ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1777 : พบอัลเวอร์อีกครั้ง
จางหยูได้ถามต่อ แต่ต้วนเทียนหยานั้นก็ไม่อาจจะตอบอะไรได้มากนัก ดูเหมือนว่าเขาจะมีประโยชน์น้อยกว่าจ้านเทียนเกอซะอีก
แม้ว่าจ้านเทียนเกอจะไม่ได้มีข้อมูลเท่ากับต้วนเทียนหยา แต่อย่างน้อยก็ยังมีความทรงจำในสุสานที่ครบถ้วน เขาถึงกับบอกได้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ต้วนเทียนหยานั้นไม่อาจจะบอกได้เลยว่าตัวเองอยู่ในสุสานนานแค่ไหนแล้ว
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองหลังจากที่โดนครอบงำนั้นบ่งบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของทั้งสอง
ผู้นำในตำนานยังไงซะก็เป็นผู้นำในตำนาน พวกเขาไม่ใช่คนที่ผู้นำขั้นที่ 8 ทั่วไปจะมาเทียบได้
เมื่อเห็นว่าต้วนเทียนหยาไม่อาจจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้อีก จางหยูก็ได้พูดขึ้น “ ตอนนี้เจ้าไปพักในโลกป่าก่อน หากมีเรื่องอะไร ข้าจะเรียกเจ้าเอง..” นี่ไม่ใช่การแนะนำแต่นี่เป็นคำสั่ง
เมื่อถูกช่วยมา ต้วนเทียนหยาก็ต้องทำประโยชน์ให้กับสำนักคังเฉียง จางหยูไม่ได้รู้สึกผิดอะไรกับการทำแบบนี้
ต้วนเทียนหยายังไม่ทันได้ตอบกลับ จางหยูก็ได้ส่งต้วนเทียนหยาเข้าไปที่โลกป่า
ตอนที่ต้วนเทียนหยาได้สติกลับมาเขาก็มาถึงโลกป่าแล้ว สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเขาก็ต้องหาที่พักให้กับตัวเอง
แม้ว่าจะถูกจางหยูจำกัดอิสระเอาไว้ แต่ต้วนเทียนหยาก็ไม่ได้ถูกไล่ออกไปจากโลกป่า ถึงจะโดนขังไว้ที่นี่แต่ก็ยังดีกว่าการโดนลิดรอนสติไป จางหยูช่วยเขาไว้จากสุสาน เขาเป็นหนี้ชีวิต เขาจะกล้าบ่นได้ยังไง ?
….
หลังจากที่จัดการเรื่องต้วนเทียนหยาแล้ว จางหยูก็จับตาดูสถานการณ์ในสุสานต่อ ตอนนั้นเองจางลู่ก็เดินหน้าต่อไปยังวิหารที่ใกล้ที่สุด วิหารที่จางหยูเคยไปและได้พบกับอัลเวอร์
จิตสุสานยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา
บางทีมันอาจจะคิดว่าสามารถลบจางลู่ไปตอนไหนก็ได้ จึงไม่ได้รีบร้อนรึอาจจะโดนบางอย่างยับยั้งเอาไว้จึงไม่มีเวลามาจัดการกับจางลู่
ไม่นานจางลู่ก็มาถึงวิหารได้
วิหารไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย ประตูยังคงปิดอยู่ ที่ประตูมีกลุ่มผู้นำรวมถึงผู้ควบคุมขั้น 9 แต่ละคนต่างก็แผ่พลังสร้างของตัวเองออกมาเพื่อทำการบูชายัญ
จางลู่เดินเข้าไปก่อนจะผลักประตูให้เปิดออกอ่างช้าๆ
เสียงประตูนั้นทำให้พวกหุ่นเชิดตื่นขึ้น พวกนั้นพากันมองมาที่จางลู่ทันที
กลุ่มผู้นำและผู้ควบคุมขั้น 9 ที่นี่ดูคุ้นตาอย่างมาก
อัลเวอร์ ! หัวหน้าของที่นี่คืออัลเวอร์ !
แต่ตอนตี้สติของอัลเวอร์เหมือนจะโดนกลืนกินไปแล้ว เขาได้กลายเป็นหุ่นเชิดอย่างสมบูรณ์ หากเทียบกับอัลเวอร์ก่อนหน้านี้แล้วแทบไม่อาจจะเทียบกันได้เลย
จางลู่จำภารกิจที่จางหยูบอกมาได้ เขามองไปที่อัลเวอร์และคนอื่นๆ เขาไม่รอให้พวกนั้นได้โจมตีและได้ส่งพวกนั้นกลับไปที่โลกตันเถียน สำหรับว่าจิตสุสานจะรู้เรื่องนี้รึไม่นั้นจางลู่ไม่ได้กังวล
จนกระทั่งส่งทุกคนเข้าไปในโลกตันเถียนได้และพบว่าจิตสุสานไม่ได้โผล่มา จางลู่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “ มันไม่ใส่ใจเลยรึ?”
แม้จะไม่รู้ว่าจิตสุสานคิดอะไรแต่เมื่อจิตสุสานได้กักขังผู้นำและอัลเวอร์ไว้ที่นี่และให้พวกนี้ใช้พลังสร้างให้ งั้นก็ต้องมีเป้าหมาย เมื่อจางลู่เอาคนเหล่านี้ออกจากที่นี่ จิตสุสานกลับยังเฉยเมยราวกับว่าไม่รู้ตัว มันดูแปลกประหลาด
จิตสุสานไม่ได้ใส่ใจที่นี่รึอยากที่จะเล่นกับเขาต่อ ไม่ก็จิตสุสานไม่อาจจะลงมืออะไรได้
แม้ว่าจางลู่จะยังระวังตัวอยู่แต่เขาก็ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรแต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขา
หลังจากค้นหาสักพัก จางลู่ก็ไม่ได้พบอะไรที่เกี่ยวข้องกับทักษะระดับสูง รูปปั้นนั้นเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ
“ หากทำลายลานนี่ มันจะปรากฏตัวรึไม่ ? ” จางลู่มองไปที่ลานใจกลางวิหารด้วยตาที่เป็นประกาย
เขาคิดถึงบอลโลหิตในเขตหวงห้าม หากทำลายลานแห่งนี้ มันจะทำให้พลังของบอลโลหิตนั้นลดลงรึไม่ ?
จางลู่ส่งความคิดไปให้กับจางหยู ไม่นานเขาก็ได้คำสั่งจากจางหยูให้ทำลายลานแห่งนี้ !
ไม่ใช่แค่ลานแห่งนี้แต่ยังรวมไปถึงลานอื่นๆด้วย เมื่อพบแล้วให้ทำลายทันที ! ด้วยคำสั่งของจางหยู จางลู่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาได้ก้าวออกไปเบาๆแต่กลับมีพลังอันน่ากลัวปะทุออกมาที่ใต้เท้าของเขา ก่อนที่จะเกิดการระเบิดขึ้นทุกทิศทาง ในพริบตาวิหารนั้นก็ถล่มลงไป ลานใจกลางวิหารก็ถล่มลงไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่พื้นดินก็ยังสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมแผ่นดินที่แยกออกจากกัน
เมื่อควันสลายไป ลานแห่งนี้ก็ได้ราบเป็นหน้ากลองไม่เหลือร่องรอยของลานอีก
ในอีกด้าน จางหยูได้เผชิญหน้ากับเหล่าหุ่นเชิด
ผู้นำ 45 คนบวกกับอัลเวอร์เป็น 46 คน !
ในโกลาหลตอนนี้ กองกำลังเช่นนี้ไม่ได้อ่อนแอเลย
จางหยูไม่ลังเลที่จะควบคุมจิตผู้สร้างเพื่อลบปราณสุสานในตัวพวกนั้นทิ้ง ไม่นานพวกนั้นก็ค่อยๆได้สติกลับมา
“ นี่มันที่ไหนกัน ?”
“ ข้ายังไม่ตายรึ ยอดเยี่ยมจริงๆ !” “ ใครกันที่ช่วยเราเอาไว้ ?”
พวกเขาพากันสับสนและตื่นเต้น
มีแค่อัลเวอร์ที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขามองไปที่จางหยูด้วยสีหน้าแปลกใจ “ เป็นเจ้านี่เอง”
เขาลังเลแล้วถามขึ้นมา “ เจ้าช่วยเราไว้รึ ?”
“ อัลเวอร์ เราได้พบกันอีกแล้ว” จางหยูยิ้มออกมา “ ข้าขอแนะนำตัวก่อน ข้าคือเจ้าสำนักของสำนักคังเฉียง จางหยู พวกเจ้าเรียกข้าว่า….เจ้าสำนักก็ได้”
ตอนที่เขาพบกับอัลเวอร์ครั้งแรก เขาแกร่งกว่าผู้นำทั่วไป ตอนนี้เขาเติบโตจนบดขยี้ อัลเวอร์ ได้อย่างง่ายดาย
“ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเช่นนี้” อัลเวอร์คิดว่าจางหยูคงแกร่งกว่าเขราไปแล้ว ครั้งที่แล้วคงปกปิดความแข็งแกร่งเอไว้ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดขึ้น “ อัลเวอร์ ขอบคุณเจ้าสำนักที่ช่วยชีวิต !” ผู้นำคนอื่นๆใจเย็นลงและพากันทำความเคารพจางหยู “ ขอบคุณเจ้าสำนักที่ช่วยชีวิตเราไว้ !”
จางหยูไม่ใช่แค่ช่วยพวกนี้แต่ยังกำจัดปราณสุสานในตัวพวกนี้ให้ด้วย บอกได้ว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง
“ ไม่ต้องคิดมาก” จางหยูพูดขึ้น “ ข้าช่วยพวกเจ้าออกมาไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าจะเป็นอิสระ ข้าอยากให้พวกเจ้ารับใช้สำนักคังเฉียง 1 ยุค พวกเจ้ามีอะไรคัดค้านรึไม่ ?”
ทุกคนพากันมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้า นี่ไม่ต้องพูดถึงการรับใช้สำนักคังเฉียง 1 ยุค เลย แม้ว่าจางหยูจะฆ่าพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะบ่นอะไรได้ ยังไงซะความตายก็ดีกว่าการเป็นหุ่นเชิด
เมื่อเห็นว่าทุกตนตกลง จางหยูก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ “ ดีมาก”
หลังจากที่พูดคุยได้สักพักเขาก็มองไปรอบๆแล้วพูดขึ้น “ข้าจะถามคำถามกับพวกเจ้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะตอบตามความจริง”
ทุกคนพากันพยักหน้า
“ ใครรู้เกี่ยวกับสุสานรึความลับอื่นๆบ้าง ?” จางหยูถามขึ้นมา “ ไม่ว่าจะเป็นความลับอะไร ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับสุสานสวรรค์รึโกลาหลก็ได้ทั้งนั้น”
ทุกคนพากันมองหน้ากันดัวยความสับสน
ผ่านไปสักพักผู้นำคนหนึ่งก็ได้พูดขึ้น “ ข้าได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ว่าว่าโกลาหลกำลังจะโดนทำลาย…ไม่รู้ว่ามันใช่ความลับรึไม่”
“ ข้ารู้อย่างหนึ่ง มีบางคนจงใจกระจายกุญแจนี้ไปทั่วโกลาหลและล่อให้ข้าเข้าไปในสุสานจนกลายเป็นหุ่นเชิด นี่คือแผนการของใครสักคน”
“ ข้าเคยเห็นบันทึกโบราณ มันมีต้นไม้ขนาดใหญ่กระจายไปทั่วโกลาหล มันชื่อว่าต้นโกลาหล ผลโกลาหลต่างก็ได้มาจากมัน…แต่มันบันทึกไว้ในหนังสือเก่าแก่และไม่ได้มีหลักฐานยืนยัน”
บางคนตกใจเมื่อได้ยินคนเหล่านี้พูดออกมา
โชคร้ายที่สิ่งที่พวกนี้พูดมาไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก มันเป็นเรื่องที่จางหยูรู้อยู่แล้ว บางอย่างทุกคนต่างก็รู้อยู่แล้ว มันไม่ใช่ความลับอะไร
“ แล้วเจ้าล่ะ ?” จางหยูมองไปที่อัลเวอร์แล้วถามขึ้นมา “ เจ้ารู้อะไรบ้าง ?”
อัลเวอร์เงียบไปสักพักแล้วพูดขึ้น “ข้ารู้บางอย่างเกี่ยวกับสุสาน”
“ เรื่องอะไรกัน ?” จางหยูใจเต้นรัว
“ จิตสุสานบาดเจ็บ มันยังไม่ฟื้นฟูตัวเอง ” อัลเวอร์พูดขึ้น
“ เจ้ามั่นใจรึ ?” เรื่องจิตสุสานได้รับบาดเจ็บนั้นต้วนเทียนหยาได้บอกกับเขาแล้ว แต่ไม่ได้มีหลักฐานยืนยัน เมื่อได้ยินที่อัลเวอร์บอกมา สัญชาตญาณก็บอกจางหยูว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความจริง “ ความน่ากลัวของจิตสุสานสวรรค์นั้น ผู้ควบคุมขั้น 9 ทุกคนน่าจะเคยได้ยินมา ตัวตนของมันแม้แต่ราชาก็ยังต้องหวาดกลัว” อัลเวอร์พูดขึ้นมาช้าๆ “ ตอนที่ราชาตะวันออกเข้าไปในสุสาน เขาก็บาดเจ็บหนักและรอดออกมา สุดท้ายเขาก็ตาย เรื่องนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่ว ผู้คนนับไม่ถ้วนได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของสุสานและมีการยืนยันความน่ากลัวของจิตสุสานอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปในสุสานสวรรค์ ตลอดเวลาหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา มีแค่สองคนที่กล้าเข้าไปในนั้น คนแรกคือตวนมู่หลิน อีกคนก็คือข้า”
“ ว่าต่อ ” จางหยูพูดขึ้น
“ตามหลักการแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของจิตสุสานสวรรค์ มันสามารถควบคุมปราณสุสานให้เข้าควบคุมข้าได้ แต่จิตสุสานกลับไม่ปรากฏตัวขึ้น มันควบคุมคนให้มาสู้กับข้าแทน ตอนที่สู้นั้นปราณสุสานก็ได้รุกล้ำเข้ามาในตัวข้าและข้าก็ได้กลายเป็นหุ่นเชิด ” อัลเวอร์เล่าสิ่งที่ตัวเองเจอมา “ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตสุสานไม่ได้ผูกมัดสติของข้า แม้แต่การกระทำของข้ามันก็ไม่อาจจะควบคุมได้มากนัก มันใช้พลังอย่างมากที่จะควบคุมข้าโดยเฉพาะตอนที่มันควบคุมข้านั้นข้าจะรับรู้ได้ถึงความอ่อนแอของมัน…”
แม้แต่คนระดับสิบเท่าก็ยังรับรู้ความอ่อนแอของมันได้ แสดงให้เห็นแล้วว่าจิตสุสานนั้นบาดเจ็บหนักแค่ไหน
“ ข้าคิดว่านอกจากหุ่นเชิดที่มันควบคุมมานานแล้ว หุ่นเชิดที่เหลือมีพลังผูกมัดที่อ่อนแอ…” หากเปลี่ยนเป็นตอนที่มันแข็งแกร่งอยู่ นี่ไม่ต้องพูดถึงอัลเวอร์เลย แม้แต่ราชานั้นมันก็สามารถกำจัดได้ง่ายๆ “ มันอ่อนแออย่างมาก ! ต้องมีอะไรผิดปกติกับมันแน่ !”
ทำไมถึงอ่อนแอลงแบบนั้น?
อัลเวอร์ไม่อาจจะคิดหาเหตุผลอื่นได้นอกจากการที่มันบาดเจ็บ
“ อีกอย่างตอนที่ตวนมู่หลินเข้าไปในสุสาน หงอีก็โดนคำสาป ตวนมู่หลินได้เรียนรู้ทักษะระดับสูงมา เอาจริงๆแล้วแม้ว่าตวนมู่หลินจะแข็งแกร่ง แต่จะแกร่งไปกว่าราชารึ ?” อัลเวอร์พูดขึ้น “ แม้แต่ราชาตะวันออกก็ยังยากจะกลับมาได้ ข้าคิดไม่ออกจริงๆว่าตวนมู่หลินอาศัยอะไร ถึงได้รับทักษะสร้างระดับสูงมา? เมื่อรวมกับประสบการณ์ของข้าแล้ว ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าจิตสุสานนั้นบาดเจ็บ จนถึงตอนนี้ก็ยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ ด้วยเหตุนี้ตวนมู่หลินจึงได้ทักษะสร้างระดับสูงไป”
โชคร้ายที่แม้ว่าจิตสุสานจะบาดเจ็บแต่ก็ยังควบคุมหุ่นเชิดได้นับไม่ถ้วน ตวนมู่หลินคงโลภมากเกินไป หากไม่มัวทำการเรียนรู้ทักษะระดับสูง บางทีเขาอาจจะมีเวลาหนีออกมาได้ แต่เพื่อที่จะเรียนรู้ทักษะนี้เขากลับต้องแลกด้วยชีวิตตัวเอง
แม้ว่าจ้านเทียนเกอจะไม่ได้มีข้อมูลเท่ากับต้วนเทียนหยา แต่อย่างน้อยก็ยังมีความทรงจำในสุสานที่ครบถ้วน เขาถึงกับบอกได้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ต้วนเทียนหยานั้นไม่อาจจะบอกได้เลยว่าตัวเองอยู่ในสุสานนานแค่ไหนแล้ว
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองหลังจากที่โดนครอบงำนั้นบ่งบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของทั้งสอง
ผู้นำในตำนานยังไงซะก็เป็นผู้นำในตำนาน พวกเขาไม่ใช่คนที่ผู้นำขั้นที่ 8 ทั่วไปจะมาเทียบได้
เมื่อเห็นว่าต้วนเทียนหยาไม่อาจจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้อีก จางหยูก็ได้พูดขึ้น “ ตอนนี้เจ้าไปพักในโลกป่าก่อน หากมีเรื่องอะไร ข้าจะเรียกเจ้าเอง..” นี่ไม่ใช่การแนะนำแต่นี่เป็นคำสั่ง
เมื่อถูกช่วยมา ต้วนเทียนหยาก็ต้องทำประโยชน์ให้กับสำนักคังเฉียง จางหยูไม่ได้รู้สึกผิดอะไรกับการทำแบบนี้
ต้วนเทียนหยายังไม่ทันได้ตอบกลับ จางหยูก็ได้ส่งต้วนเทียนหยาเข้าไปที่โลกป่า
ตอนที่ต้วนเทียนหยาได้สติกลับมาเขาก็มาถึงโลกป่าแล้ว สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเขาก็ต้องหาที่พักให้กับตัวเอง
แม้ว่าจะถูกจางหยูจำกัดอิสระเอาไว้ แต่ต้วนเทียนหยาก็ไม่ได้ถูกไล่ออกไปจากโลกป่า ถึงจะโดนขังไว้ที่นี่แต่ก็ยังดีกว่าการโดนลิดรอนสติไป จางหยูช่วยเขาไว้จากสุสาน เขาเป็นหนี้ชีวิต เขาจะกล้าบ่นได้ยังไง ?
….
หลังจากที่จัดการเรื่องต้วนเทียนหยาแล้ว จางหยูก็จับตาดูสถานการณ์ในสุสานต่อ ตอนนั้นเองจางลู่ก็เดินหน้าต่อไปยังวิหารที่ใกล้ที่สุด วิหารที่จางหยูเคยไปและได้พบกับอัลเวอร์
จิตสุสานยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา
บางทีมันอาจจะคิดว่าสามารถลบจางลู่ไปตอนไหนก็ได้ จึงไม่ได้รีบร้อนรึอาจจะโดนบางอย่างยับยั้งเอาไว้จึงไม่มีเวลามาจัดการกับจางลู่
ไม่นานจางลู่ก็มาถึงวิหารได้
วิหารไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย ประตูยังคงปิดอยู่ ที่ประตูมีกลุ่มผู้นำรวมถึงผู้ควบคุมขั้น 9 แต่ละคนต่างก็แผ่พลังสร้างของตัวเองออกมาเพื่อทำการบูชายัญ
จางลู่เดินเข้าไปก่อนจะผลักประตูให้เปิดออกอ่างช้าๆ
เสียงประตูนั้นทำให้พวกหุ่นเชิดตื่นขึ้น พวกนั้นพากันมองมาที่จางลู่ทันที
กลุ่มผู้นำและผู้ควบคุมขั้น 9 ที่นี่ดูคุ้นตาอย่างมาก
อัลเวอร์ ! หัวหน้าของที่นี่คืออัลเวอร์ !
แต่ตอนตี้สติของอัลเวอร์เหมือนจะโดนกลืนกินไปแล้ว เขาได้กลายเป็นหุ่นเชิดอย่างสมบูรณ์ หากเทียบกับอัลเวอร์ก่อนหน้านี้แล้วแทบไม่อาจจะเทียบกันได้เลย
จางลู่จำภารกิจที่จางหยูบอกมาได้ เขามองไปที่อัลเวอร์และคนอื่นๆ เขาไม่รอให้พวกนั้นได้โจมตีและได้ส่งพวกนั้นกลับไปที่โลกตันเถียน สำหรับว่าจิตสุสานจะรู้เรื่องนี้รึไม่นั้นจางลู่ไม่ได้กังวล
จนกระทั่งส่งทุกคนเข้าไปในโลกตันเถียนได้และพบว่าจิตสุสานไม่ได้โผล่มา จางลู่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “ มันไม่ใส่ใจเลยรึ?”
แม้จะไม่รู้ว่าจิตสุสานคิดอะไรแต่เมื่อจิตสุสานได้กักขังผู้นำและอัลเวอร์ไว้ที่นี่และให้พวกนี้ใช้พลังสร้างให้ งั้นก็ต้องมีเป้าหมาย เมื่อจางลู่เอาคนเหล่านี้ออกจากที่นี่ จิตสุสานกลับยังเฉยเมยราวกับว่าไม่รู้ตัว มันดูแปลกประหลาด
จิตสุสานไม่ได้ใส่ใจที่นี่รึอยากที่จะเล่นกับเขาต่อ ไม่ก็จิตสุสานไม่อาจจะลงมืออะไรได้
แม้ว่าจางลู่จะยังระวังตัวอยู่แต่เขาก็ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรแต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขา
หลังจากค้นหาสักพัก จางลู่ก็ไม่ได้พบอะไรที่เกี่ยวข้องกับทักษะระดับสูง รูปปั้นนั้นเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ
“ หากทำลายลานนี่ มันจะปรากฏตัวรึไม่ ? ” จางลู่มองไปที่ลานใจกลางวิหารด้วยตาที่เป็นประกาย
เขาคิดถึงบอลโลหิตในเขตหวงห้าม หากทำลายลานแห่งนี้ มันจะทำให้พลังของบอลโลหิตนั้นลดลงรึไม่ ?
จางลู่ส่งความคิดไปให้กับจางหยู ไม่นานเขาก็ได้คำสั่งจากจางหยูให้ทำลายลานแห่งนี้ !
ไม่ใช่แค่ลานแห่งนี้แต่ยังรวมไปถึงลานอื่นๆด้วย เมื่อพบแล้วให้ทำลายทันที ! ด้วยคำสั่งของจางหยู จางลู่ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาได้ก้าวออกไปเบาๆแต่กลับมีพลังอันน่ากลัวปะทุออกมาที่ใต้เท้าของเขา ก่อนที่จะเกิดการระเบิดขึ้นทุกทิศทาง ในพริบตาวิหารนั้นก็ถล่มลงไป ลานใจกลางวิหารก็ถล่มลงไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่พื้นดินก็ยังสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมแผ่นดินที่แยกออกจากกัน
เมื่อควันสลายไป ลานแห่งนี้ก็ได้ราบเป็นหน้ากลองไม่เหลือร่องรอยของลานอีก
ในอีกด้าน จางหยูได้เผชิญหน้ากับเหล่าหุ่นเชิด
ผู้นำ 45 คนบวกกับอัลเวอร์เป็น 46 คน !
ในโกลาหลตอนนี้ กองกำลังเช่นนี้ไม่ได้อ่อนแอเลย
จางหยูไม่ลังเลที่จะควบคุมจิตผู้สร้างเพื่อลบปราณสุสานในตัวพวกนั้นทิ้ง ไม่นานพวกนั้นก็ค่อยๆได้สติกลับมา
“ นี่มันที่ไหนกัน ?”
“ ข้ายังไม่ตายรึ ยอดเยี่ยมจริงๆ !” “ ใครกันที่ช่วยเราเอาไว้ ?”
พวกเขาพากันสับสนและตื่นเต้น
มีแค่อัลเวอร์ที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขามองไปที่จางหยูด้วยสีหน้าแปลกใจ “ เป็นเจ้านี่เอง”
เขาลังเลแล้วถามขึ้นมา “ เจ้าช่วยเราไว้รึ ?”
“ อัลเวอร์ เราได้พบกันอีกแล้ว” จางหยูยิ้มออกมา “ ข้าขอแนะนำตัวก่อน ข้าคือเจ้าสำนักของสำนักคังเฉียง จางหยู พวกเจ้าเรียกข้าว่า….เจ้าสำนักก็ได้”
ตอนที่เขาพบกับอัลเวอร์ครั้งแรก เขาแกร่งกว่าผู้นำทั่วไป ตอนนี้เขาเติบโตจนบดขยี้ อัลเวอร์ ได้อย่างง่ายดาย
“ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเช่นนี้” อัลเวอร์คิดว่าจางหยูคงแกร่งกว่าเขราไปแล้ว ครั้งที่แล้วคงปกปิดความแข็งแกร่งเอไว้ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดขึ้น “ อัลเวอร์ ขอบคุณเจ้าสำนักที่ช่วยชีวิต !” ผู้นำคนอื่นๆใจเย็นลงและพากันทำความเคารพจางหยู “ ขอบคุณเจ้าสำนักที่ช่วยชีวิตเราไว้ !”
จางหยูไม่ใช่แค่ช่วยพวกนี้แต่ยังกำจัดปราณสุสานในตัวพวกนี้ให้ด้วย บอกได้ว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวง
“ ไม่ต้องคิดมาก” จางหยูพูดขึ้น “ ข้าช่วยพวกเจ้าออกมาไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าจะเป็นอิสระ ข้าอยากให้พวกเจ้ารับใช้สำนักคังเฉียง 1 ยุค พวกเจ้ามีอะไรคัดค้านรึไม่ ?”
ทุกคนพากันมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้า นี่ไม่ต้องพูดถึงการรับใช้สำนักคังเฉียง 1 ยุค เลย แม้ว่าจางหยูจะฆ่าพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะบ่นอะไรได้ ยังไงซะความตายก็ดีกว่าการเป็นหุ่นเชิด
เมื่อเห็นว่าทุกตนตกลง จางหยูก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ “ ดีมาก”
หลังจากที่พูดคุยได้สักพักเขาก็มองไปรอบๆแล้วพูดขึ้น “ข้าจะถามคำถามกับพวกเจ้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะตอบตามความจริง”
ทุกคนพากันพยักหน้า
“ ใครรู้เกี่ยวกับสุสานรึความลับอื่นๆบ้าง ?” จางหยูถามขึ้นมา “ ไม่ว่าจะเป็นความลับอะไร ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับสุสานสวรรค์รึโกลาหลก็ได้ทั้งนั้น”
ทุกคนพากันมองหน้ากันดัวยความสับสน
ผ่านไปสักพักผู้นำคนหนึ่งก็ได้พูดขึ้น “ ข้าได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ว่าว่าโกลาหลกำลังจะโดนทำลาย…ไม่รู้ว่ามันใช่ความลับรึไม่”
“ ข้ารู้อย่างหนึ่ง มีบางคนจงใจกระจายกุญแจนี้ไปทั่วโกลาหลและล่อให้ข้าเข้าไปในสุสานจนกลายเป็นหุ่นเชิด นี่คือแผนการของใครสักคน”
“ ข้าเคยเห็นบันทึกโบราณ มันมีต้นไม้ขนาดใหญ่กระจายไปทั่วโกลาหล มันชื่อว่าต้นโกลาหล ผลโกลาหลต่างก็ได้มาจากมัน…แต่มันบันทึกไว้ในหนังสือเก่าแก่และไม่ได้มีหลักฐานยืนยัน”
บางคนตกใจเมื่อได้ยินคนเหล่านี้พูดออกมา
โชคร้ายที่สิ่งที่พวกนี้พูดมาไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก มันเป็นเรื่องที่จางหยูรู้อยู่แล้ว บางอย่างทุกคนต่างก็รู้อยู่แล้ว มันไม่ใช่ความลับอะไร
“ แล้วเจ้าล่ะ ?” จางหยูมองไปที่อัลเวอร์แล้วถามขึ้นมา “ เจ้ารู้อะไรบ้าง ?”
อัลเวอร์เงียบไปสักพักแล้วพูดขึ้น “ข้ารู้บางอย่างเกี่ยวกับสุสาน”
“ เรื่องอะไรกัน ?” จางหยูใจเต้นรัว
“ จิตสุสานบาดเจ็บ มันยังไม่ฟื้นฟูตัวเอง ” อัลเวอร์พูดขึ้น
“ เจ้ามั่นใจรึ ?” เรื่องจิตสุสานได้รับบาดเจ็บนั้นต้วนเทียนหยาได้บอกกับเขาแล้ว แต่ไม่ได้มีหลักฐานยืนยัน เมื่อได้ยินที่อัลเวอร์บอกมา สัญชาตญาณก็บอกจางหยูว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความจริง “ ความน่ากลัวของจิตสุสานสวรรค์นั้น ผู้ควบคุมขั้น 9 ทุกคนน่าจะเคยได้ยินมา ตัวตนของมันแม้แต่ราชาก็ยังต้องหวาดกลัว” อัลเวอร์พูดขึ้นมาช้าๆ “ ตอนที่ราชาตะวันออกเข้าไปในสุสาน เขาก็บาดเจ็บหนักและรอดออกมา สุดท้ายเขาก็ตาย เรื่องนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่ว ผู้คนนับไม่ถ้วนได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของสุสานและมีการยืนยันความน่ากลัวของจิตสุสานอีก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปในสุสานสวรรค์ ตลอดเวลาหนึ่งล้านปีที่ผ่านมา มีแค่สองคนที่กล้าเข้าไปในนั้น คนแรกคือตวนมู่หลิน อีกคนก็คือข้า”
“ ว่าต่อ ” จางหยูพูดขึ้น
“ตามหลักการแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของจิตสุสานสวรรค์ มันสามารถควบคุมปราณสุสานให้เข้าควบคุมข้าได้ แต่จิตสุสานกลับไม่ปรากฏตัวขึ้น มันควบคุมคนให้มาสู้กับข้าแทน ตอนที่สู้นั้นปราณสุสานก็ได้รุกล้ำเข้ามาในตัวข้าและข้าก็ได้กลายเป็นหุ่นเชิด ” อัลเวอร์เล่าสิ่งที่ตัวเองเจอมา “ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตสุสานไม่ได้ผูกมัดสติของข้า แม้แต่การกระทำของข้ามันก็ไม่อาจจะควบคุมได้มากนัก มันใช้พลังอย่างมากที่จะควบคุมข้าโดยเฉพาะตอนที่มันควบคุมข้านั้นข้าจะรับรู้ได้ถึงความอ่อนแอของมัน…”
แม้แต่คนระดับสิบเท่าก็ยังรับรู้ความอ่อนแอของมันได้ แสดงให้เห็นแล้วว่าจิตสุสานนั้นบาดเจ็บหนักแค่ไหน
“ ข้าคิดว่านอกจากหุ่นเชิดที่มันควบคุมมานานแล้ว หุ่นเชิดที่เหลือมีพลังผูกมัดที่อ่อนแอ…” หากเปลี่ยนเป็นตอนที่มันแข็งแกร่งอยู่ นี่ไม่ต้องพูดถึงอัลเวอร์เลย แม้แต่ราชานั้นมันก็สามารถกำจัดได้ง่ายๆ “ มันอ่อนแออย่างมาก ! ต้องมีอะไรผิดปกติกับมันแน่ !”
ทำไมถึงอ่อนแอลงแบบนั้น?
อัลเวอร์ไม่อาจจะคิดหาเหตุผลอื่นได้นอกจากการที่มันบาดเจ็บ
“ อีกอย่างตอนที่ตวนมู่หลินเข้าไปในสุสาน หงอีก็โดนคำสาป ตวนมู่หลินได้เรียนรู้ทักษะระดับสูงมา เอาจริงๆแล้วแม้ว่าตวนมู่หลินจะแข็งแกร่ง แต่จะแกร่งไปกว่าราชารึ ?” อัลเวอร์พูดขึ้น “ แม้แต่ราชาตะวันออกก็ยังยากจะกลับมาได้ ข้าคิดไม่ออกจริงๆว่าตวนมู่หลินอาศัยอะไร ถึงได้รับทักษะสร้างระดับสูงมา? เมื่อรวมกับประสบการณ์ของข้าแล้ว ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าจิตสุสานนั้นบาดเจ็บ จนถึงตอนนี้ก็ยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ ด้วยเหตุนี้ตวนมู่หลินจึงได้ทักษะสร้างระดับสูงไป”
โชคร้ายที่แม้ว่าจิตสุสานจะบาดเจ็บแต่ก็ยังควบคุมหุ่นเชิดได้นับไม่ถ้วน ตวนมู่หลินคงโลภมากเกินไป หากไม่มัวทำการเรียนรู้ทักษะระดับสูง บางทีเขาอาจจะมีเวลาหนีออกมาได้ แต่เพื่อที่จะเรียนรู้ทักษะนี้เขากลับต้องแลกด้วยชีวิตตัวเอง