ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1717 : โกลาหลล่มสลาย ?
หลินเป่ยชานและคนอื่นๆแปลกใจกันอย่างมาก ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้หินขั้นเทพมา
หลินเป่ยชาน เกลดันและจงหรานรู้ดีว่าผลของหินแห่งการสร้างของจางหยูนั้นน่าทึ่งแค่ไหน การได้หินแบบนั้นมาพวกเขาจะไม่แปลกใจได้ยังไง ?
คนที่เหลือไม่รู้อะไรมากแต่การได้รางวัลแบบนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาแปลกใจได้
“ ขอบคุณเจ้าสำนัก ! ” ทุกคนต่างก็พูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
จางหยูโบกมือ “พวกเจ้าสมควรได้รับ”
จากนั้นเขาก็บอกกับทุกคน “ พวกเจ้าไปที่โลกป่ากันก่อน ข้าต้องใช้เวลาในการสร้างหินแห่งการสร้างระดับสูงและระดับทั่วไป ”
….
หลังจากส่งทุกคนไปยังโลกป่าแล้ว จางหยูก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะตรวจสอบสมบัติทั้งสี่ แต่เขากับเรียกรวมตัวร่างแยกเพื่อทำการสร้างหินแห่งการสร้าง
หินแห่งการสร้างขั้นเทพนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาง่ายๆ หากจางหยูสร้างมันขึ้นมา แม้ว่าโลกตันเถียนจะมีการเร่งเวลาแต่ก็ยังต้องใช้เวลาจำนวนมาก ทางที่ดีที่สุดคือให้ร่างแยกร่างอื่นๆร่วมมือกันเพื่อย่นเวลาให้สั้นที่สุดและง่ายที่สุด
ใช้เวลา 2-3 วัน จางหยูก็สร้างหินขั้นเทพระดับสูงได้สำเร็จ จากนั้นก็ใช้เวลาอีก 2-3 วันในการสร้างหินขั้นเทพทั่วไปขึ้นมา
จางหยูสร้างหินขั้นเทพจำนวนมากขึ้นมาเพื่อเตรียมไว้ให้ศิษย์และอาจารย์ หินแห่งการสร้างขั้นเทพระดับสูงต้องใช้เวลานานในการสร้าง เขาไม่อาจจะแจกจ่ายให้กับทุกคนได้ แต่หินขั้นเทพทั่วไปนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร
แน่นอนแม้ว่าจะเป็นหินขั้นเทพแต่เมื่อจางหยูเป็นคนสร้างขึ้นมา ผลของมันก็ดีกว่าหินขั้นเทพอื่นๆ แม้ว่าจะเทียบกับของราชาตะวันออกไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามาก
ไม่นานหลังจากนั้นจางหยูก็เดินทางไปยังโลกป่า เขาได้ให้หินขั้นเทพระดับสูงกับจ้านเทียนเกอ และให้หินขั้นเทพทั่วไปกับคนอื่นๆเพื่อที่พวกเขาจะไม่ได้กลับไปมือเปล่า แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สมบติอะไรไปแต่พวกเขาก็ไม่ได้บ่นอะไรออกมา
ยังไงซะการที่ได้หินขั้นเทพนี้ก็เกินความคาดหมายของพวกเขาไปแล้ว
“ ข้าจะยังไม่ไปไหนในเวลาอันสั้น พวกเจ้าแยกย้ายกันก่อนหรือจะอยู่รอเดินทางไปพร้อมกับข้าก็ได้ ” จางหยูแจกจ่ายหินให้กับทุกคนและพูดขึ้นมา
หลังจากบอกลาจ้านเทียนเกอและคนอื่นๆแล้ว จางหยูก็ไปพบจางเฮ่าหลัน ก่อนจะส่งหินขั้นเทพที่เหลือให้กับจางเฮ่าหลันเพื่อแบ่งมันกับคนในสำนัก ตอนนี้เขายังให้พ่อเก็บมันไว้ก่อน หากมีเหตุจำเป็นก็สามารถใช้มันเป็นค่าเงินสำหรับสำนักได้
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว จางหยูก็ได้กลับไปในโลกตันเถียน
เขาได้มุ่งหน้าไปที่โลกบรรพกาล เขาได้เดินทางออกจากกำแพงโลกและเข้าสู่บรรพกาล
ในบรรพกาลนั้น จางหยูได้เอาสมบัติออกมาและมองมันอยู่สักพัก
พาหนะมิติมีบทบาทของมันชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะใช้เดินทางรึหนีก็ถือว่าเป็นพาหนะที่ยอดเยี่ยม แน่นอนว่าเมื่ออยู่ในมือของจางหยูแล้ว บทบาทของมันไม่ได้มีค่าอะไรมาก หากเจอกับศัตรูที่ไม่อาจจะรับมือได้ เขาก็สามารถหนีมายังโลกตันเถียนได้ทันที โดยไม่ต้องพึ่งพาหนะมิติเลยแม้แต่น้อย
ตราราชาตะวันออก จางหยูไม่รู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไรรึไม่ เขาลองตรวจสอบและพบว่ามันมีข้อมูลจำนวนมาก รวมไปถึงข้อมูลของผู้ควบคุมขั้นที่ 9 คนหนึ่งโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยังมีชีวิตอยู่รึไม่ ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะยังภักดีต่อราชาตะวันออกรึไม่หรือว่ายกเลิกฐานะทาสของตนไปแล้ว ?
แม้ว่าราชาตะวันออกจะมีตระกูล, ทาสและตำแหน่งของผู้ควบคุมขั้นที่ 9 แต่มันผ่านมา 1.3 ล้านปีแล้ว ข้อมูลคงเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดังนั้นจางหยูจึงไม่ได้รีบร้อนที่จะไปหาตระกูลหรือทาสเหล่านั้น แต่ผู้ควบคุมขั้นที่ 9 นั้นจางหยูหวังว่าจะจัดการธุระให้เสร็จสิ้นก่อน หากมีโอกาสเขาก็จะไปดึงตัวอีกฝ่ายมา
จางหยูเก็บพาหนะมิติและตราไป ก่อนจะมองไปที่ต้นอ่อนและคัมภีร์
สองอย่างนี้ทำให้เขาสนใจอย่างมาก !
ตามที่ราชาตะวันออกบอกมา ต้นอ่อนได้แผ่พลังลึกลับออกมา การกัดกร่อนของโกลาหลทำให้มันพัฒนาขึ้น ในอีกความหมายคือต้นอ่อนนี้ไม่ได้เล็งไปที่โลกขั้นที่ 9 แต่เป็นทั้งโกลาหล
“ เมื่อมันส่งผลต่อโกลาหล งั้นบรรพกาลล่ะ ? ” จางหยูคิด บรรพกาลนั้นต่างจากโกลาหลแต่โดยแก่นแท้แล้วมันไม่ได้ต่างอะไรกันเลย บรรพกาลถือว่าเป็นโกลาหล โกลาหลก็ถือว่าเป็บรรพกาล “ หากวางต้นอ่อนไว้ในบรรพกาล งั้นมันจะส่งผลยังไง ?”
จางหยูอดความสงสัยในใจไว้ไม่ได้และได้ทำการวางต้นอ่อนไว้ในบรรพกาล
ต่อมาต้นอ่อนก็ราวกับมีชีวิต มันมีใบไม้สีเขียวสองใบงอกออกมา ไม่ใช่แค่ทนการกัดกร่อนได้แต่ยังเหมือนกับปลาที่ได้กลับไปในน้ำ มันได้แผ่พลังชีวิตอันแข็งแกร่งออกมา มันแผ่พลังลึกลับออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คลื่นบรรพกาลเสถียรขึ้นและทำให้พลังกัดกร่อนนั้นมากกว่าเดิม
“ น่าทึ่งจริงๆ ” จางหยูยักคิ้ว ผลของต้นอ่อนนี้แสดงออกมาในทันที
เขาสังเกตต้นอ่อนอย่างถี่ถ้วน เขาใช้พลังสร้างของโลกตันเถียนในการสังเกตมัน ไม่นานเขาก็พบบางอย่าง
“ นี่มัน..” จางหยูแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา “ พลังบรรพกาลรึ ?”
ต้นอ่อนแผ่พลังบรรพกาลออกมา !
สิ่งที่เรียกว่าพลังบรรพกาลนั้นคือพลังที่มีอยู่ในบรรพกาล ต้นอ่อนนี้ราวกับต้นไม้ทั่วไปดูไม่ต่างกันเท่าไหร่ มันมีการทำงานของตัวเอง คล้ายกับการสังเคราะห์แสง เพียงแต่ว่าสิ่งที่ต่างกันก็คือมันดูดซับและปล่อยพลังบรรพกาลออกมาแต่พลังที่ปล่อยออกมานั้นกลับน่ากลัวกว่าเดิม !
หากพลังบรรพกาลนี้เหมือนกับพลังงาน งั้นพลังงานที่มันกลืนกินไปก็เป็นพลังดิบ ส่วนพลังที่ปล่อยออกมานั้นบริสุทธิ์และรุนแรงกว่าเดิม !
มันราวกับการอัดแน่นพลังบรรพกาลและกลั่นออกมาอีกที !
การค้นพบนี้ทำให้จางหยูใจสั่น “ หากให้มันอยู่ที่นี่สักพัก งั้นที่นี่ก็จะเสถียรขึ้น แล้วพลังทำลายล้างของบรรพกาลก็จะน่ากลัวกว่าเดิม !” น่าเสียดายที่เขาไม่อาจจะควบคุมพลังบรรพกาลในตอนนี้ได้ ไม่งั้นแล้วในโกลาหลแห่งนี้จะมีใครเทียบกับเขาได้ ?
“ นี่อาจจะเป็นวิธีเพิ่มพลังให้กับจ้าวบรรพกาล ? ” จางหยูเข้าใจความจริงไม่ถึง 1 ใน 10
เมื่อคิดแบบนั้นจางหยูก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะรึร้องไห้ดี “ ข้ายังไม่ทะลวงผ่านขอบเขตจ้าวบรรพกาล นี่คือเส้นทางในภายภาคหน้ารึ ? แต่ก็ถือว่าดี อีกไม่ช้าข้าจะขึ้นเป็นจ้าวบรรพกาล ตอนนี้ข้าควรทำการสั่งสมพลังไว้ก่อน บางทีเมื่อข้าทะลวงผ่านขั้นที่ 9 ไปได้และขึ้นไปขอบเขตจ้าวบรรพกาล ความแข็งแกร่งของข้าอาจจะเหนือกว่าจ้าวบรรพกาลทั่วไป ”
จางหยูยิ้มออกมาและมองไปที่ต้นอ่อน “ ข้าจะเรียกเจ้าว่าต้นบรรพกาล ข้าหวังว่าเจ้าจะสร้างพลังบรรพกาลที่แกร่งกว่าเดิมออกมา ”
ต้นอ่อนเหมือนจะมีความคิด กิ่งของมันกระดิกเล็กน้อยราวกับตอบรับจางหยู
หลังจากใช้การเร่งเวลากับบรรพกาล จางหยูก็เลิกสนใจต้นอ่อนนั้น
สุดท้ายเขาก็หันไปหาคัมภีร์ นี่คือของที่จางหยูสนใจมากที่สุดตั้งแต่แรก…คัมภีร์สุสานสวรรค์ !
ความจริงเกี่ยวกับโกลาหล ความลับของสุสานสวรรค์อาจจะเปิดเผยในไม่ช้า !
ตอนนี้เองจางหยูอดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมานิดๆ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกลั้นหายใจแล้วปลดเชือกสีดำออก ต่อมาม้วนคัมภีร์ก็ค่อยๆคลี่ออกแต่ตอนที่มันคลี่ออกมานั้น จางหยูก็ราวกับรับรู้ถึงคลื่นพลังอันเก่าแก่
จางหยูมองไปที่คัมภีร์นั้น
ทันใดนั้นจางหยูก็ต้องหรี่ตาลง เมื่อเห็นว่าด้านในมีแค่ประโยคเดียวที่เขียนเอาไว้ “จุดจบความโกลาหล สวรรค์พังทลาย ความโกลาหลแห้งเหี่ยว ยุคแห่งจุดจบ ใต้หล้าล้วนมลาย”
คำพูดเพียงสั้นๆแต่แฝงความหมายที่น่าทึ่ง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือจางหยูเข้าใจมันทุกอย่าง บางทีมันอาจจะบอกว่า….โกลาหลกำลังตาย
โกลาหลจะตายรึ ?
จางหยูกังวลขึ้นมานิดๆ