ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1841 : กำเนิดทะเลบรรพกาล
หลังจากที่ทดสอบดาบแล้ว จางหยูก็ได้กลับไปที่โลกป่า
ต้นไม้โกลาหลเองก็ได้กลับไปที่เขตหวงห้ามด้วยเช่นกันเพื่อสร้างลูกปัดต่อ
เมื่อสร้างดาบขึ้นมาได้สำเร็จ จางหยูก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เขาตั้งใจจะสร้างสมบัติชิ้นต่อไปขึ้นมาต่อ ไม่ว่าจะเพื่อใช้งานเองหรือยกให้ศิษย์และอาจารย์ ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ยังใช้มันเพื่อแลกลูกปัดได้ด้วย
หลังจากที่คิดสักพักแล้ว จางหยูก็ได้เดินทางไปยังบรรพกาลของโลกบรรพกาล ด้วยรากฐานของที่นี่ เขาสามารถสร้างแก่นโลกจำลองขึ้นมา คราวนี้ตั้งใจจะใช้มันเป็นสมบัติป้องกัน
หลังจากที่เปลี่ยนรูปร่างเสร็จ จางหยูก็ยัดเกราะที่เพิ่งสร้างเสร็จเข้าไปในตันเถียน จากนั้นก็สังเกตุการเปลี่ยนแปลงของเกราะ
ตอนที่จางหยูเอาเกราะเข้าไปในตันเถียน แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะน่าทึ่งแต่ก็ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงยังด้อยกว่าของดาบ
ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อเอาเกราะเข้าไปในตันเถียน ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของดาบก็ลดลงไปอย่างมากเช่นกัน
จางหยูรับรู้ถึงความเร็วในการเติบโตของดาบและเกราะว่าเกือบจะเท่ากัน ซึ่งมันช้ากว่าการเติบโตของดาบก่อนหน้านี้เป็นสองเท่า
“ หมายความว่าความเร็วในการสร้างคงที่แล้วรึ ? เมื่อเพิ่มเกราะเข้าไปอีกชิ้น ก็ทำให้ความเร็วในการเติบโตของดาบลดลงไปด้วย ?” จางหยูคิ้วขมวด ชัดแล้วว่านี่ไม่ใช่ข่าวดี “ ถ้าแบบนั้นแผนที่ข้าวางไว้ก็อาจจะไม่สำเร็จ”
เขาอยากจะสร้างสมบัติโกลาหลขึ้นมาจำนวนมากเพื่อมอบให้ศิษย์และอาจารย์ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะสร้างได้จำนวนจำกัด
แม้ว่าจะผิดหวังแต่ก็ใช่ว่าจะรับไม่ได้
“ งั้น…ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือต้องสร้างสมบัติขึ้นมาทีละชิ้นไม่ก็ 2-3 ชิ้นสินะ ? ” จางหยูลังเล
การสร้างสมบัติทีละชิ้นจะใช้พลังของตันเถียนได้ถึงขีดสุด มันอาจจะสร้างสมบัติที่ทรงพลังขึ้นมา แต่จะให้จางหยูทิ้งดาบรึไม่ก็เกราะไปนั้น จางหยูก็ไม่เต็มใจ
ดาบนี้ใช้โจมตี ส่วนเกราะใช้ป้องกัน ไม่ว่าจะด้านไหนก็ไม่อาจจะทิ้งไปได้
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน จางหยูก็ตัดสินใจได้ เมื่อไม่มีทางเลือกก็สร้างทั้งสองไปพร้อมกัน !
ยังไงซะประสิทธิภาพในการสร้างสมบัติของโลกตันเถียนก็น่ากลัวอยู่แล้ว แม้ว่าจะเติบโตได้ช้าลงแต่ก็ยังเหนือกว่าจ้าวโกลาหลคนอื่นๆ
ที่สำคัญที่สุดคือโลกตันเถียนนั้นสามารถสร้างสมบัติชิ้นหนึ่งขึ้นมาได้ในวันเดียว หากผ่านไปหลายหมื่นปีรึล้านปี ไม่ว่าจะเป็นดาบรึเกราะพลังของมันจะต้องยกระดับขึ้นไปยังระดับที่น่าเหลือเชื่อได้
ยังไงซะก็มีเวลาอยู่อีกมาก ยังไม่จำเป็นต้องทิ้งเกราะรึดาบไป
เพื่อเร่งความเร็วในการเพิ่มพลังสมบัติโกลาหลทั้งสอง จางหยูจึงตั้งใจจะควบคุมพลังโกลาหลเพื่อมาหล่อเลี้ยงสมบัติทั้งสอง เขาจะยัดพลังเข้าไปในตันเถียน แม้ว่าจะเพิ่มพลังได้จำกัดแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร
ในอีกด้านร่างแยกของจางหยูในบรรพกาลต่างก็เริ่มสร้างสมบัติขึ้นมา
ร่างแยกบ่มเพาะนั้นหมายถึงสมบัติกว่าแปดแสนชิ้น !
ความสามารถในการสร้างสมบัติของพวกนี้ไม่ถึง 1 ใน 100 ของจางหยู ด้วยความแข็งแกร่งของพวกนี้และสภาพของบรรพกาล แม้ว่าจะผ่านไปหลายพันปีแต่ก็เดาว่าคงยากที่จะสร้างสมบัติโกลาหลขึ้นมาได้
แน่นอนว่าเมื่อบรรพกาลเติบโตขึ้น เวลาที่สร้างสมบัติก็จะสั้นลงแต่นานแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้
จางหยูคาดหวังอย่างมาก ไม่รู้ว่าตอนที่ต้นไม้โกลาหลสร้างลูกปัดขึ้นมาได้ครบนั้นดาบและเกราะจะทรงพลังแค่ไหน มันจะเป็นสมบัติขั้นสูงรึไม่?
หรือว่ามันอาจจะเป็นสมบัติขั้นสมบูรณ์ที่จักรพรรดิสร้างขึ้นมา?
หากดาบและเกราะขึ้นไปถึงขั้นสมบูรณ์ได้จริงๆ งั้นมันไม่ได้หมายความว่าเขาพอทัดเทียมกับจักรพรรดิทั้งเก้าได้รึ ?
เวลาผ่านไปช้าๆ สำนักคังเฉียงเงียบสงบลงกว่าเดิม ทุกคนต่างก็พยายามเพื่อขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลให้ได้โดยเร็วที่สุด
ในโกลาหลนั้นแทบไม่มีศิษย์และอาจารย์ปรากฏตัวให้คนภายนอกได้เห็น มันราวกับว่าสำนักคังเฉียงได้หายตัวไป แม้แต่ในโลกป่าก็ยากจะพบพวกนี้ได้เพราะพวกนี้พากันเก็บตัว
ด้วยการที่ต้นไม้โกลาหลควบคุมโกลาหลได้นั้น โกลาหลจึงรับรู้ได้ถึงเจ้านายคนใหม่ เมื่อต้นไม้โกลาหลขึ้นเป็นจ้าวโกลาหล โกลาหลก็เริ่มขยายตัวอีกครั้ง พลังของมันหนาแน่นขึ้น กฎโลกเองก็ชัดเจนขึ้น เหล่ายอดฝีมือจำนวนมากกำเนิดขึ้นมา จำนวนผู้นำขั้น 8 และผู้ควบคุมขั้น 9 เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว แต่พวกที่โดนจางหยูช่วยจากสุสานอย่างพวกระดับ 10, 100และพันเท่าต่างก็ก้าวหน้ากันอย่างน่าทึ่ง
การบ่มเพาะเหมือนจะง่ายกว่าเคย หลายคนที่เจอกับทางตันมาหลายปีรึหลายสิบยุคกลับทะลวงผ่านมาได้ในเสี้ยววินาที
นี่มันทำให้โกลาหลเติบโตและมีชีวิตชีวามากกว่าที่เคย จำนวนประชากรเริ่มเพิ่มขึ้นมา เดาว่าอีกไม่นานก็คงขึ้นไปถึงขีดสุดได้ มันอาจจะกลับไปยุครุ่งเรืองเหมือนยุคของซุนกวนในอดีต
ผ่านมาหลายร้อยปีดาบและเกราะของจางหยูก็เติบโตขึ้นมาอีก แค่พลังที่ปะทุออกมาเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้ต้นไม้โกลาหลคิ้วขมวดได้แล้ว
โชคร้ายที่จางหยูไม่รู้ว่ามันแยกระดับกันยังไง ไม่งั้นแล้วเขาคงแยกได้ว่าดาบและเกราะนี้อยู่ระดับไหนกัน
….
ผ่านไป 46,083 ปี
ในวันนั้นจางหยูเพิ่งจะเล่าเรื่องจบ จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าโลกตันเถียนกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าทึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้รับข้อความจากจางลู่ “ ร่างหลัก ข้าขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลแล้ว !”
เสียงของจางลู่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น หลังจากที่บ่มเพาะมานานหลายหมื่นปี สุดท้ายเขาก็ขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลได้ !
เขาแค่ไม่รู้ว่าตอนที่เขาขึ้นเป็นจ้าวโกลาหล บรรพกาลนั้นก็เติบโตเต็มที่ โลกตันเถียนได้ยกระดับขึ้นมาอีก
เท่าที่จางหยูรับรู้ได้ ด้านนอกโกลาหลนั้นคือมิติขั้นสูง. บรรพกาลทั้งหมดอยู่ในมิตินั้น มันคล้ายกับทะเลโกลาหล ในมิตินี้บรรพกาลทั้งหมดรวมถึงล,กอื่นๆต่างก็เชื่อมต่อกัน
หากมีทะเลโกลาหลอยู่นอกโกลาหล งั้นมิตินี้ก็อยู่นอกบรรพกาล มันควรเรียกที่นี่ว่าทะเลบรรพกาล
ทะเลบรรพกาลที่ดูพร่ามัวในตอนแรกแต่ตอนนี้กลับชัดเจนขึ้นมา ทะเลบรรพกาลค่อยๆเผยตัวตนของมันออกมาช้าๆ ขนาดของมันยังไม่อาจจะเทียบกับทะเลโกลาหลได้แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นจางหยูก็อดตื่นเต้นไม้ได้
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาควบคุมทะเลโกลาหลได้ แค่คิดเขาก็ตัดสินชะตาของที่นี่ได้ เขาถึงกับรู้สึกได้ถึงเงาตันเถียนในทะเลโกลาหลราวกับว่ามิติตันเถียนได้ปรากฏขึ้นที่นี่ เขายังเห็นเงาของดาบและเกราะที่เขาสร้างขึ้นมาด้วย
“ นี่คือทะเลบรรพกาล มันอยู่ในตันเถียนข้ารึ ?” จางหยูคิด
ตลอดมาเขาไม่เคยคิดว่าตันเถียนของเขาจะคือโลกตันเถียน จนตอนนี้เขาถึงพอมองออก
หากทะเลบรรพกาลคือตันเถียน…งั้นทะเลโกลาหลจะไม่ใช่ตันเถียนที่แข็งแกร่งกว่ารึ ?
จางหยูนึกถึงทะเลโกลาหลและอดไม่ได้ที่จะกลัวขึ้นมา
จางหยูส่ายหน้าไม่กล้าจะคิดเรื่องนี้ต่อ ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไงแต่เขาก็ยังไม่อาจจะรับรู้มันได้ในตอนนี้ สำหรับทะเลโกลาหลรึจักรพรรดิทั้งเก้า เขากลัวว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาจะไปแตะต้องได้ในตอนนี้
เขามองไปที่ดาบและเกราะ เขาตรวจสอบการเติบโตของมันและพบว่าการเติบโตของมันเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าราวกับมีการเร่งเวลาขึ้น พลังของพวกมันเติบโตขึ้นไม่หยุดราวกับไม่มีขีดจำกัด
นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของตัวจางหยูเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จิตผู้สร้างของโลกตันเถียนราวกับได้รับการปลดล็อค เขาสามารถแสดงพลังที่น่ากลัวกว่าเดิมในโลกภายนอกได้
การกำเนิดทะเลบรรพกาลส่งผลต่อจางหยูอย่างมาก ไม่ใช่แค่เลื่อนระดับตัวเขาเองรึเร่งความเร็วในการเติบโตของสมบัติโกลาหล แต่ยังทำให้เขารับรู้ได้ถึงความจริงของทะเลโกลาหลและตันเถียนของเขาด้วย
ต้นไม้โกลาหลเองก็ได้กลับไปที่เขตหวงห้ามด้วยเช่นกันเพื่อสร้างลูกปัดต่อ
เมื่อสร้างดาบขึ้นมาได้สำเร็จ จางหยูก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เขาตั้งใจจะสร้างสมบัติชิ้นต่อไปขึ้นมาต่อ ไม่ว่าจะเพื่อใช้งานเองหรือยกให้ศิษย์และอาจารย์ ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ยังใช้มันเพื่อแลกลูกปัดได้ด้วย
หลังจากที่คิดสักพักแล้ว จางหยูก็ได้เดินทางไปยังบรรพกาลของโลกบรรพกาล ด้วยรากฐานของที่นี่ เขาสามารถสร้างแก่นโลกจำลองขึ้นมา คราวนี้ตั้งใจจะใช้มันเป็นสมบัติป้องกัน
หลังจากที่เปลี่ยนรูปร่างเสร็จ จางหยูก็ยัดเกราะที่เพิ่งสร้างเสร็จเข้าไปในตันเถียน จากนั้นก็สังเกตุการเปลี่ยนแปลงของเกราะ
ตอนที่จางหยูเอาเกราะเข้าไปในตันเถียน แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะน่าทึ่งแต่ก็ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงยังด้อยกว่าของดาบ
ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อเอาเกราะเข้าไปในตันเถียน ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของดาบก็ลดลงไปอย่างมากเช่นกัน
จางหยูรับรู้ถึงความเร็วในการเติบโตของดาบและเกราะว่าเกือบจะเท่ากัน ซึ่งมันช้ากว่าการเติบโตของดาบก่อนหน้านี้เป็นสองเท่า
“ หมายความว่าความเร็วในการสร้างคงที่แล้วรึ ? เมื่อเพิ่มเกราะเข้าไปอีกชิ้น ก็ทำให้ความเร็วในการเติบโตของดาบลดลงไปด้วย ?” จางหยูคิ้วขมวด ชัดแล้วว่านี่ไม่ใช่ข่าวดี “ ถ้าแบบนั้นแผนที่ข้าวางไว้ก็อาจจะไม่สำเร็จ”
เขาอยากจะสร้างสมบัติโกลาหลขึ้นมาจำนวนมากเพื่อมอบให้ศิษย์และอาจารย์ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะสร้างได้จำนวนจำกัด
แม้ว่าจะผิดหวังแต่ก็ใช่ว่าจะรับไม่ได้
“ งั้น…ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือต้องสร้างสมบัติขึ้นมาทีละชิ้นไม่ก็ 2-3 ชิ้นสินะ ? ” จางหยูลังเล
การสร้างสมบัติทีละชิ้นจะใช้พลังของตันเถียนได้ถึงขีดสุด มันอาจจะสร้างสมบัติที่ทรงพลังขึ้นมา แต่จะให้จางหยูทิ้งดาบรึไม่ก็เกราะไปนั้น จางหยูก็ไม่เต็มใจ
ดาบนี้ใช้โจมตี ส่วนเกราะใช้ป้องกัน ไม่ว่าจะด้านไหนก็ไม่อาจจะทิ้งไปได้
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน จางหยูก็ตัดสินใจได้ เมื่อไม่มีทางเลือกก็สร้างทั้งสองไปพร้อมกัน !
ยังไงซะประสิทธิภาพในการสร้างสมบัติของโลกตันเถียนก็น่ากลัวอยู่แล้ว แม้ว่าจะเติบโตได้ช้าลงแต่ก็ยังเหนือกว่าจ้าวโกลาหลคนอื่นๆ
ที่สำคัญที่สุดคือโลกตันเถียนนั้นสามารถสร้างสมบัติชิ้นหนึ่งขึ้นมาได้ในวันเดียว หากผ่านไปหลายหมื่นปีรึล้านปี ไม่ว่าจะเป็นดาบรึเกราะพลังของมันจะต้องยกระดับขึ้นไปยังระดับที่น่าเหลือเชื่อได้
ยังไงซะก็มีเวลาอยู่อีกมาก ยังไม่จำเป็นต้องทิ้งเกราะรึดาบไป
เพื่อเร่งความเร็วในการเพิ่มพลังสมบัติโกลาหลทั้งสอง จางหยูจึงตั้งใจจะควบคุมพลังโกลาหลเพื่อมาหล่อเลี้ยงสมบัติทั้งสอง เขาจะยัดพลังเข้าไปในตันเถียน แม้ว่าจะเพิ่มพลังได้จำกัดแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร
ในอีกด้านร่างแยกของจางหยูในบรรพกาลต่างก็เริ่มสร้างสมบัติขึ้นมา
ร่างแยกบ่มเพาะนั้นหมายถึงสมบัติกว่าแปดแสนชิ้น !
ความสามารถในการสร้างสมบัติของพวกนี้ไม่ถึง 1 ใน 100 ของจางหยู ด้วยความแข็งแกร่งของพวกนี้และสภาพของบรรพกาล แม้ว่าจะผ่านไปหลายพันปีแต่ก็เดาว่าคงยากที่จะสร้างสมบัติโกลาหลขึ้นมาได้
แน่นอนว่าเมื่อบรรพกาลเติบโตขึ้น เวลาที่สร้างสมบัติก็จะสั้นลงแต่นานแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้
จางหยูคาดหวังอย่างมาก ไม่รู้ว่าตอนที่ต้นไม้โกลาหลสร้างลูกปัดขึ้นมาได้ครบนั้นดาบและเกราะจะทรงพลังแค่ไหน มันจะเป็นสมบัติขั้นสูงรึไม่?
หรือว่ามันอาจจะเป็นสมบัติขั้นสมบูรณ์ที่จักรพรรดิสร้างขึ้นมา?
หากดาบและเกราะขึ้นไปถึงขั้นสมบูรณ์ได้จริงๆ งั้นมันไม่ได้หมายความว่าเขาพอทัดเทียมกับจักรพรรดิทั้งเก้าได้รึ ?
เวลาผ่านไปช้าๆ สำนักคังเฉียงเงียบสงบลงกว่าเดิม ทุกคนต่างก็พยายามเพื่อขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลให้ได้โดยเร็วที่สุด
ในโกลาหลนั้นแทบไม่มีศิษย์และอาจารย์ปรากฏตัวให้คนภายนอกได้เห็น มันราวกับว่าสำนักคังเฉียงได้หายตัวไป แม้แต่ในโลกป่าก็ยากจะพบพวกนี้ได้เพราะพวกนี้พากันเก็บตัว
ด้วยการที่ต้นไม้โกลาหลควบคุมโกลาหลได้นั้น โกลาหลจึงรับรู้ได้ถึงเจ้านายคนใหม่ เมื่อต้นไม้โกลาหลขึ้นเป็นจ้าวโกลาหล โกลาหลก็เริ่มขยายตัวอีกครั้ง พลังของมันหนาแน่นขึ้น กฎโลกเองก็ชัดเจนขึ้น เหล่ายอดฝีมือจำนวนมากกำเนิดขึ้นมา จำนวนผู้นำขั้น 8 และผู้ควบคุมขั้น 9 เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว แต่พวกที่โดนจางหยูช่วยจากสุสานอย่างพวกระดับ 10, 100และพันเท่าต่างก็ก้าวหน้ากันอย่างน่าทึ่ง
การบ่มเพาะเหมือนจะง่ายกว่าเคย หลายคนที่เจอกับทางตันมาหลายปีรึหลายสิบยุคกลับทะลวงผ่านมาได้ในเสี้ยววินาที
นี่มันทำให้โกลาหลเติบโตและมีชีวิตชีวามากกว่าที่เคย จำนวนประชากรเริ่มเพิ่มขึ้นมา เดาว่าอีกไม่นานก็คงขึ้นไปถึงขีดสุดได้ มันอาจจะกลับไปยุครุ่งเรืองเหมือนยุคของซุนกวนในอดีต
ผ่านมาหลายร้อยปีดาบและเกราะของจางหยูก็เติบโตขึ้นมาอีก แค่พลังที่ปะทุออกมาเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้ต้นไม้โกลาหลคิ้วขมวดได้แล้ว
โชคร้ายที่จางหยูไม่รู้ว่ามันแยกระดับกันยังไง ไม่งั้นแล้วเขาคงแยกได้ว่าดาบและเกราะนี้อยู่ระดับไหนกัน
….
ผ่านไป 46,083 ปี
ในวันนั้นจางหยูเพิ่งจะเล่าเรื่องจบ จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าโลกตันเถียนกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าทึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้รับข้อความจากจางลู่ “ ร่างหลัก ข้าขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลแล้ว !”
เสียงของจางลู่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น หลังจากที่บ่มเพาะมานานหลายหมื่นปี สุดท้ายเขาก็ขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลได้ !
เขาแค่ไม่รู้ว่าตอนที่เขาขึ้นเป็นจ้าวโกลาหล บรรพกาลนั้นก็เติบโตเต็มที่ โลกตันเถียนได้ยกระดับขึ้นมาอีก
เท่าที่จางหยูรับรู้ได้ ด้านนอกโกลาหลนั้นคือมิติขั้นสูง. บรรพกาลทั้งหมดอยู่ในมิตินั้น มันคล้ายกับทะเลโกลาหล ในมิตินี้บรรพกาลทั้งหมดรวมถึงล,กอื่นๆต่างก็เชื่อมต่อกัน
หากมีทะเลโกลาหลอยู่นอกโกลาหล งั้นมิตินี้ก็อยู่นอกบรรพกาล มันควรเรียกที่นี่ว่าทะเลบรรพกาล
ทะเลบรรพกาลที่ดูพร่ามัวในตอนแรกแต่ตอนนี้กลับชัดเจนขึ้นมา ทะเลบรรพกาลค่อยๆเผยตัวตนของมันออกมาช้าๆ ขนาดของมันยังไม่อาจจะเทียบกับทะเลโกลาหลได้แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นจางหยูก็อดตื่นเต้นไม้ได้
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาควบคุมทะเลโกลาหลได้ แค่คิดเขาก็ตัดสินชะตาของที่นี่ได้ เขาถึงกับรู้สึกได้ถึงเงาตันเถียนในทะเลโกลาหลราวกับว่ามิติตันเถียนได้ปรากฏขึ้นที่นี่ เขายังเห็นเงาของดาบและเกราะที่เขาสร้างขึ้นมาด้วย
“ นี่คือทะเลบรรพกาล มันอยู่ในตันเถียนข้ารึ ?” จางหยูคิด
ตลอดมาเขาไม่เคยคิดว่าตันเถียนของเขาจะคือโลกตันเถียน จนตอนนี้เขาถึงพอมองออก
หากทะเลบรรพกาลคือตันเถียน…งั้นทะเลโกลาหลจะไม่ใช่ตันเถียนที่แข็งแกร่งกว่ารึ ?
จางหยูนึกถึงทะเลโกลาหลและอดไม่ได้ที่จะกลัวขึ้นมา
จางหยูส่ายหน้าไม่กล้าจะคิดเรื่องนี้ต่อ ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไงแต่เขาก็ยังไม่อาจจะรับรู้มันได้ในตอนนี้ สำหรับทะเลโกลาหลรึจักรพรรดิทั้งเก้า เขากลัวว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาจะไปแตะต้องได้ในตอนนี้
เขามองไปที่ดาบและเกราะ เขาตรวจสอบการเติบโตของมันและพบว่าการเติบโตของมันเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าราวกับมีการเร่งเวลาขึ้น พลังของพวกมันเติบโตขึ้นไม่หยุดราวกับไม่มีขีดจำกัด
นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของตัวจางหยูเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จิตผู้สร้างของโลกตันเถียนราวกับได้รับการปลดล็อค เขาสามารถแสดงพลังที่น่ากลัวกว่าเดิมในโลกภายนอกได้
การกำเนิดทะเลบรรพกาลส่งผลต่อจางหยูอย่างมาก ไม่ใช่แค่เลื่อนระดับตัวเขาเองรึเร่งความเร็วในการเติบโตของสมบัติโกลาหล แต่ยังทำให้เขารับรู้ได้ถึงความจริงของทะเลโกลาหลและตันเถียนของเขาด้วย