ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1806 : ทายาทของจ้าวโกลาหล
เมื่อก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตกึ่งจ้าวโกลาหล จางหยูก็ไม่ต้องทำอะไรต่อ ตราบใดที่เขาปรับตัวได้ เขาก็จะขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลจริงๆ
“ น่าเสียดาย ที่มีจิตที่แข็งแกร่งแค่ดวงเดียวที่ควบคุมร่างบรรพกาลได้” จางหยูเสียดายขึ้นมา เขาอยากสร้างจ้าวบรรพกาลขึ้นมาอีก เขาอยากสร้างจ้าวบรรพกาลจำนวนมากขึ้นมา แต่ในสำนักนั้น คนที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้มีแค่เขาเท่านั้น
ไม่สิ มันน่าจะนับเสี่ยวเสียเข้าไปด้วย
แต่เสี่ยวเสียก็ถือว่าเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว ความแข็งแกร่งของมันทัดเทียมกับกึ่งจ้าวโกลาหลได้
จางหยูคิดหาวิธีในการสร้างร่างแยกขึ้นมาเพิ่ม ในโลกตันเถียนนี้การสร้างร่างบรรพกาลขึ้นมานั้นจะทำให้เขาเหนื่อยอย่างมาก ผลลัพธ์ล้มเหลวมาหลายครั้ง เขาถึงกับแบ่งจิตออกไป แต่ก็ไม่อาจจะควบคุมร่างบรรพกาลได้ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปคือจิตของเขาไม่แข็งแกร่งเพียงพอ หากไม่ใช่จิตที่สมบูรณ์ของเขาก็ไม่สามารถควบคุมร่างบรรพกาลได้ ฉะนั้นแค่เศษเสี้ยวจิตก็ไม่อาจจะทำได้
แม้ว่าตอนนี้เขาจะก้าวขึ้นมาขอบเขตกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว แต่แค่เศษเสี้ยวจิตนั้นก็ไม่อาจจะควบคุมร่างบรรพกาลได้
แน่นอนร่างแยกของเขาพึ่งพาจิตผู้สร้างที่ไร้เทียมทานได้ แต่พวกนั้นจะอยู่ได้แค่ในบรรพกาล การออกจากโลกตันเถียนนั้นจะไม่ได้มีจิตผู้สร้างที่แข็งแกร่งดังเดิม การที่มีร่างแยกแบบนั้นจะเป็นประโยชน์อะไร ?
“ แต่บรรพกาลที่โลกผนึกเทพยังขาดจ้าวบรรพกาล บางทีเราอาจจะพิจารณาเสี่ยวเสีย” จางหยูคิด “ จิตของเสี่ยวเสียนั้นแข็งแกร่งพอที่จะควบคุมร่างบรรพกาลได้”
เมื่อคิดได้แบบนั้นจางหยูก็ได้ติดต่อหาจางลู่ทันที “ เจ้าไปที่สุสานสวรรค์และนำเสี่ยวเสียกลับมา”
หากเสี่ยวเสียกลายเป็นจ้าวบรรพกาลได้งั้นปราณสุสานก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไปแล้ว
“ ข้าเพิ่งกลับมาจะให้ข้าไปอีกแล้วรึ ?” จางลู่สลด เขาต้องเดินทางไปยังสุสานอีกครั้ง
หลังจากที่จางลู่ออกเดินทาง จางหยูก็มองไปยังหุ่นเชิดนับแสนก่อนจะถามกับซุนเหยียนว่า “ เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้มีใครพอที่จะควบคุมร่างบรรพกาลได้รึไม่ ?” แม้ว่าโลกตันเถียนในตอนนี้จะมีแค่บรรพกาลของโลกบรรพกาลและโลกผนึกเทพ แต่ด้วยการเติบโตของโลกต่างๆแล้ว อีกไม่นานมันก็จะพัฒนาเป็นโลกขั้นที่ 9 และให้กำเนิดบรรพกาลขึ้นมาจำนวนมาก บรรพกาลเหล่านั้นต้องการจ้าวบรรพกาล
ซุนเหยียนเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะส่ายหน้า “ มันมากเกินไป” เขาได้ตอบกลับ “ นี่ไม่พูดถึงพวกที่ต่ำกว่าขั้นที่ 9 นะ แม้แต่ราชาก็ยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ”
หากฝืนทดลองแล้ว บางทีอาจจะทำให้จิตพวกนั้นถูกลบไปโดยร่างบรรพกาลที่แข็งแกร่ง “ จิตที่แข็งแกร่งเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของคน “ ซุนเหยียนอธิบาย “ จิตของราชานั้นแกร่งกว่าผู้ควบคุมทั่วไป แต่ยังห่างจากกึ่งจ้าวโกลาหล นอกซะจากว่าจะเป็นร่างแยกของจ้าวโกลาหลรึการเกิดใหม่ของกึ่งจ้าวโกลาหลเอง ไม่งั้นจิตก็ไม่อาจจะเข้ากับร่างบรรพกาลได้”
แม้ว่าจางหยูจะเสียดายแต่เขาก็คาดไว้แล้ว เขาจึงไม่ได้ผิดหวังอะไร
“ ต้องเป็นร่างแยกจ้าวโกลาหลรึกึ่งจ้าวโกลาหลเท่านั้นรึ ?” จางหยูถามขึ้นมา “ ไม่มีความเป็นไปได้อื่นเลยรึ ?”
ซุนเหยียนคิดสักพักแล้วตอบกลับ “ มีข้อยกเว้นอยู่”
“ ข้อยกเว้นอะไรกัน ?” จางหยูถามขึ้นมา
“ สายเลือด !” ซุนเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วตอบกลับ “ สายเลือดของจ้าวโกลาหล หรือจะบอกว่าทายาทของจ้าวโกลาหล หากคนเหล่านั้นมีระดับการบ่มเพาะที่สูงในระดับหนึ่ง ก็สามารถควบคุมร่างบรรพกาลได้ เพราะจิตของพวกเขาได้รับผลกระทบจากสายเลือด มันจึงแกร่งกว่าผู้ควบุคมคนอื่นในขอบเขตเดียวกัน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นจางหยูก็ไม่ได้ผิดหวัง “ สายเลือดนี้ต้องเป็นสายเลือดของจ้าวโกลาหลเท่านั้นรึ ? แล้วข้าจะไปหาจากที่ไหนกัน ?”
คำพูดนี้ไม่ได้ทำให้อะไรต่างจากเดิมเลย
“ ไม่ ” ซุนเหยียนพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ในโกลาหลแห่งนี้ ยังมีทายาทของจ้าวโกลาหลอยู่ ! ข้าเคยเห็นพวกเขามาแล้ว !”
จางหยูแปลกใจ “ จริงรึ ?” ซุนเหยียนยังไม่ทันได้ตอบกลับ จางหยูก็พูดขึ้นต่อ “ ช้าก่อน เจ้าบอกว่า…พวกเขา ? หมายความว่ามีทายาทจ้าวโกลาหลมากกว่าหนึ่งคนรึ ?”
ซุนเหยียนพยักหน้า “ อันที่จริงไม่ใช่แค่ข้า แต่ไห่อู่เซิงก็น่าจะรู้เรื่องนี้ เพราะเท่าที่ข้าจำได้ ข้าเหมือนจะเห็นทายาทของจ้าวโกลาหลเข้าร่วมกับโกลาหลนภาแล้ว ข้าสงสัยว่าไห่อู่เซิงตั้งใจจะกลืนกินสายเลือดของเขาเพื่อพัฒนาโกลาหลนภาขึ้นมา โอกาสสำเร็จมันจะสูงยิ่งขึ้น”
“ พวกเขาเป็นใครกัน ?” จางหยูตาเป็นประกาย
ทายาทจ้าวโกลาหลยังมีตัวตนอยู่ นี่คือเรื่องที่ทำให้จางหยูแปลกใจ
ซุนเหยียนพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ “ ตอนนี้ข้ารู้ว่าทายาทจ้าวโกลาหลมีทั้งหมดสองคน คนหนึ่งชื่อซุนซิง อีกคนชื่อซุนเมิ่ง สองคนนี้ต่างก็มีสายเลือดจ้าวโกลาหลอยู่ในตัว”
จางหยูเบิกตากว้าง “ ซุนซิงกับซุนเมิ่งรึ ?”
เขาไม่คิดไม่ฝันว่าทั้งสองคนจะเป็นทายาทจ้าวโกลาหล พวกนี้กลับมีสายเลือดของจ้าวโกลาหลอยู่ในตัว
“ เจ้าสำนักรู้จักพวกเขาด้วยรึ ?” ซุนเหยียนแปลกใจ “ จริงสิ เจ้าสำนักเคยไปที่โกลาหลนภามาแล้ว การที่ท่านรู้จักกับซุนซิงจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ซุนเมิ่งนั้นเป็นผู้หญิง แม้ว่าข้าจะมอบทักษะสร้างร่างเทียมให้กับนาง แต่ก็เพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน นางไม่น่าจะขึ้นเป็นราชาได้ไม่ใช่รึ ?”
“ แน่นอนว่าข้ารู้จัก” จางหยูแสดงสีหน้าแปลกใจนิดๆออกมา “ พูดไปแล้ว ซุนเมิ่งก็ถือว่าเป็นศิษย์ของข้าอยู่กึ่งหนึ่ง เจ้าจะบอกว่าข้าไม่รู้จักนางรึ ?”
“ ศิษย์กึ่งหนึ่ง ?” เป็นตาซุนเหยียนบ้างที่ต้องแปลกใจ
“ ที่ข้าบอกได้คือมันเป็นเรื่องบังเอิญ” จางหยูพูดขึ้น “ ใครจะไปคิดว่าคนที่ข้ารับเป็นศิษย์จะเป็นทายาทของจ้าวโกลาหล…ไม่สิ พูดตามตรงแล้วนางก็ไม่ใช่ศิษย์ข้า”
สุดท้ายจางหยูก็เข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆ เมื่อเข้าไปในสุสานแล้ว หากไม่ตายไม่ก็โดนควบคุม แม้ว่าจะหนีรอดมาได้แต่ก็หนีความตายไม่พ้น มีแค่ซุนซิงกับซุนเมิ่งเท่านั้นที่รอดมาได้และยังสบายดีอยู่ ไม่ใช่แค่ไม่โดนปราณสุสานรุกล้ำเข้าตัว แต่ยังได้เรียนรู้ทักษะระดับสูงมาด้วย
มันไม่ใช่เพราะทั้งสองโชคดีกว่าคนอื่นแต่เป็นเพราะฐานะพิเศษของทั้งคู่
เพราะฐานะนี้ ซุนเหยียนจึงไม่ใช่แค่ไม่ทำร้ายทั้งสองแต่ยังส่งทักษะให้ด้วย ร่างกายของพวกนี้มีสายเลือดของจ้าวโกลาหล ซึ่งทำให้พวกนี้เข้าใจทักษะได้ง่ายขึ้น มันเพราะสายเลือดของพวกเขา
ความสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของทั้งสอง ในที่สุดก็ได้รับการเปิดเผย
เมื่อคิดถึงไห่อู่เซิงที่ดูแลวิหารอวี๋ฮุ่นและตระกูลซุน รวมไปถึงดึงซุนซิงและซุนเมิ่งเข้าร่วมโกลาหลนภา จางหยูก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ ไห่อู่เซิงคำนวณมาหมดแล้ว ! ไม่ใช่แค่ให้ลูกหลานจ้าวโกลาหลทำงานหนัก แต่ยังให้ดูแลวิหารแทนเขาด้วย อีกทั้งยังรับทั้งสองเข้าร่วมโกลาหลนภา ข้าเกรงว่าไห่อู่เซิงคงหมายตาสายเลือดของทั้งสองมานานแล้ว…”
ตอนนี้เมื่อรู้ตัวตนของทั้งสองแล้ว จางหยูก็ไม่คิดจะปล่อยให้ไห่อู่เซิงทำสำเร็จ “ ข้าต้องหาทางบอกความจริงกับซุนซิงและซุนเมิ่งในเรื่องนี้ พาพวกเขาออกจากวิหารอวี๋ฮุ่นและโกลาหลนภา” จางหยู แสดงสีหน้าหนักใจออกมา
ซุนเมิ่งและซุนวูจะพาออกมาตอนไหนก็ได้ แต่การพาซุนซิงออกมานั้นต้องไปที่โกลาหลนภาอย่างเดียว
ไม่ว่าจะเพื่อตัวพวกนั้นรึเพื่อโกลาหล จางหยูก็ต้องเดินทางไปที่โกลาหลนภาและพาซุนซิง, ซุนเมิ่งและซุนวูออกมา
“ เจ้าสำนักจะไปจัดการกับไห่อู่เซิงรึ ?” เมื่อได้ยินคำพูดของจางหยู ซุนเหยียนก็ตาเป็นประกายขึ้นมา
เขาเพียงคนเดียวไม่อาจจะจัดการกับไห่อู่เซิงได้ แต่หากมีจางหยูคอยช่วย ไห่อู่เซิงต้องตายแน่
จางหยูมองไปที่ซุนเหยียนแล้วพูดขึ้น “ อย่าคิดว่าข้าจะจัดการกับไห่อู่เซิงได้ง่ายๆ”
“ เอ่อ…” ซุนเหยียนอึ้ง “ ท่านทำไม่ได้รึ ?”
“ เพราะเหตุผลพิเศษบางอย่าง ข้าจึงไม่อาจจะใช้พลังทั้งหมดที่มีได้ ข้าไม่อาจจะใช้พลัง 1 ใน 1,000 ออกมาได้ด้วยซ้ำ” จางหยูพูดขึ้น “ อย่างมากข้าก็ใช้พลังได้มากกว่าเจ้าเล็กน้อย”
ซุนเหยียนสลดไปทันที
แต่ไม่นานซุนเหยียนก็ดูคึกขึ้นมาอีกครั้ง “ แม้ว่าท่านไม่อาจจะใช้พลังทั้งหมดออกมาได้แต่การที่ท่านกับข้าร่วมมือกัน ข้าคิดว่าน่าจะจัดการกับไห่อู่เซิงได้” หลังจากที่บ่มเพาะมาหลายปี ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายต้องมากกว่าซุนเหยียนในอดีต แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดก็ไม่อาจจะรับมือกับการโจมตีของกึ่งจ้าวโกลาหลสองคนได้แน่
“ น่าเสียดาย ที่มีจิตที่แข็งแกร่งแค่ดวงเดียวที่ควบคุมร่างบรรพกาลได้” จางหยูเสียดายขึ้นมา เขาอยากสร้างจ้าวบรรพกาลขึ้นมาอีก เขาอยากสร้างจ้าวบรรพกาลจำนวนมากขึ้นมา แต่ในสำนักนั้น คนที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้มีแค่เขาเท่านั้น
ไม่สิ มันน่าจะนับเสี่ยวเสียเข้าไปด้วย
แต่เสี่ยวเสียก็ถือว่าเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว ความแข็งแกร่งของมันทัดเทียมกับกึ่งจ้าวโกลาหลได้
จางหยูคิดหาวิธีในการสร้างร่างแยกขึ้นมาเพิ่ม ในโลกตันเถียนนี้การสร้างร่างบรรพกาลขึ้นมานั้นจะทำให้เขาเหนื่อยอย่างมาก ผลลัพธ์ล้มเหลวมาหลายครั้ง เขาถึงกับแบ่งจิตออกไป แต่ก็ไม่อาจจะควบคุมร่างบรรพกาลได้ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปคือจิตของเขาไม่แข็งแกร่งเพียงพอ หากไม่ใช่จิตที่สมบูรณ์ของเขาก็ไม่สามารถควบคุมร่างบรรพกาลได้ ฉะนั้นแค่เศษเสี้ยวจิตก็ไม่อาจจะทำได้
แม้ว่าตอนนี้เขาจะก้าวขึ้นมาขอบเขตกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว แต่แค่เศษเสี้ยวจิตนั้นก็ไม่อาจจะควบคุมร่างบรรพกาลได้
แน่นอนร่างแยกของเขาพึ่งพาจิตผู้สร้างที่ไร้เทียมทานได้ แต่พวกนั้นจะอยู่ได้แค่ในบรรพกาล การออกจากโลกตันเถียนนั้นจะไม่ได้มีจิตผู้สร้างที่แข็งแกร่งดังเดิม การที่มีร่างแยกแบบนั้นจะเป็นประโยชน์อะไร ?
“ แต่บรรพกาลที่โลกผนึกเทพยังขาดจ้าวบรรพกาล บางทีเราอาจจะพิจารณาเสี่ยวเสีย” จางหยูคิด “ จิตของเสี่ยวเสียนั้นแข็งแกร่งพอที่จะควบคุมร่างบรรพกาลได้”
เมื่อคิดได้แบบนั้นจางหยูก็ได้ติดต่อหาจางลู่ทันที “ เจ้าไปที่สุสานสวรรค์และนำเสี่ยวเสียกลับมา”
หากเสี่ยวเสียกลายเป็นจ้าวบรรพกาลได้งั้นปราณสุสานก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไปแล้ว
“ ข้าเพิ่งกลับมาจะให้ข้าไปอีกแล้วรึ ?” จางลู่สลด เขาต้องเดินทางไปยังสุสานอีกครั้ง
หลังจากที่จางลู่ออกเดินทาง จางหยูก็มองไปยังหุ่นเชิดนับแสนก่อนจะถามกับซุนเหยียนว่า “ เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้มีใครพอที่จะควบคุมร่างบรรพกาลได้รึไม่ ?” แม้ว่าโลกตันเถียนในตอนนี้จะมีแค่บรรพกาลของโลกบรรพกาลและโลกผนึกเทพ แต่ด้วยการเติบโตของโลกต่างๆแล้ว อีกไม่นานมันก็จะพัฒนาเป็นโลกขั้นที่ 9 และให้กำเนิดบรรพกาลขึ้นมาจำนวนมาก บรรพกาลเหล่านั้นต้องการจ้าวบรรพกาล
ซุนเหยียนเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะส่ายหน้า “ มันมากเกินไป” เขาได้ตอบกลับ “ นี่ไม่พูดถึงพวกที่ต่ำกว่าขั้นที่ 9 นะ แม้แต่ราชาก็ยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ”
หากฝืนทดลองแล้ว บางทีอาจจะทำให้จิตพวกนั้นถูกลบไปโดยร่างบรรพกาลที่แข็งแกร่ง “ จิตที่แข็งแกร่งเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของคน “ ซุนเหยียนอธิบาย “ จิตของราชานั้นแกร่งกว่าผู้ควบคุมทั่วไป แต่ยังห่างจากกึ่งจ้าวโกลาหล นอกซะจากว่าจะเป็นร่างแยกของจ้าวโกลาหลรึการเกิดใหม่ของกึ่งจ้าวโกลาหลเอง ไม่งั้นจิตก็ไม่อาจจะเข้ากับร่างบรรพกาลได้”
แม้ว่าจางหยูจะเสียดายแต่เขาก็คาดไว้แล้ว เขาจึงไม่ได้ผิดหวังอะไร
“ ต้องเป็นร่างแยกจ้าวโกลาหลรึกึ่งจ้าวโกลาหลเท่านั้นรึ ?” จางหยูถามขึ้นมา “ ไม่มีความเป็นไปได้อื่นเลยรึ ?”
ซุนเหยียนคิดสักพักแล้วตอบกลับ “ มีข้อยกเว้นอยู่”
“ ข้อยกเว้นอะไรกัน ?” จางหยูถามขึ้นมา
“ สายเลือด !” ซุนเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วตอบกลับ “ สายเลือดของจ้าวโกลาหล หรือจะบอกว่าทายาทของจ้าวโกลาหล หากคนเหล่านั้นมีระดับการบ่มเพาะที่สูงในระดับหนึ่ง ก็สามารถควบคุมร่างบรรพกาลได้ เพราะจิตของพวกเขาได้รับผลกระทบจากสายเลือด มันจึงแกร่งกว่าผู้ควบุคมคนอื่นในขอบเขตเดียวกัน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นจางหยูก็ไม่ได้ผิดหวัง “ สายเลือดนี้ต้องเป็นสายเลือดของจ้าวโกลาหลเท่านั้นรึ ? แล้วข้าจะไปหาจากที่ไหนกัน ?”
คำพูดนี้ไม่ได้ทำให้อะไรต่างจากเดิมเลย
“ ไม่ ” ซุนเหยียนพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ในโกลาหลแห่งนี้ ยังมีทายาทของจ้าวโกลาหลอยู่ ! ข้าเคยเห็นพวกเขามาแล้ว !”
จางหยูแปลกใจ “ จริงรึ ?” ซุนเหยียนยังไม่ทันได้ตอบกลับ จางหยูก็พูดขึ้นต่อ “ ช้าก่อน เจ้าบอกว่า…พวกเขา ? หมายความว่ามีทายาทจ้าวโกลาหลมากกว่าหนึ่งคนรึ ?”
ซุนเหยียนพยักหน้า “ อันที่จริงไม่ใช่แค่ข้า แต่ไห่อู่เซิงก็น่าจะรู้เรื่องนี้ เพราะเท่าที่ข้าจำได้ ข้าเหมือนจะเห็นทายาทของจ้าวโกลาหลเข้าร่วมกับโกลาหลนภาแล้ว ข้าสงสัยว่าไห่อู่เซิงตั้งใจจะกลืนกินสายเลือดของเขาเพื่อพัฒนาโกลาหลนภาขึ้นมา โอกาสสำเร็จมันจะสูงยิ่งขึ้น”
“ พวกเขาเป็นใครกัน ?” จางหยูตาเป็นประกาย
ทายาทจ้าวโกลาหลยังมีตัวตนอยู่ นี่คือเรื่องที่ทำให้จางหยูแปลกใจ
ซุนเหยียนพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ “ ตอนนี้ข้ารู้ว่าทายาทจ้าวโกลาหลมีทั้งหมดสองคน คนหนึ่งชื่อซุนซิง อีกคนชื่อซุนเมิ่ง สองคนนี้ต่างก็มีสายเลือดจ้าวโกลาหลอยู่ในตัว”
จางหยูเบิกตากว้าง “ ซุนซิงกับซุนเมิ่งรึ ?”
เขาไม่คิดไม่ฝันว่าทั้งสองคนจะเป็นทายาทจ้าวโกลาหล พวกนี้กลับมีสายเลือดของจ้าวโกลาหลอยู่ในตัว
“ เจ้าสำนักรู้จักพวกเขาด้วยรึ ?” ซุนเหยียนแปลกใจ “ จริงสิ เจ้าสำนักเคยไปที่โกลาหลนภามาแล้ว การที่ท่านรู้จักกับซุนซิงจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ซุนเมิ่งนั้นเป็นผู้หญิง แม้ว่าข้าจะมอบทักษะสร้างร่างเทียมให้กับนาง แต่ก็เพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน นางไม่น่าจะขึ้นเป็นราชาได้ไม่ใช่รึ ?”
“ แน่นอนว่าข้ารู้จัก” จางหยูแสดงสีหน้าแปลกใจนิดๆออกมา “ พูดไปแล้ว ซุนเมิ่งก็ถือว่าเป็นศิษย์ของข้าอยู่กึ่งหนึ่ง เจ้าจะบอกว่าข้าไม่รู้จักนางรึ ?”
“ ศิษย์กึ่งหนึ่ง ?” เป็นตาซุนเหยียนบ้างที่ต้องแปลกใจ
“ ที่ข้าบอกได้คือมันเป็นเรื่องบังเอิญ” จางหยูพูดขึ้น “ ใครจะไปคิดว่าคนที่ข้ารับเป็นศิษย์จะเป็นทายาทของจ้าวโกลาหล…ไม่สิ พูดตามตรงแล้วนางก็ไม่ใช่ศิษย์ข้า”
สุดท้ายจางหยูก็เข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆ เมื่อเข้าไปในสุสานแล้ว หากไม่ตายไม่ก็โดนควบคุม แม้ว่าจะหนีรอดมาได้แต่ก็หนีความตายไม่พ้น มีแค่ซุนซิงกับซุนเมิ่งเท่านั้นที่รอดมาได้และยังสบายดีอยู่ ไม่ใช่แค่ไม่โดนปราณสุสานรุกล้ำเข้าตัว แต่ยังได้เรียนรู้ทักษะระดับสูงมาด้วย
มันไม่ใช่เพราะทั้งสองโชคดีกว่าคนอื่นแต่เป็นเพราะฐานะพิเศษของทั้งคู่
เพราะฐานะนี้ ซุนเหยียนจึงไม่ใช่แค่ไม่ทำร้ายทั้งสองแต่ยังส่งทักษะให้ด้วย ร่างกายของพวกนี้มีสายเลือดของจ้าวโกลาหล ซึ่งทำให้พวกนี้เข้าใจทักษะได้ง่ายขึ้น มันเพราะสายเลือดของพวกเขา
ความสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของทั้งสอง ในที่สุดก็ได้รับการเปิดเผย
เมื่อคิดถึงไห่อู่เซิงที่ดูแลวิหารอวี๋ฮุ่นและตระกูลซุน รวมไปถึงดึงซุนซิงและซุนเมิ่งเข้าร่วมโกลาหลนภา จางหยูก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ ไห่อู่เซิงคำนวณมาหมดแล้ว ! ไม่ใช่แค่ให้ลูกหลานจ้าวโกลาหลทำงานหนัก แต่ยังให้ดูแลวิหารแทนเขาด้วย อีกทั้งยังรับทั้งสองเข้าร่วมโกลาหลนภา ข้าเกรงว่าไห่อู่เซิงคงหมายตาสายเลือดของทั้งสองมานานแล้ว…”
ตอนนี้เมื่อรู้ตัวตนของทั้งสองแล้ว จางหยูก็ไม่คิดจะปล่อยให้ไห่อู่เซิงทำสำเร็จ “ ข้าต้องหาทางบอกความจริงกับซุนซิงและซุนเมิ่งในเรื่องนี้ พาพวกเขาออกจากวิหารอวี๋ฮุ่นและโกลาหลนภา” จางหยู แสดงสีหน้าหนักใจออกมา
ซุนเมิ่งและซุนวูจะพาออกมาตอนไหนก็ได้ แต่การพาซุนซิงออกมานั้นต้องไปที่โกลาหลนภาอย่างเดียว
ไม่ว่าจะเพื่อตัวพวกนั้นรึเพื่อโกลาหล จางหยูก็ต้องเดินทางไปที่โกลาหลนภาและพาซุนซิง, ซุนเมิ่งและซุนวูออกมา
“ เจ้าสำนักจะไปจัดการกับไห่อู่เซิงรึ ?” เมื่อได้ยินคำพูดของจางหยู ซุนเหยียนก็ตาเป็นประกายขึ้นมา
เขาเพียงคนเดียวไม่อาจจะจัดการกับไห่อู่เซิงได้ แต่หากมีจางหยูคอยช่วย ไห่อู่เซิงต้องตายแน่
จางหยูมองไปที่ซุนเหยียนแล้วพูดขึ้น “ อย่าคิดว่าข้าจะจัดการกับไห่อู่เซิงได้ง่ายๆ”
“ เอ่อ…” ซุนเหยียนอึ้ง “ ท่านทำไม่ได้รึ ?”
“ เพราะเหตุผลพิเศษบางอย่าง ข้าจึงไม่อาจจะใช้พลังทั้งหมดที่มีได้ ข้าไม่อาจจะใช้พลัง 1 ใน 1,000 ออกมาได้ด้วยซ้ำ” จางหยูพูดขึ้น “ อย่างมากข้าก็ใช้พลังได้มากกว่าเจ้าเล็กน้อย”
ซุนเหยียนสลดไปทันที
แต่ไม่นานซุนเหยียนก็ดูคึกขึ้นมาอีกครั้ง “ แม้ว่าท่านไม่อาจจะใช้พลังทั้งหมดออกมาได้แต่การที่ท่านกับข้าร่วมมือกัน ข้าคิดว่าน่าจะจัดการกับไห่อู่เซิงได้” หลังจากที่บ่มเพาะมาหลายปี ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายต้องมากกว่าซุนเหยียนในอดีต แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดก็ไม่อาจจะรับมือกับการโจมตีของกึ่งจ้าวโกลาหลสองคนได้แน่