ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1803 : ยอมรับ
หลังจากที่ได้เห็นความสามารถอันน่ากลัวของจางหยู ซุนเหยียนก็ยืนนิ่งราวกับโดนฟ้าผ่า
เกียรติยศและความมั่นใจที่เขาเคยมีได้พังทลายลงไป
ในฐานะร่างแยกของจ้าวโกลาหลแล้ว ซุนเหยียนรู้พลังของจ้าวโกลาหลดี แค่สะบัดมือก็สามารถลบราชาไปได้ แต่จางหยู นั้นกลับทำให้ซุนเหยียนรู้สึกว่าจางหยูแกร่งกว่าจ้าวโกลาหล !
แกร่งจนไม่อาจจะเข้าใจได้ !
“ แปลกใจงั้นรึ ?” แม้ว่าจะไม่เห็นสีหน้าของซุนเหยียน แต่จางหยูก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง “ เทียบกับร่างหลักเจ้าแล้ว ข้าเป็นยังไงบ้าง ?”
ปากของซุนเหยียนขยับ แต่ไม่มีเสียงใดๆดังออกมา เขาไม่รู้จะประเมินยังไง เขาไม่อยากยอมรับว่าชายตรงหน้าที่เขามองว่าเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลนั้นจะเหนือกว่าร่างหลักของเขา
ยิ่งกว่านั้นเขารู้สึกได้ว่าชายหนุ่มนี้คือทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด
จางหยูแกร่งจนเขารับรู้ได้ มันราวกับเขายืนอยู่ต่อหน้าขุนเขาที่สูงตระหง่าน
ความแข็งแกร่งของจางหยูนั้นเขาไม่อาจจะรับรู้ได้หมด มันราวกับหุบเหวที่ไม่มีที่สิ้นสุดและไม่อาจจะมองออกว่ามันลึกเพียงใด
สักพักเขาถึงได้สติกลับมาและเปิดปากพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ ทำไมกัน ? เจ้าเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลไม่ใช่รึ ?”
เสียงของเขาบ่งบอกถึงความตกตะลึง กึ่งจ้าวโกลาหลจะมีความแข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง ? เขามองพลาดไปรึ ?
แต่จางลู่ดูเหมือนเป็นร่างแยกของกึ่งจ้าวโกลาหล ไม่ใช่ร่างแยกของจ้าวโกลาหล แต่ถ้าหากจางลู่เป็นร่างแยกของจ้าวโกลาหลจริงๆ งั้นความแข็งแกร่งของเขาทำไมถึงมีเพียงเท่านั้น?
ซุนเหยียนไม่อาจจะเข้าใจได้ ในหัวเขามีแต่คำถาม
“ สถานการณ์ของข้าค่อนข้างพิเศษ เจ้าคิดว่าข้าเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลก็ได้ แต่พูดตามตรงแล้วข้าไม่ใช่กึ่งจ้าวโกลาหล” จางหยูพูดขึ้น
ซุนเหยียนไม่อาจจะเข้าใจคำพูดของจางหยูได้ กึ่งจ้าวโกลาหลรึจ้าวโกลาหล พวกเจ้าเป็นอันไหนกันแน่ ?
จางหยูไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน
“ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าอยู่ระดับไหน ” จางหยูบอกความจริง เพราะเขาไม่เหมือนกึ่งจ้าวโกลาหลทั่วไป เขายังไม่ได้ขึ้นเป็นจ้าวโกลาหล
ซุนเหยียนมองไปที่จางหยูด้วยความสงสัย เขายังไม่คิดจะเชื่อคำพูดของจางหยู
“ สถานการณ์ของข้า ข้าคงบอกอะไรไม่ได้ ” จางหยูโบกมือ “ เจ้าแค่ต้องรู้ว่าที่นี่น่ะข้าไร้เทียมทานก็พอแล้ว !”
“ ไร้เทียมทานรึ ?”
“ ใช่ ไร้เทียมทาน !” จางหยูพยักหน้า “ สิ่งที่เรียกว่าไร้เทียมทานนั้นไม่ว่าเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งแค่ไหน ไม่ว่าจะมีศัตรูมากเท่าไหร่ แต่ต่อหน้าข้าแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากมดปลวก ต่อให้เป็นร่างแยกของจ้าวโกลาหล แม้ว่าจะมีเป็นหมื่นๆคน แต่ข้าก็สามารถทำลายมันได้”
ท่าทีของเขาเยือกเย็นและมั่นใจอย่างมาก
ความมั่นใจที่มาจากใจนั้นทำให้คำพูดของเขาดูน่าเชื่อถือ
“ เอาล่ะ เลิกพูดไร้สาระกันเถอะ” จางหยูไม่สนว่าซุนเหยียนจะเชื่อรึไม่ เขาได้พูดขึ้นมาว่า “ สละจิตของเจ้ามาให้ข้า”
ซุนเหยียนไม่ใช่ยอดฝีมือทั่วๆไป ด้วยพลังของจางอยูในโกลาหลนั้นไม่มีทางเลยที่จะสามารถควบคุมเขาได้ จางหยูจึงต้องการให้ซุนเหยียนสละจิตของตนออกมาเอง
ก็เหมือนกับเสี่ยวเสียที่ทำการสละจิตผูกมัดกับจางหยูเอาไว้ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของจางหยู
ซุนเหยียนใจหล่นวูบ เขาปฏิเสธโดยไม่ลังเล “ เป็นไปไม่ได้ !”
การที่เขาเป็นพันธมิตรกับจางหยูถือว่ายอมลดตัวที่สุดแล้ว การสละจิตให้กับอีกฝ่ายนั้นแน่นอนว่าไม่อาจจะเป็นไปได้
ในมุมมองของเขาแล้ว นี่เป็นการดูถูกเขารวมถึงเป็นการเหยียบย่ำเกียรติที่เขามี
“ ข้าจะสละจิตของตัวเองให้คนอื่นได้ยังไง? ในเมื่อข้าเป็นร่างแยกของจ้าวโกลาหล ?” ซุนเหยียนพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ แม้ว่าจะกลัวจางหยูอย่างมาก แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับเกียรติของตนแล้วเขาก็ต้องปฏิเสธ “ เจ้าฆ่าข้าก็ได้แต่เจ้าไม่อาจจะดูถูกข้าแบบนี้ได้ !”
จางหยูพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ ได้สติสักที จ้าวโกลาหลน่ะตายไปนานแล้ว เจ้าคืออะไรกัน ? นอกจากนี้ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้ยังไงหากเจ้าไม่ผูกจิตกับข้า ?”
“ ทำไม เจ้าไม่เชื่อใจข้ารึไง ?” ซุนเหยียนถามขึ้นมา “ ข้ารับปากสิ่งใดแล้วเป็นธรรมดาที่จะไม่ผิดคำพูด”
จางหยูถามกลับ “ เจ้าหักหลังได้แม้กระทั่งร่างหลักของตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น?”
“ ใครบอกกันว่าข้า…” ซุนเหยียนพูดได้ไม่นานก็ต้องหยุด
มันคือความจริงที่ว่าเขาหักหลังร่างหลักของตัวเอง สิ่งที่เขาทำมาตลอดหลายปีนี้ไม่ต่างอะไรจากการหักหลังจ้าวโกลาหลจริงๆ
เขาคือคนที่ฆ่าผู้ควบคุมไปนับไม่ถ้วน เขาทำให้โกลาหลถูกทำลายเร็วขึ้นกว่าเดิมไม่ใช่รึ?
จางหยูพูดต่อ “ หากเจ้าภักดีต่อข้าอย่างจริงใจ การสละจิตให้กับข้ารึไม่นั้น มันจะต่างกันตรงไหน ? หยุดปกป้องเกียรติอันน่าตลกของเจ้าได้แล้ว เจ้าหมดเกียรติไปนานแล้วนับตั้งแต่ที่ตัวเองถูกไห่อู่เซิงแย่งชิงร่างไป”
ซุนเหยียนเงียบไป
คำพูดของจางหยูได้เปิดแผลในใจของเขาอีกครั้ง
เขากัดฟันแน่นด้วยความปวดใจก่อนที่สุดท้ายจะยอมประนีประนอม “ ข้าสละจิตตัวเองได้แต่เจ้าต้องรับปากกับข้าว่าจะสร้างร่างที่เข้ากับจิตของข้าขึ้นมา ให้ข้ากับไห่อู่เซิงได้สู้กัน !”
การแก้แค้นคือเรื่องสำคัญในใจเขา
“ ได้ “ จางหยูรีบรับปาก “ เงื่อนไขนี้ไม่ได้เกินไป ข้ารับปากกับเจ้าได้”
เงื่อนไขนี้จางลู่ได้รับปากซุนเหยียนมาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ซุนเหยียนแค่ตกลงกับร่างหลักก็เท่านั้น
ซุนเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดขึ้น “ ข้าไม่คิดเลยว่าข้าที่เป็นร่างแยกของจ้าวโกลาหลกลับตกต่ำถึงเพียงนี้…”
เมื่อพูดจบเขาก็ได้ทำการดึงเศษเสี้ยวจิตออกมาและส่งให้กับจางหยู
เมื่อจางหยูได้รับจิตนั้นมา จิตของทั้งสองก็ได้เชื่อมต่อกัน มันเหนือกว่าการเชื่อมต่อทางวิญญาณ ซุนเหยียนนั้นเหมือนกับร่างแยกของเขา แม้ว่าแก่นแท้จะต่างกันแต่ผลลัพธ์นั้นไม่ได้ต่างกันเลย
เขามองความทรงจำและรับรู้ความคิดของซุนเหยียนได้ด้วยซ้ำ
จางหยูไม่สุภาพอีกต่อไป หลังจากที่ได้จิตของซุนเหยียนมา เขาก็ตรวจสอบความทรงจำของซุนเหยียน เขาต้องยืนยันคำพูดของซุนเหยียนก่อนว่าจริงรึไม่ รวมถึงเรื่องของไห่อู่เซิง, สุสานสวรรค์และจ้าวโกลาหล จะโทษจางหยูไม่ได้ที่ระวังตัวแบบนี้ เพราะซุนเหยียนเคยโกหกมาก่อน
โชคดีหลังจากที่ตรวจสอบแล้วจางหยูก็ตัดสินได้ว่าซุนเหยียนไม่ได้โกหก “ นายท่าน…” ซุนเหยียนพูดออกมา เขารู้สึกว่าราวกับโดนดูถูก
จางหยูโบกมือและพูดขึ้น “ เจ้าเรียกข้าว่าเจ้าสำนักก็พอ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นซุนเหยียนก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “ ได้ เจ้าสำนัก”
เกียรติยศและความมั่นใจที่เขาเคยมีได้พังทลายลงไป
ในฐานะร่างแยกของจ้าวโกลาหลแล้ว ซุนเหยียนรู้พลังของจ้าวโกลาหลดี แค่สะบัดมือก็สามารถลบราชาไปได้ แต่จางหยู นั้นกลับทำให้ซุนเหยียนรู้สึกว่าจางหยูแกร่งกว่าจ้าวโกลาหล !
แกร่งจนไม่อาจจะเข้าใจได้ !
“ แปลกใจงั้นรึ ?” แม้ว่าจะไม่เห็นสีหน้าของซุนเหยียน แต่จางหยูก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง “ เทียบกับร่างหลักเจ้าแล้ว ข้าเป็นยังไงบ้าง ?”
ปากของซุนเหยียนขยับ แต่ไม่มีเสียงใดๆดังออกมา เขาไม่รู้จะประเมินยังไง เขาไม่อยากยอมรับว่าชายตรงหน้าที่เขามองว่าเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลนั้นจะเหนือกว่าร่างหลักของเขา
ยิ่งกว่านั้นเขารู้สึกได้ว่าชายหนุ่มนี้คือทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด
จางหยูแกร่งจนเขารับรู้ได้ มันราวกับเขายืนอยู่ต่อหน้าขุนเขาที่สูงตระหง่าน
ความแข็งแกร่งของจางหยูนั้นเขาไม่อาจจะรับรู้ได้หมด มันราวกับหุบเหวที่ไม่มีที่สิ้นสุดและไม่อาจจะมองออกว่ามันลึกเพียงใด
สักพักเขาถึงได้สติกลับมาและเปิดปากพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ ทำไมกัน ? เจ้าเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลไม่ใช่รึ ?”
เสียงของเขาบ่งบอกถึงความตกตะลึง กึ่งจ้าวโกลาหลจะมีความแข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง ? เขามองพลาดไปรึ ?
แต่จางลู่ดูเหมือนเป็นร่างแยกของกึ่งจ้าวโกลาหล ไม่ใช่ร่างแยกของจ้าวโกลาหล แต่ถ้าหากจางลู่เป็นร่างแยกของจ้าวโกลาหลจริงๆ งั้นความแข็งแกร่งของเขาทำไมถึงมีเพียงเท่านั้น?
ซุนเหยียนไม่อาจจะเข้าใจได้ ในหัวเขามีแต่คำถาม
“ สถานการณ์ของข้าค่อนข้างพิเศษ เจ้าคิดว่าข้าเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลก็ได้ แต่พูดตามตรงแล้วข้าไม่ใช่กึ่งจ้าวโกลาหล” จางหยูพูดขึ้น
ซุนเหยียนไม่อาจจะเข้าใจคำพูดของจางหยูได้ กึ่งจ้าวโกลาหลรึจ้าวโกลาหล พวกเจ้าเป็นอันไหนกันแน่ ?
จางหยูไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน
“ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าอยู่ระดับไหน ” จางหยูบอกความจริง เพราะเขาไม่เหมือนกึ่งจ้าวโกลาหลทั่วไป เขายังไม่ได้ขึ้นเป็นจ้าวโกลาหล
ซุนเหยียนมองไปที่จางหยูด้วยความสงสัย เขายังไม่คิดจะเชื่อคำพูดของจางหยู
“ สถานการณ์ของข้า ข้าคงบอกอะไรไม่ได้ ” จางหยูโบกมือ “ เจ้าแค่ต้องรู้ว่าที่นี่น่ะข้าไร้เทียมทานก็พอแล้ว !”
“ ไร้เทียมทานรึ ?”
“ ใช่ ไร้เทียมทาน !” จางหยูพยักหน้า “ สิ่งที่เรียกว่าไร้เทียมทานนั้นไม่ว่าเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งแค่ไหน ไม่ว่าจะมีศัตรูมากเท่าไหร่ แต่ต่อหน้าข้าแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากมดปลวก ต่อให้เป็นร่างแยกของจ้าวโกลาหล แม้ว่าจะมีเป็นหมื่นๆคน แต่ข้าก็สามารถทำลายมันได้”
ท่าทีของเขาเยือกเย็นและมั่นใจอย่างมาก
ความมั่นใจที่มาจากใจนั้นทำให้คำพูดของเขาดูน่าเชื่อถือ
“ เอาล่ะ เลิกพูดไร้สาระกันเถอะ” จางหยูไม่สนว่าซุนเหยียนจะเชื่อรึไม่ เขาได้พูดขึ้นมาว่า “ สละจิตของเจ้ามาให้ข้า”
ซุนเหยียนไม่ใช่ยอดฝีมือทั่วๆไป ด้วยพลังของจางอยูในโกลาหลนั้นไม่มีทางเลยที่จะสามารถควบคุมเขาได้ จางหยูจึงต้องการให้ซุนเหยียนสละจิตของตนออกมาเอง
ก็เหมือนกับเสี่ยวเสียที่ทำการสละจิตผูกมัดกับจางหยูเอาไว้ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของจางหยู
ซุนเหยียนใจหล่นวูบ เขาปฏิเสธโดยไม่ลังเล “ เป็นไปไม่ได้ !”
การที่เขาเป็นพันธมิตรกับจางหยูถือว่ายอมลดตัวที่สุดแล้ว การสละจิตให้กับอีกฝ่ายนั้นแน่นอนว่าไม่อาจจะเป็นไปได้
ในมุมมองของเขาแล้ว นี่เป็นการดูถูกเขารวมถึงเป็นการเหยียบย่ำเกียรติที่เขามี
“ ข้าจะสละจิตของตัวเองให้คนอื่นได้ยังไง? ในเมื่อข้าเป็นร่างแยกของจ้าวโกลาหล ?” ซุนเหยียนพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ แม้ว่าจะกลัวจางหยูอย่างมาก แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับเกียรติของตนแล้วเขาก็ต้องปฏิเสธ “ เจ้าฆ่าข้าก็ได้แต่เจ้าไม่อาจจะดูถูกข้าแบบนี้ได้ !”
จางหยูพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ ได้สติสักที จ้าวโกลาหลน่ะตายไปนานแล้ว เจ้าคืออะไรกัน ? นอกจากนี้ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้ยังไงหากเจ้าไม่ผูกจิตกับข้า ?”
“ ทำไม เจ้าไม่เชื่อใจข้ารึไง ?” ซุนเหยียนถามขึ้นมา “ ข้ารับปากสิ่งใดแล้วเป็นธรรมดาที่จะไม่ผิดคำพูด”
จางหยูถามกลับ “ เจ้าหักหลังได้แม้กระทั่งร่างหลักของตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น?”
“ ใครบอกกันว่าข้า…” ซุนเหยียนพูดได้ไม่นานก็ต้องหยุด
มันคือความจริงที่ว่าเขาหักหลังร่างหลักของตัวเอง สิ่งที่เขาทำมาตลอดหลายปีนี้ไม่ต่างอะไรจากการหักหลังจ้าวโกลาหลจริงๆ
เขาคือคนที่ฆ่าผู้ควบคุมไปนับไม่ถ้วน เขาทำให้โกลาหลถูกทำลายเร็วขึ้นกว่าเดิมไม่ใช่รึ?
จางหยูพูดต่อ “ หากเจ้าภักดีต่อข้าอย่างจริงใจ การสละจิตให้กับข้ารึไม่นั้น มันจะต่างกันตรงไหน ? หยุดปกป้องเกียรติอันน่าตลกของเจ้าได้แล้ว เจ้าหมดเกียรติไปนานแล้วนับตั้งแต่ที่ตัวเองถูกไห่อู่เซิงแย่งชิงร่างไป”
ซุนเหยียนเงียบไป
คำพูดของจางหยูได้เปิดแผลในใจของเขาอีกครั้ง
เขากัดฟันแน่นด้วยความปวดใจก่อนที่สุดท้ายจะยอมประนีประนอม “ ข้าสละจิตตัวเองได้แต่เจ้าต้องรับปากกับข้าว่าจะสร้างร่างที่เข้ากับจิตของข้าขึ้นมา ให้ข้ากับไห่อู่เซิงได้สู้กัน !”
การแก้แค้นคือเรื่องสำคัญในใจเขา
“ ได้ “ จางหยูรีบรับปาก “ เงื่อนไขนี้ไม่ได้เกินไป ข้ารับปากกับเจ้าได้”
เงื่อนไขนี้จางลู่ได้รับปากซุนเหยียนมาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ซุนเหยียนแค่ตกลงกับร่างหลักก็เท่านั้น
ซุนเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดขึ้น “ ข้าไม่คิดเลยว่าข้าที่เป็นร่างแยกของจ้าวโกลาหลกลับตกต่ำถึงเพียงนี้…”
เมื่อพูดจบเขาก็ได้ทำการดึงเศษเสี้ยวจิตออกมาและส่งให้กับจางหยู
เมื่อจางหยูได้รับจิตนั้นมา จิตของทั้งสองก็ได้เชื่อมต่อกัน มันเหนือกว่าการเชื่อมต่อทางวิญญาณ ซุนเหยียนนั้นเหมือนกับร่างแยกของเขา แม้ว่าแก่นแท้จะต่างกันแต่ผลลัพธ์นั้นไม่ได้ต่างกันเลย
เขามองความทรงจำและรับรู้ความคิดของซุนเหยียนได้ด้วยซ้ำ
จางหยูไม่สุภาพอีกต่อไป หลังจากที่ได้จิตของซุนเหยียนมา เขาก็ตรวจสอบความทรงจำของซุนเหยียน เขาต้องยืนยันคำพูดของซุนเหยียนก่อนว่าจริงรึไม่ รวมถึงเรื่องของไห่อู่เซิง, สุสานสวรรค์และจ้าวโกลาหล จะโทษจางหยูไม่ได้ที่ระวังตัวแบบนี้ เพราะซุนเหยียนเคยโกหกมาก่อน
โชคดีหลังจากที่ตรวจสอบแล้วจางหยูก็ตัดสินได้ว่าซุนเหยียนไม่ได้โกหก “ นายท่าน…” ซุนเหยียนพูดออกมา เขารู้สึกว่าราวกับโดนดูถูก
จางหยูโบกมือและพูดขึ้น “ เจ้าเรียกข้าว่าเจ้าสำนักก็พอ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นซุนเหยียนก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “ ได้ เจ้าสำนัก”