่นั้นมาข้าก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดในสายตาของคนอื่นๆ ข้าฆ่าทุกคนที่เข้ามาที่นี่..”
“ กองกระดูกเหล่านี้ถึงส่วนมากจะเป็นฝีมือของชายคนนั้นแต่ก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นฝีมือของข้า หากไม่ใช่เพราะท่านปรากฏตัวขึ้นมาและช่วยข้ากำจัดปราณสุสาน งั้นข้าก็อาจจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นจางหยู, หลินเป่ยชานและเกลดันก็พากันแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมามากกว่าเก่า
แม้พวกเขาจะรู้กันแต่แรกว่าสุสานแห่งนี้มีปัญหาแต่พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิมเมื่อได้รู้ข้อมูลจากจ้านเทียนเกอ
“ หลังจากที่โดนครอบงำแล้ว สติของท่านก็โดนกลืนกิน มันไม่มีทางที่จะขัดคำสั่งได้เลย ท่านได้แต่ต้องฆ่าและทำลายล้าง…”หลินเป่ยชานพูดขึ้น “ หลังจากที่ท่านโดนครอบงำ ก็มีจิตสูงสุดที่สั่งให้ฆ่าคนที่ถือหยกและทำลายทุกชีวิต นี่ใช่ว่าจะไร้เหตุผล ”
“ นั่นก็จริง ” จ้านเทียนเกอพูดขึ้น “ ข้าอยู่ภายใต้จิตลึกลับและคอยกำจัดคนที่มีหยก ”
“ จ้านเทียนเกอ เจ้าบอกว่าเจ้าได้หยกมา หยกของเจ้าอยู่ไหนกัน ?” จางหยูถามขึ้นมา
“ มันหายไปแล้ว ” จ้านเทียนเกอส่ายหน้าและพูดขึ้น “ จากตอนที่ข้าโดนครอบงำ หยกก็หายไป ”
เกลดันหยิบเอาหยกออกมาและส่งให้กับจ้านเทียนเกอ ก่อนจะถามขึ้น “ ใช่หยกนี่รึไม่ ?”
จ้านเทียนเกอส่ายหน้าและพูดขึ้น “ไม่” เขาได้หยกมา หยกนั้นจะมีคลื่นพลังของเขาแฝงอยู่ แม้ว่าคลื่นพลังด้านในส่วนมากจะเป็นของผู้ควบคุมขั้น 9 แต่มันก็โดนเขาแผ่พลังเข้าไปในหยกมาแล้ว แม้ว่าจะผ่านมานาน แต่เขาก็ยังรับรู้ได้ว่าหยกชิ้นนี้ไม่ได้มีพลังของเขาอยู่ เป็นธรรมดาที่มันจะไม่ใช่หยกที่เขาเคยได้มา
“ งั้นมันก็มีหยกมากกว่าหนึ่งชิ้น ” จางหยูคิดถึงคำพูดของจ้าวสิง “ มันอาจจะมีมากกว่าที่เราคิดเอาไว้ ! ”
หยกคือกุญแจสู่สุสานแห่งนี้ สุสานขั้น 9 ต้องใช้กุญแจจำนวนมากรึไง ?
“ อัลเวอร์มีเป้าหมายอะไรกัน ? ” จางหยูคิ้วขมวด Aileen-novel
กุญแจเปิดสุสานมีแค่เจ้าของสุสานเท่านั้นที่สร้างขึ้นมาได้ ในอีกความหมายคือหยกเหล่านี้ถูกอัลเวอร์สร้างขึ้นมา เท่าที่ รู้จำนวนหยกนี้มีไม่น้อยกว่า 3 ชิ้น มันอาจจะมีมากกว่า 10 ชิ้นรึร้อยชิ้นก็ได้ ทุกคนที่มีหยกต่างก็ตายในสุสานแห่งนี้ มันมีแค่เกลดันและจ้านเทียนเกอที่ถูกจางหยูช่วยเอาไว้
“ อัลเวอร์ทำเหมือนอยากจะฆ่าผู้ควบคุม !” จ้านเทียนเกอพูดขึ้น
“ เขามีเป้าหมายอะไร ?” หลินเป่ยชานสงสัย “ เขาตายไปแล้วไม่ใช่รึ ? เขาจะฆ่าพวกนี้ทำไม ?”
“ เป้าหมายของเขาไม่น่าจะเป็นแค่การฆ่าผู้ควบคุม” จางหยูพึมพำออกมา “ เจ้าไม่คิดรึว่าสถานการณ์มันเหมือนกับการเลี้ยงกู่?”
“ เลี้ยงกู่?” ทุกคนต่างก็สับสน
“ ที่เรียกว่าเลี้ยงกู่ก็คือการเอาหนอนพิษทุกสายพันธุ์มาใส่ไว้ในขวดใบเดียวกัน และปล่อยให้พวกมันกลืนกินกันเอง จนเหลือรอดตัวสุดท้ายที่ปีนป่ายออกมา นั่นแหละคือการเลี้ยงกู่ “ จางหยูพูดขึ้น “ เจ้าไม่คิดว่าการกระทำของอัลเวอร์เหมือนกับการเลี้ยงกู่รึไง ?”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ตอนแรกมันอาจจะดูน่าสนใจแต่หากเปลี่ยนเป็นตัวพวกเขาเองแล้ว พวกเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาแทน
“ ตามที่จ้านเทียนเกอบอกมาแล้ว ก่อนหน้าเขามีผู้นำอีกคนและอีกฝ่ายก็โดนจ้านเทียนเกอฆ่าไป เขาได้กลายเป็นหุ่นเชิดคนใหม่ของที่นี่…” จางหยูพูดขึ้น “มันไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้าชายคนนั้นจะต้องมีหุ่นเชิดอยู่ที่นี่ก่อนรึ อีกฝ่ายโดนชายคนนั้นฆ่าไปก่อนที่ชายคนนั้นจะกลายเป็นหุ่นเชิดของที่นี่ ”
“ ในอีกความหมายที่นี่เต็มไปด้วยกองกระดูก บางทีมันอาจจะมีหลายคนที่กลายเป็นหุ่นเชิดที่นี่ไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้คนที่แข็งแกร่งเพียงพอ…”
“ แต่การกระทำแบบนี้ก็มีข้อจำกัด จ้านเทียนเกอน่าจะแกร่งที่สุดในบรรดาคนที่ต่ำกว่าขั้น 9 พวกที่ต่ำกว่าขั้น 9 นั้นยากจะมีใครทัดเทียมกับเขาได้ ต้องบอกว่าในอนาคตคงไม่มีใครมาแทนที่จ้านเทียนเกอได้ พวกคนที่เข้ามาใหม่ต้องกลายเป็นแหล่งพลังงานให้กับสุสาน …”
“ ข้าคิดไม่ออกว่าทำไมอัลเวอร์ถึงได้เลือกผู้ควบคุมระดับสูงและทำไมถึงได้ฆ่าผู้คนมากมายแบบนี้ ”
แม้ว่าการคาดเดาของจางหยูใช่ว่าจะถูกต้องแต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ ทุกคนได้ยินแบนั้นก็พากันเหงื่อตก
สมกับเป็นผู้ควบคุมขั้น 9 จริงๆ แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ก็ยังยิ่งใหญ่ดังเดิม เขาสามารถฆ่าคนนับไม่ถ้วนได้ ทั้งๆที่ตายไปแล้ว! หากดูจากกองกระดูกรอบตัวแล้ว มันก็ยากจะคิดได้ว่าที่นี่มีคนตายไปเท่าไหร่กัน มันต้องเป็นตัวเลขมหาศาล !
เมื่อคิดว่าตัวเองอาจจะต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลและมือเปื้อนเลือดคนมานับไม่ถ้วน จ้านเทียนเกอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
“ ดูเหมือนว่าเราอยู่แค่เขตนอกของสุสาน ” จางหยูมองไปข้างหน้า นอกจากพื้นดินและหินแล้วที่นี่ไม่มีอะไรอยู่เลย “ เดินหน้าต่อเราอาจจะได้คำตอบ ”
จางหยูมองไปที่จ้านเทียนเกอ, หลินเป่ยชานและเกลดัน ก่อนจะถามขึ้นมา “ พวกเจ้ายังจะเดินหน้าต่ออีกรึไม่ ?”
หลินเป่ยชานและเกลดันหวาดกลัวนิดๆ แต่จ้านเทียนเกอน่ะไม่เกรงกลัว “ แน่นอน ! ” เขาได้พูดขึ้น “ ข้ามาสุสานแห่งนี้เพื่อหาโอกาสที่จะทะลวงผ่าน ผลลัพธ์นั้นไม่ใช่แค่ข้าไม่อาจจะทะลวงผ่าน แต่กลับโดนครอบงำจนกลายเป็นหุ่นเชิด…อัลเวอร์ทำกับข้าแบบนี้ แล้วข้าจะหนีไปได้ยังไง ? แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ควบคุมขั้น 9 แต่ข้าก็ยังกล้าที่จะสู้ ผู้ควบคุมขั้น 9 ที่ตายไปแล้วไม่ควรจะสร้างปัญหาเช่นนี้ ”
เมื่อได้ยินคำพูดของจ้านเทียนเกอ หลินเป่ยชานและเกลดันก็กลืนคำพูดของตัวเองกลับลงไป
มันไม่เร็วไปหน่อยรึที่พวกเขาจะออกจากที่นี่ ?
หลินเป่ยชานน่ะดีกว่า เขาตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ ส่วนเกลดันไม่กล้าจะตัดสินใจ หากจางหยูไม่พูดอะไรออกมา เขาก็ไม่กล้าตัดสินใจเอง
“ ดีมาก ” จางหยูพยักหน้าด้วยความพอใจ “ พวกเจ้ากล้าหาญกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”