ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1820 : บทสนทนาของผู้หญิง
ผลของการบรรยายครั้งที่สองนี้ไม่คิดเลยว่าจะด้อยกว่าครั้งแรกอย่างมาก แม้ว่าจะส่งผลดีอยู่ แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนที่ทะลวงผ่านไปได้
ความเข้าใจของซุนวูพัฒนาขึ้นมาแต่ก็แค่ทัดเทียมกับซังหนานเทียนก่อนหน้านี้เท่านั้น มันยังห่างจากระดับราชาอยู่บ้าง
ในทางกลับกันแล้วซุนเมิ่งกลับก้าวข้ามขีดจำกัดของราชาและเข้าสู่ขอบเขตการสร้างไร้ขีดจำกัด
นี่คือคนที่ก้าวข้ามราชาได้เป็นคนที่สี่ของสำนักคังเฉียง !
จางหยู, ซุนเหยียน, เสี่ยวเสียและซุนเมิ่ง!
ในหมู่พวกนี้ จางหยู, ซุนเหยียนและเสี่ยวเสียได้ขึ้นเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว ส่วนซุนเมิ่งนั้นเพียงพอจะผ่านเกณฑ์ของกึ่งจ้าวโกลาหลได้ แม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่ได้เป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแต่ความแข็งแกร่งของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากึ่งจ้าวโกลาหลเลย
“ ซุนวูยังไม่ทะลวงผ่าน แต่ซุนเมิ่งกลับทะลวงผ่านได้” จางหยูไม่รู้ว่าจะหัวเราะรึร้องไห้ดี เขาเล็งเป้าหมายไปที่ซุนวู แต่ซุนเมิ่งกลับทะลวงผ่านแทน แต่จางหยูก็ไม่ได้ผิดหวัง มันเท่ากับพัฒนาความแข็งแกร่งของสำนักคังเฉียง
สำหรับพวกราชาฝ่ายคุมกฎแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะทะลวงผ่านได้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะขึ้นมาถึงขอบเขตการสร้างที่ไร้จำกัด
ซุนเมิ่งทะลวงผ่านได้รวดเร็วแบบนี้นี่คือเรื่องที่คาดไม่ถึง มันน่าจะเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์และสายเลือดของเธอ
จางหยูมองไปที่ซุนวู เขาไม่ว่าทำไมทั้งๆซุนเมิ่งและซุนวูต่างก็เป็นทายาทของจ้าวโกลาหล ทั้งสองต่างก็มีสายเลือดของเขาอยู่ในตัว แต่ทำไมซุนวูถึงด้อยกว่าซุนเมิ่งมากขนาดนี้? ในเมื่อทั้งสองเป็นพี่น้องกัน งั้นอายุก็ไม่น่าจะต่างกันมากไม่ใช่รึ ?
“ ดูเหมือนว่ายังมีงานที่ต้องทำให้เสร็จอยู่ !” จางหยูมองไปที่ซุนวูและครุ่นคิด “ ข้าไม่เชื่อว่าหากข้าบรรยายทุกวัน เขาจะยังอยู่ระดับพันเท่าไปตลอดชีวิต !”
จางหยูเป็นคนแน่วแน่ เขายอมทุ่มทุกอย่างเพื่อให้ซุนวูขึ้นเป็นราชา
ซุนวูค่อยๆลืมตาขึ้นมา เขารับรู้ได้ถึงสายตาของจางหยู และอดไม่ได้ที่จะมองจางหยูด้วยความสงสัย แต่จางหยูได้ละสายตากลับไปจนซุนวูไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ
หลังจากที่บรรยายสองครั้งติด จางหยูคงไม่บรรยายอีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลาอันสั้นนี้
เมื่อพวกนี้ทำความเข้าใจการสร้างได้มากพอจึงจะดึงผลของการบรรยายออกมาได้สูงสุด
สรุปคืออาจารย์และศิษย์ในสำนักนั้นยังไม่อาจจะเข้าใจพลังทั้งหมดได้ เหล่าราชาเองก็พัฒนามาถึงขีดสุดแล้ว การจะพัฒนาต่อคงเป็นเรื่องยาก
“ สิ้นสุดการบรรยายครั้งที่สอง การบรรยายครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในอีกร้อยปี ” จางหยูมองไปรอบๆแล้วพูดขึ้นมา “ ต่อไปข้าจะเล่าเรื่องอีกโลก คนที่สนใจก็อยู่ต่อ”
ทุกคนยังไม่ได้สติกลับมา แม้ว่าการบรรยายครั้งที่สองจะไม่ได้น่าทึ่งเท่ากับการบรรยายครั้งแรก แต่สำหรับทุกคนแล้วมันก็ส่งผลที่น่าเหลือเชื่อ หากฟังการบรรยายอีก 2-3 ครั้ง บางทีพวกเขาอาจจะทะลวงผ่านได้ แต่โชคร้ายเมื่อจางหยูตัดสินใจแล้วก็ไม่มีใครเปลี่ยนใจได้
หลังจากที่ฟังการบรรยายจบ หลายคนก็ได้แยกย้ายออกไป พวกเขาจะใช้เวลานี้ในการปรับตัว พวกคนที่อยู่ต่อก็มีแค่เย่ฟานและไม่กี่คนเท่านั้น
ซุนเมิ่งและหงอีนั้นไม่ได้กลับไป ทั้งสองแอบมองหน้ากันโดยไม่มีใครคิดยอมใคร “ ท่านพี่ ข้าขอตัวก่อน” ซุนวูตื่นเต้นนิดๆ ระดับการบ่มเพาะของเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก แม้ว่าจะทะลวงผ่านไม่ได้แต่ก็ทำให้เขาตื่นเต้น ถ้าไม่ได้รับรู้ด้วยตัวเองงั้นเขาคงไม่เชื่อว่าแค่ฟังการบรรยายก็ทำให้ความแข็งแกร่งก้าวกระโดดขึ้นมาแบบนี้
ซุนเมิ่งมองไปที่หงอี เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะกลับไป นางก็ได้บอกกับซุนวู “ เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะรอฟังเรื่องเล่าจากอาจารย์”
ซุนวูอยากบอกความก้าวหน้าของเขาให้ซุนเมิ่งฟัง แต่เมื่อเห็นว่าซุนเมิ่งไม่คิดกลับไปด้วย เขาก็ได้แต่ต้องเดินออกไป
ไม่นานก็เหลือคนอยู่ที่นั่นแค่ 20 คน คนที่เหลือไม่ได้สนใจเรื่องเล่าของจางหยูมากนัก พวกเขากังวลเรื่องการบ่มเพาะของตัวเองซะมากกว่า
“ ทำไมพี่ซุนเมิ่งไม่ไป ” เสียงของหงอีดังขึ้นมาในหูซุนเมิ่ง
เมื่อหันกลับมาก็พบว่าหงอีมองตรงไปที่จางหยูและแอบมองมาที่นาง
ซุนเมิ่งพูดขึ้น “ ข้าอยากฟังอาจารย์เล่าเรื่อง เจ้าล่ะ ทำไมไม่กลับไป ?”
หงอีพูดขึ้น “ ในฐานะของน้องสาว พี่ซุนเมิ่งเข้าข่ายสำนวนที่ว่าเจตนาของคนเมาไม่ได้อยู่ที่เหล้า…”
“ เจ้าพูดถูก ” ซุนเมิ่งยอมรับง่ายๆ “ ข้าชอบอาจารย์ ข้าอยากเห็นอาจารย์ไปนานๆ ”
คำตอบที่เรียบง่ายแต่กลับทำให้หงอีชะงัก
“ พี่ซุนเมิ่ง เจ้าไม่คิดรึว่าเจ้ากับเจ้าสำนักไม่เหมาะสมกัน ?” หงอีพูดขึ้น “ ได้ยินมาว่าเจ้าเคยเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักด้วย…”
“ ข้าไม่คู่ควรกับอาจารย์ งั้นเจ้าคู่ควรรึ ?” ซุนเมิ่งพูดขึ้น “ยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่เหมือนเจ้า ข้าชอบอาจารย์ก็จริง แต่ไม่ได้บังคับใจเขา ตราบใดที่ข้าได้เห็นเขาทุกวัน ตราบใดที่อาจารย์มีความสุข แม้ว่าอาจารย์จะเลือกอยู่กับคนอื่นแต่ข้าก็จะอวยพรให้กับอาจารย์” เมื่อได้ยินคำพูดของซุนเมิ่ง ทำให้หงอีก็รู้สึกเครียดขึ้นกว่าเก่า
ซุนเมิ่งคิ้วขมวด “ ข้าขอเตือนเจ้าก่อน การไล่ตามของเจ้า ข้ามองข้ามได้แต่อย่าคิดเล่นไม่ซื่อ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
หงอีพูดขึ้น “ ทำไมเจ้าถึงอคติกับข้านัก ? เราต่างก็ชอบเจ้าสำนัก เราต่างก็ต้องการอยู่กับเขา ทำไมเราไม่อยู่กับเจ้าสำนักด้วยกันเลย ?”
“ ถึงจะมีหลายคนอยู่เคียงข้าง แต่ก็มีรักแท้ได้แค่คนเดียว” ซุนเมิ่งมองไปที่หงอี “ คนแข็งแกร่งมักจะเป็นที่ชื่นชอบของเพศตรงข้าม พวกเขามักจะมีภรรยา 3-4 คน บางคนอาจจะมีเป็นพันคน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะมีบางคนที่เป็นดั่งแม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย…ข้าจะไม่หักหลังความรู้สึกของตัวเอง หากอาจารย์อยากจะอยู่กับเจ้า ข้าก็จะอวยพรให้ ”
หงอียังไม่ทันได้เปิดปากพูด ซุนเมิ่งก็พูดขึ้นต่อ “ เรื่องนี้จบแล้ว เราไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้อีก ”
หงอีอ้าปากค้าง สุดท้ายนางก็สลัดความคิดที่จะเกลี้ยกล่อมซุนเมิ่งทิ้ง นางมองไปที่จางหยูด้วยสายตาหลงใหลและสงสัย “ คนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้จะเป็นของคนคนเดียวได้รึ ?”
หงอีสูดหายใจเข้าลึกๆ หากจางหยูเป็นของใคร คนนั้นก็คงต้องเป็นนาง
….
จางหยูไม่รู้ว่าซุนเมิ่งและหงอีพูดคุยอะไรกัน เขายังคงเล่าเรื่องต่อไป
“ เรื่องที่จะเล่าในวันนี้เกี่ยวข้องกับโลกบังสวรรค์และโลกสมบูรณ์แบบ มันก็เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างโลกบังสวรรค์และโลกสมบูรณ์”
“ เรื่องนี้…ข้าจะเรียกมันว่าซากศักดิ์สิทธิ์” เรื่องที่จางหยูจะพูดในวันนี้คือซากศักดิ์สิทธิ์ ส่วนพรุ่งนี้เขาจะพูดถึงราชาลึกลับ วันต่อไปก็จะเป็นเรื่องราชันย์แห่งใต้หล้า โลกของเรื่องเหล่านี้อาจจะเป็นโลกขั้นที่ 7หรือ8 หลังจากนั้นก็ค่อยคิดอีกทีว่าจะสร้างโลกระดับต่ำกว่านี้เพิ่มดีไหม แน่นอนว่าหากโชคดีก็อาจจะมีโลกขั้นที่ 9 ที่เกิดจากโลกเหล่านี้
วันนี้มีแค่ 20 คนที่คอยฟังเรื่องของเขา แต่จางหยูก็ไม่ได้กังวล เพราะคน 20 คนนี้ต่างก็เป็นผู้ควบคุมขั้นที่ 9 รวมไปถึงซุนเมิ่งที่เพิ่งขึ้นมาในระดับขอบเขตการสร้างไร้จำกัด เขาไม่กังวลว่าโลกจะกำเนิดขึ้นมาไม่ได้
พลังของทักษะหลอกลวงได้แผ่ออกไปพร้อมกับเสียงของจางหยูที่ดังขึ้น
ตอนที่เล่าจบก็มีโลกใหม่ก่อตัวขึ้นมาในโลกตันเถียน !
โลกซากศักดิ์สิทธิ์…โลกนี้เป็นโลกขั้น 8 !
หากเทียบกับโลกสมบูรณ์แล้ว โลกนี้แกร่งกว่าและใกล้เคียงกับโลกขั้น 9 !
หลังจากที่เล่าจบ จางหยูก็ลุกขึ้น “ เรื่องซากศักดิ์สิทธิ์จบแล้ว ข้าจะทำการย้อนเวลาและดึงโลกนี้กลับมา คนที่สนใจสามารถไปที่โลกบังสวรรค์เพื่อเข้าไปในรูหนอนที่นั่นและไปยังโลกซากศักดิ์สิทธิ์ ”
เมื่อพูดจบ จางหยูก็หายตัวไปทันที
ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่หงอี ทุกคนรู้สึกว่ามีแค่หงอีที่ทำให้จางหยูรีบร้อนจากไปเช่นนี้
“ พวกเจ้ามองข้าทำไม ?” หงอีถามขึ้นมา “ ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ”
นางหันไปมองทางที่จางหยูจากไปด้วยสายตาขมขื่น นางพูดในใจ “ ท่านไม่ชอบข้าจริงๆรึ? ท่านไม่แม้แต่จะมองข้าด้วยซ้ำ…”
จางหยูไม่ได้กลับไปที่ลาน เขาไปที่โลกผนึกเทพเพื่อไปหาซุนวู
“ เจ้าอยากให้ข้าบรรยายเป็นการส่วนตัวรึไม่ ?” จางหยูถามขึ้นมา
“ ดีเลย ” ซุนวูรีบตอบกลับ “ เจ้าสำนักยอมบรรยายให้ข้าเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ นับว่าเป็นเกียรติของข้าจริงๆ..” เมื่อพูดถึงจุดนี้ ซุนวูก็เงียบไปก่อนจะพูดขึ้น “ ไม่ใช่ว่าท่านชอบพี่ข้าจึงมาบรรยายให้ข้าด้วยตัวเองหรอกนะ ? เอาจริงๆแล้วท่านเอาใจพี่ข้าอยู่รึเปล่า?”
จางหยูกรอกตาใส่ “ เอาความคิดไร้สาระนี้มาจากไหนกัน บอกมาว่าจะฟังรึไม่ฟัง !”
“ ฟัง !” ซุนวูรู้สึกว่าเขาห่างจากราชาแค่ก้าวเดียว หากเทียบกับซังหนานเทียนในอดีตแล้วก็ต่างกันไม่มาก “ หากเจ้าสำนักอยากเอาใจพี่ข้าจริงๆ อันที่จริงไม่ต้องยุ่งยากแบบนี้ก็ได้ ตราบใดที่เจ้าสำนักเอ่ยปากพูด พี่ข้าก็ยอมไปอยู่กับท่านแล้ว “
“ ซุนวู ! ” เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา มันคือเสียงของผู้หญิง
ทันใดนั้นซุนวูก็ขนลุกขึ้นมา เมื่อหันกลับไปก็พบกับสีหน้าถมึงทึง “ ท่านพี่ ข้าแค่พูดไร้สาระ ไม่ ฟังข้าอธิบายก่อน …”
ปั๊ก !
ซุนวูโดนตบจนไปกองกับพื้นกว่าครึ่งวัน ซุนเมิ่งมองไปที่จางหยูด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ อาจารย์ ท่านอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของเขาเลย…” นางยังไม่มีความกล้าพอที่จะบอกความรู้สึกของนาง
****
เจตนาของคนเมาไม่ได้อยู่ที่เหล้า หมายถึง มีเจตนาแอบแฝง
แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย ใช้เปรียบเปรยประมาณว่า ต่อให้มีคนในโลกนี้มากมาย แต่ต้องการเพียงเจ้าคนเดียว
ความเข้าใจของซุนวูพัฒนาขึ้นมาแต่ก็แค่ทัดเทียมกับซังหนานเทียนก่อนหน้านี้เท่านั้น มันยังห่างจากระดับราชาอยู่บ้าง
ในทางกลับกันแล้วซุนเมิ่งกลับก้าวข้ามขีดจำกัดของราชาและเข้าสู่ขอบเขตการสร้างไร้ขีดจำกัด
นี่คือคนที่ก้าวข้ามราชาได้เป็นคนที่สี่ของสำนักคังเฉียง !
จางหยู, ซุนเหยียน, เสี่ยวเสียและซุนเมิ่ง!
ในหมู่พวกนี้ จางหยู, ซุนเหยียนและเสี่ยวเสียได้ขึ้นเป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแล้ว ส่วนซุนเมิ่งนั้นเพียงพอจะผ่านเกณฑ์ของกึ่งจ้าวโกลาหลได้ แม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่ได้เป็นกึ่งจ้าวโกลาหลแต่ความแข็งแกร่งของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากึ่งจ้าวโกลาหลเลย
“ ซุนวูยังไม่ทะลวงผ่าน แต่ซุนเมิ่งกลับทะลวงผ่านได้” จางหยูไม่รู้ว่าจะหัวเราะรึร้องไห้ดี เขาเล็งเป้าหมายไปที่ซุนวู แต่ซุนเมิ่งกลับทะลวงผ่านแทน แต่จางหยูก็ไม่ได้ผิดหวัง มันเท่ากับพัฒนาความแข็งแกร่งของสำนักคังเฉียง
สำหรับพวกราชาฝ่ายคุมกฎแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะทะลวงผ่านได้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะขึ้นมาถึงขอบเขตการสร้างที่ไร้จำกัด
ซุนเมิ่งทะลวงผ่านได้รวดเร็วแบบนี้นี่คือเรื่องที่คาดไม่ถึง มันน่าจะเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์และสายเลือดของเธอ
จางหยูมองไปที่ซุนวู เขาไม่ว่าทำไมทั้งๆซุนเมิ่งและซุนวูต่างก็เป็นทายาทของจ้าวโกลาหล ทั้งสองต่างก็มีสายเลือดของเขาอยู่ในตัว แต่ทำไมซุนวูถึงด้อยกว่าซุนเมิ่งมากขนาดนี้? ในเมื่อทั้งสองเป็นพี่น้องกัน งั้นอายุก็ไม่น่าจะต่างกันมากไม่ใช่รึ ?
“ ดูเหมือนว่ายังมีงานที่ต้องทำให้เสร็จอยู่ !” จางหยูมองไปที่ซุนวูและครุ่นคิด “ ข้าไม่เชื่อว่าหากข้าบรรยายทุกวัน เขาจะยังอยู่ระดับพันเท่าไปตลอดชีวิต !”
จางหยูเป็นคนแน่วแน่ เขายอมทุ่มทุกอย่างเพื่อให้ซุนวูขึ้นเป็นราชา
ซุนวูค่อยๆลืมตาขึ้นมา เขารับรู้ได้ถึงสายตาของจางหยู และอดไม่ได้ที่จะมองจางหยูด้วยความสงสัย แต่จางหยูได้ละสายตากลับไปจนซุนวูไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ
หลังจากที่บรรยายสองครั้งติด จางหยูคงไม่บรรยายอีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลาอันสั้นนี้
เมื่อพวกนี้ทำความเข้าใจการสร้างได้มากพอจึงจะดึงผลของการบรรยายออกมาได้สูงสุด
สรุปคืออาจารย์และศิษย์ในสำนักนั้นยังไม่อาจจะเข้าใจพลังทั้งหมดได้ เหล่าราชาเองก็พัฒนามาถึงขีดสุดแล้ว การจะพัฒนาต่อคงเป็นเรื่องยาก
“ สิ้นสุดการบรรยายครั้งที่สอง การบรรยายครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในอีกร้อยปี ” จางหยูมองไปรอบๆแล้วพูดขึ้นมา “ ต่อไปข้าจะเล่าเรื่องอีกโลก คนที่สนใจก็อยู่ต่อ”
ทุกคนยังไม่ได้สติกลับมา แม้ว่าการบรรยายครั้งที่สองจะไม่ได้น่าทึ่งเท่ากับการบรรยายครั้งแรก แต่สำหรับทุกคนแล้วมันก็ส่งผลที่น่าเหลือเชื่อ หากฟังการบรรยายอีก 2-3 ครั้ง บางทีพวกเขาอาจจะทะลวงผ่านได้ แต่โชคร้ายเมื่อจางหยูตัดสินใจแล้วก็ไม่มีใครเปลี่ยนใจได้
หลังจากที่ฟังการบรรยายจบ หลายคนก็ได้แยกย้ายออกไป พวกเขาจะใช้เวลานี้ในการปรับตัว พวกคนที่อยู่ต่อก็มีแค่เย่ฟานและไม่กี่คนเท่านั้น
ซุนเมิ่งและหงอีนั้นไม่ได้กลับไป ทั้งสองแอบมองหน้ากันโดยไม่มีใครคิดยอมใคร “ ท่านพี่ ข้าขอตัวก่อน” ซุนวูตื่นเต้นนิดๆ ระดับการบ่มเพาะของเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างมาก แม้ว่าจะทะลวงผ่านไม่ได้แต่ก็ทำให้เขาตื่นเต้น ถ้าไม่ได้รับรู้ด้วยตัวเองงั้นเขาคงไม่เชื่อว่าแค่ฟังการบรรยายก็ทำให้ความแข็งแกร่งก้าวกระโดดขึ้นมาแบบนี้
ซุนเมิ่งมองไปที่หงอี เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะกลับไป นางก็ได้บอกกับซุนวู “ เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะรอฟังเรื่องเล่าจากอาจารย์”
ซุนวูอยากบอกความก้าวหน้าของเขาให้ซุนเมิ่งฟัง แต่เมื่อเห็นว่าซุนเมิ่งไม่คิดกลับไปด้วย เขาก็ได้แต่ต้องเดินออกไป
ไม่นานก็เหลือคนอยู่ที่นั่นแค่ 20 คน คนที่เหลือไม่ได้สนใจเรื่องเล่าของจางหยูมากนัก พวกเขากังวลเรื่องการบ่มเพาะของตัวเองซะมากกว่า
“ ทำไมพี่ซุนเมิ่งไม่ไป ” เสียงของหงอีดังขึ้นมาในหูซุนเมิ่ง
เมื่อหันกลับมาก็พบว่าหงอีมองตรงไปที่จางหยูและแอบมองมาที่นาง
ซุนเมิ่งพูดขึ้น “ ข้าอยากฟังอาจารย์เล่าเรื่อง เจ้าล่ะ ทำไมไม่กลับไป ?”
หงอีพูดขึ้น “ ในฐานะของน้องสาว พี่ซุนเมิ่งเข้าข่ายสำนวนที่ว่าเจตนาของคนเมาไม่ได้อยู่ที่เหล้า…”
“ เจ้าพูดถูก ” ซุนเมิ่งยอมรับง่ายๆ “ ข้าชอบอาจารย์ ข้าอยากเห็นอาจารย์ไปนานๆ ”
คำตอบที่เรียบง่ายแต่กลับทำให้หงอีชะงัก
“ พี่ซุนเมิ่ง เจ้าไม่คิดรึว่าเจ้ากับเจ้าสำนักไม่เหมาะสมกัน ?” หงอีพูดขึ้น “ ได้ยินมาว่าเจ้าเคยเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักด้วย…”
“ ข้าไม่คู่ควรกับอาจารย์ งั้นเจ้าคู่ควรรึ ?” ซุนเมิ่งพูดขึ้น “ยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่เหมือนเจ้า ข้าชอบอาจารย์ก็จริง แต่ไม่ได้บังคับใจเขา ตราบใดที่ข้าได้เห็นเขาทุกวัน ตราบใดที่อาจารย์มีความสุข แม้ว่าอาจารย์จะเลือกอยู่กับคนอื่นแต่ข้าก็จะอวยพรให้กับอาจารย์” เมื่อได้ยินคำพูดของซุนเมิ่ง ทำให้หงอีก็รู้สึกเครียดขึ้นกว่าเก่า
ซุนเมิ่งคิ้วขมวด “ ข้าขอเตือนเจ้าก่อน การไล่ตามของเจ้า ข้ามองข้ามได้แต่อย่าคิดเล่นไม่ซื่อ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
หงอีพูดขึ้น “ ทำไมเจ้าถึงอคติกับข้านัก ? เราต่างก็ชอบเจ้าสำนัก เราต่างก็ต้องการอยู่กับเขา ทำไมเราไม่อยู่กับเจ้าสำนักด้วยกันเลย ?”
“ ถึงจะมีหลายคนอยู่เคียงข้าง แต่ก็มีรักแท้ได้แค่คนเดียว” ซุนเมิ่งมองไปที่หงอี “ คนแข็งแกร่งมักจะเป็นที่ชื่นชอบของเพศตรงข้าม พวกเขามักจะมีภรรยา 3-4 คน บางคนอาจจะมีเป็นพันคน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะมีบางคนที่เป็นดั่งแม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย…ข้าจะไม่หักหลังความรู้สึกของตัวเอง หากอาจารย์อยากจะอยู่กับเจ้า ข้าก็จะอวยพรให้ ”
หงอียังไม่ทันได้เปิดปากพูด ซุนเมิ่งก็พูดขึ้นต่อ “ เรื่องนี้จบแล้ว เราไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้อีก ”
หงอีอ้าปากค้าง สุดท้ายนางก็สลัดความคิดที่จะเกลี้ยกล่อมซุนเมิ่งทิ้ง นางมองไปที่จางหยูด้วยสายตาหลงใหลและสงสัย “ คนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้จะเป็นของคนคนเดียวได้รึ ?”
หงอีสูดหายใจเข้าลึกๆ หากจางหยูเป็นของใคร คนนั้นก็คงต้องเป็นนาง
….
จางหยูไม่รู้ว่าซุนเมิ่งและหงอีพูดคุยอะไรกัน เขายังคงเล่าเรื่องต่อไป
“ เรื่องที่จะเล่าในวันนี้เกี่ยวข้องกับโลกบังสวรรค์และโลกสมบูรณ์แบบ มันก็เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างโลกบังสวรรค์และโลกสมบูรณ์”
“ เรื่องนี้…ข้าจะเรียกมันว่าซากศักดิ์สิทธิ์” เรื่องที่จางหยูจะพูดในวันนี้คือซากศักดิ์สิทธิ์ ส่วนพรุ่งนี้เขาจะพูดถึงราชาลึกลับ วันต่อไปก็จะเป็นเรื่องราชันย์แห่งใต้หล้า โลกของเรื่องเหล่านี้อาจจะเป็นโลกขั้นที่ 7หรือ8 หลังจากนั้นก็ค่อยคิดอีกทีว่าจะสร้างโลกระดับต่ำกว่านี้เพิ่มดีไหม แน่นอนว่าหากโชคดีก็อาจจะมีโลกขั้นที่ 9 ที่เกิดจากโลกเหล่านี้
วันนี้มีแค่ 20 คนที่คอยฟังเรื่องของเขา แต่จางหยูก็ไม่ได้กังวล เพราะคน 20 คนนี้ต่างก็เป็นผู้ควบคุมขั้นที่ 9 รวมไปถึงซุนเมิ่งที่เพิ่งขึ้นมาในระดับขอบเขตการสร้างไร้จำกัด เขาไม่กังวลว่าโลกจะกำเนิดขึ้นมาไม่ได้
พลังของทักษะหลอกลวงได้แผ่ออกไปพร้อมกับเสียงของจางหยูที่ดังขึ้น
ตอนที่เล่าจบก็มีโลกใหม่ก่อตัวขึ้นมาในโลกตันเถียน !
โลกซากศักดิ์สิทธิ์…โลกนี้เป็นโลกขั้น 8 !
หากเทียบกับโลกสมบูรณ์แล้ว โลกนี้แกร่งกว่าและใกล้เคียงกับโลกขั้น 9 !
หลังจากที่เล่าจบ จางหยูก็ลุกขึ้น “ เรื่องซากศักดิ์สิทธิ์จบแล้ว ข้าจะทำการย้อนเวลาและดึงโลกนี้กลับมา คนที่สนใจสามารถไปที่โลกบังสวรรค์เพื่อเข้าไปในรูหนอนที่นั่นและไปยังโลกซากศักดิ์สิทธิ์ ”
เมื่อพูดจบ จางหยูก็หายตัวไปทันที
ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่หงอี ทุกคนรู้สึกว่ามีแค่หงอีที่ทำให้จางหยูรีบร้อนจากไปเช่นนี้
“ พวกเจ้ามองข้าทำไม ?” หงอีถามขึ้นมา “ ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ”
นางหันไปมองทางที่จางหยูจากไปด้วยสายตาขมขื่น นางพูดในใจ “ ท่านไม่ชอบข้าจริงๆรึ? ท่านไม่แม้แต่จะมองข้าด้วยซ้ำ…”
จางหยูไม่ได้กลับไปที่ลาน เขาไปที่โลกผนึกเทพเพื่อไปหาซุนวู
“ เจ้าอยากให้ข้าบรรยายเป็นการส่วนตัวรึไม่ ?” จางหยูถามขึ้นมา
“ ดีเลย ” ซุนวูรีบตอบกลับ “ เจ้าสำนักยอมบรรยายให้ข้าเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ นับว่าเป็นเกียรติของข้าจริงๆ..” เมื่อพูดถึงจุดนี้ ซุนวูก็เงียบไปก่อนจะพูดขึ้น “ ไม่ใช่ว่าท่านชอบพี่ข้าจึงมาบรรยายให้ข้าด้วยตัวเองหรอกนะ ? เอาจริงๆแล้วท่านเอาใจพี่ข้าอยู่รึเปล่า?”
จางหยูกรอกตาใส่ “ เอาความคิดไร้สาระนี้มาจากไหนกัน บอกมาว่าจะฟังรึไม่ฟัง !”
“ ฟัง !” ซุนวูรู้สึกว่าเขาห่างจากราชาแค่ก้าวเดียว หากเทียบกับซังหนานเทียนในอดีตแล้วก็ต่างกันไม่มาก “ หากเจ้าสำนักอยากเอาใจพี่ข้าจริงๆ อันที่จริงไม่ต้องยุ่งยากแบบนี้ก็ได้ ตราบใดที่เจ้าสำนักเอ่ยปากพูด พี่ข้าก็ยอมไปอยู่กับท่านแล้ว “
“ ซุนวู ! ” เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา มันคือเสียงของผู้หญิง
ทันใดนั้นซุนวูก็ขนลุกขึ้นมา เมื่อหันกลับไปก็พบกับสีหน้าถมึงทึง “ ท่านพี่ ข้าแค่พูดไร้สาระ ไม่ ฟังข้าอธิบายก่อน …”
ปั๊ก !
ซุนวูโดนตบจนไปกองกับพื้นกว่าครึ่งวัน ซุนเมิ่งมองไปที่จางหยูด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ อาจารย์ ท่านอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของเขาเลย…” นางยังไม่มีความกล้าพอที่จะบอกความรู้สึกของนาง
****
เจตนาของคนเมาไม่ได้อยู่ที่เหล้า หมายถึง มีเจตนาแอบแฝง
แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย ใช้เปรียบเปรยประมาณว่า ต่อให้มีคนในโลกนี้มากมาย แต่ต้องการเพียงเจ้าคนเดียว