ระบบเจ้าสำนัก - ตอนที่ 1875 : อวดเบ่ง
“ สำนักงานอื่นรึ ?” จางหยูพึมพำออกมา “ ก็ได้ งั้นเดินทางไปที่สำนักงานอื่นกัน”
ตราบใดที่เขาไม่ต้องไปพบกับจักรพรรดิ เขาก็ไม่ได้กังวลอะไร
เพราะเวลานี้จางหยูไม่ได้มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ
หากอยู่ในทะเลบรรพกาล แน่นอนว่าเขาคงไม่กลัวจักรพรรดิ แต่ในทะเลโกลาหลนั้นเขาไม่อาจแสดงความไร้เทียมทาน เหมือนที่อยู่ในทะเลบรรพกาลได้ ในทางกลับกันแล้วที่นี่จักรพรรดิไม่ได้โดนจำกัดพลังใดๆ ดังนั้นจางหยูจึงไม่มั่นใจว่าจะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิได้
เมื่ออยู่ในทะเลโกลาหลได้สักระยะ จางหยูจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวจักรพรรดิเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งของจักรพรรดินั้นทรงพลัง จนจางหยูคิดว่าพวกเขาน่าจะอยู่ระดับเดียวกัน แต่เท่าที่สังเกตมาสักพัก จางหยูก็พบว่าเมื่อเทียบความแข็งแกร่งกันแล้ว เขาก็พบว่าจักรพรรดินั้นอ่อนแอกว่าเขาอย่างมาก
แต่ต้องรู้ว่าทะเลโกลาหลนั้นคือดินแดนของจักรพรรดิ ในทะเลโกลาหลแห่งนี้แล้วจักพรรรดิไม่ได้โดนจำกัดพลังใดๆ พวกเขาสามารถใช้พลังออกมาได้อย่างเต็มที่ ในสถานการณ์เช่นนี้การที่จักรพรรดิอ่อนแอจึงดูไร้เหตุผล
ยกตัวอย่างเช่นการสร้างเขตซื่อเซียว หากเปลี่ยนเป็นจางหยู เขาก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้มั่นคงและกว้างขวางกว่า กล่าวได้ว่าในเขตนี้ตัวตนของเขานั้นไร้เทียมทานและมีอำนาจสูงสุด
หากจักรพรรดิเข้ามาในทะเลบรรพกาล เขาก็จะรับรู้ได้ถึงตัวตนอีกฝ่ายได้ทันที
เขาคิดว่ามันง่ายแต่จักพรรรดิกลับทำไม่ได้ งั้นมันก็หมายความว่าจักรพรรดิไม่ได้แข็งแกร่งแบบที่เขาคิดเอาไว้ เพียงแค่มีพลังพิเศษที่จ้าวโกลาหลทั่วไปไม่มีก็เท่านั้น
นี่น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับจางหยู
ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีช่องว่างระหว่างจางหยูกับจักรพรรดิอยู่
ช่องว่างที่ว่าคือประสบการณ์ คนที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิกับคนที่ขึ้นมาเป็นหลายยุคแล้ว ประสบการณ์ย่อมห่างชั้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นจางหยูยอมตกลง ซีหยุนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและพูดขึ้น “ ขอบคุณผู้อาวุโสที่เข้าใจ”
แม้ทีมคังเฉียงจะคิดว่ามันยุ่งยาก แต่เมื่อเทียบกับการได้ลูกปัดกว่าร้อยล้านลูก ปัญหาแค่นี้ก็ดูเล็กน้อยไปเลย
ซีหยุนได้เก็บหินบันทึกก่อนจะเดินออกมาจากห้องโถง เขาเดินไปที่ลานก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วดึงเอาหยกออกมา เขาได้เปิดใช้ประตูเคลื่อนย้าย จากนั้นก็มีแสงสว่างส่องไปทั่วทั้งตึก มันมีวังวนแสงปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน
“ ท่านเจ้าสำนัก เชิญ” ซีหยุนพูดขึ้น
จางหยูพยักหน้าแล้วเดินผ่านวังวนเข้าไป เมื่อทุกคนเดินเข้าไปในวังวนแล้ววังวนจึงปิดตัวลงทันที ราวกับว่าไม่เคยมีมาก่อน
เมืองซิงลั่ว 1 ใน 10 เมืองชั้นนำของเขตซื่อเซียว
เมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองและมียอดฝีมือนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ที่นี่ มีทั้งตระกูล สำนัก ทหารรับจ้าง รวมถึงพ่อค้าจากเขตของจักรพรรดิคนอื่นมาทำการค้าที่นี่ อาจจะกล่าวได้ว่ายอดฝีมือที่นี่มีมากมายดุจดั่งกลุ่มเมฆ ทางตะวันออกของเมืองนั้นมีตึกอาคารที่ดูโดดเด่นที่สุด บอกได้ว่านั่นคือสัญลักษณ์ของเมืองซิงลั่ว
ตึกแห่งนี้ดูหรูหรา มันกินพื้นที่ของเมืองไปมาก ทั้งตึกแผ่พลังที่ดูยิ่งใหญ่ออกมา
ตรงหน้าประตูนั้นมีป้ายหินขนาดใหญ่สลักเอาไว้ว่า สำนักงานกองทัพ
ใช่ ตึกแห่งนี้คือสำนักงานที่ทั้งสามกองทัพร่วมมือกันก่อตั้งขึ้นมา มันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของทีมและทหารรับจ้างนับไม่ถ้วน !
ปกติแล้วที่นี่มักจะเงียบสงบ ยากนักที่จะมีคนมาที่นี่ แต่วันนี้ด้านนอกของอาคารกลับมีแสงสว่างสีขาวส่องประกาย ก่อนจะมีวังวนปรากฏขึ้นมาจนทำให้หลายคนหันมาสนใจ จากนั้นก็มีคนเดินออกมาจากวังวนทีละคนๆและปรากฏตัวขึ้นที่ลาน
มันคือทีมคังเฉียงและผู้บัญชาการกองทัพเทียนลั่วซีหยุน
ซีหยุนได้เก็บตราหยกของตนและบอกกับทีมคังเฉียงว่า “ ท่านเจ้าสำนัก นี่คือตึกสำนักงานใหญ่ ท่านจะได้รับรางวัลเมื่อท่านพบกับหัวหน้าที่ดูแลที่นี่”
หลังจากอธิบายให้จางหยูฟังแล้ว ซีหยุนก็หันหลังแล้วเดินตรงไปที่ตึกทันที
แต่พวกเขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็โดนคนมาขวางทางเอาไว้ คนกลุ่มนี้สวมเครื่องแบบทหารของกองทัพสังเกตการณ์และมีประมาณ 10 คน แต่ละคนต่างก็เป็นผู้บัญชาการ หรือไม่ก็ผู้บัญชาการใหญ่ ในด้านฐานะแล้วเหนือกว่าซีหยุนอย่างมาก
“ผู้บัญชาการกองทัพเทียนลั่ว ซีหยุน จากฝ่ายสำนักงานกองทัพสาขาหมู่บ้านฉิงเหยียน ขอเข้าพบหัวหน้า” ซีหยุนพูดขึ้น
ผู้บัญชาการใหญ่คนหนึ่งพูดขึ้น “ รอที่นี่ ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับท่านหัวหน้าก่อน” ผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพสังเกตการณ์ได้เดินเข้าไปในตึก ส่วนผู้บัญชาการคนที่เหลือต่างก็ยืนอยู่ที่เดิม เพื่อคอยรักษาความปลอดภัยต่อ
ซีหยุนหันกลับไปบอกกับทีมคังเฉียง “ผู้ที่ดูแลที่นี่คือคนของกองทัพสังเกตการณ์ เขาเป็นคนระดับสูงของกองทัพ ในเขตซื่อเซียวของเราแล้ว เขาถือว่าเป็นอันดับต้นๆ สำหรับคนทั่วไปแล้วเขาก็ถือว่าเป็นคนใหญ่โต แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะเทียบกับเจ้าสำนักได้”
ประโยคหลังซีหยุนไม่กล้าพูดต่อหน้าทหารจากกองทัพสังเกตการณ์
“ คนระดับสูงรึ ?” จางหยูสนใจขึ้นมา “ หากเทียบกับซือหมิงที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของเผ่าสวรรค์แล้ว ใครแข็งแกร่งกว่ากันรึ?”
ซีหยุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายขึ้นมา “ ซือหมิงเป็นผู้บัญชาการที่โด่งดังของเผ่าสวรรค์ และเป็นที่รู้จักกันในชื่อเทพสงครามน้อย ความแข็งแกร่งของเขามีไม่กี่คนที่เทียบได้…แม้ว่าหัวหน้าสำนักงานคนนี้จะไม่ได้อ่อนแอ แต่หากสู้กันแล้ว โอกาสชนะคงจะอยู่ที่ 2 ต่อ 8 ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นคนในทีมคังเฉียงก็เลิกสนใจทันที
แม้แต่ซือหมิงก็ยังสู้ไม่ได้ แล้วพวกเขาจะกลัวหัวหน้าสำนักงานไปทำไม ?
จางหยูคิดอีกเรื่องและอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ หัวหน้าสำนักงานคนนี้ ก็น่าจะมีตำแหน่งที่สูงในกองทัพสังเกตการณ์สินะ? ”
“ แน่นอน ” ซีหยุนไม่ลังเลที่จะตอบกลับ “ คนที่ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้ได้นั้น ไม่ว่าจะมาจากกองทัพไหนก็ต้องเป็นคนระดับสูง หัวหน้าคนนี้กล่าวได้ว่าเป็นมือซ้ายของแม่ทัพกองทัพสังเกตการณ์ นอกจากคอยดูแลที่นี่แล้ว ในกองทัพเขาก็ยังมีตำแหน่งที่สำคัญ ”
จางหยูตาเป็นประกายขึ้นมา “ งั้นเขาน่าจะรู้จักคนระดับสูงในกองทัพเทียนลั่วสินะ ?”
“ กองทัพทั้งสามมักจะแข่งขันกัน บางครั้งอาจจะมีความขัดแย้งอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้จักคนของกองทัพเทียนลั่ว น่าจะสนิทกันดี” ซีหยุนพูดขึ้น
“ งั้นก็ดี” จางหยูหัวเราะออกมา “ พวกเรากำลังมองหาคนระดับสูงของกองทัพเทียนลั่ว เพียงแต่ยังไม่มีช่องทาง หากเป็นแบบนั้น หัวหน้าสำนักงานคนนี้อาจจะช่วยเราได้”
ซุนเหยียนและซุนเมิ่งพากันตื่นเต้นขึ้นมา โดยเฉพาะซุนเมิ่ง นางรู้สึกว่าบางทีความลับของบรรพชนอาจจะถูกเปิดเผยออกมาในไม่ช้า บางทีจากเบาะแสนี้อาจจะรู้ต้นกำเนิดของตระกูลซุนก็เป็นได้
ไม่นานหลังจากนั้นผู้บัญชาการคนนั้นก็กลับมาและบอกกับซีหยุนว่า “ เจ้าเข้าไปได้ หัวหน้ากำลังรอเจ้าอยู่ด้านใน”
“ ขอบคุณ !” ซีหยุนรีบขอบคุณทันที
“ จำไว้ว่าเจ้ามีเวลาแค่ครึ่งนาทีเท่านั้น” ผู้บัญชาการพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ รีบไปจัดการธุระให้เสร็จแล้วรีบออกมา เขามีธุระมากมายที่ต้องจัดการ เวลาของเขาล้ำค่าอย่างมาก”
แม้ว่าทีมคังเฉียงจะมีตราระดับราชา แต่ผู้บัญชาการก็ไม่ได้สนใจมากนัก พวกเขาคือคนระดับสูงในกองทัพเช่นกัน ในกองทัพสังเกตุการณ์แล้วพวกเขาไม่ได้มีตำแหน่งที่ต่ำเลย ทีมระดับราชาแม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ทีมราชาทีมเดียวที่ทำให้พวกเขากลัวได้ก็คือ ทีมลั่วชา
คนของกองทัพสังเกตุกาณณ์เหล่านี้หยิ่งทะนงกว่าคนทั่วไป ฉะนั้นทีมทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขา ทั้งเขตซื่อเซียวแล้วพวกเขาสนใจแค่สองทีม นั่นคือทีมเทพปิศาจและทีมลั่วชา
ซีหยุนเหมือนจะชินกับท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว พวกนี้น่ะมักจะทำตัวหยิ่งทะนง ซึ่งซีหยุนก็ไม่ได้แปลกใจ เขาขี้เกียจจะพูดมาก จึงรีบพยักหน้า “ เราจะใช้เวลาให้คุ้มค่า”
เขาเดินนำทุกคนไปโดยไม่ได้อธิบายอะไรกับผู้บัญชาการเหล่านั้นต่อ
_______________________________
**โกลาหลซื่อเซียวเปลี่ยนเป็นเขตซื่อเซียว
ตราบใดที่เขาไม่ต้องไปพบกับจักรพรรดิ เขาก็ไม่ได้กังวลอะไร
เพราะเวลานี้จางหยูไม่ได้มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ
หากอยู่ในทะเลบรรพกาล แน่นอนว่าเขาคงไม่กลัวจักรพรรดิ แต่ในทะเลโกลาหลนั้นเขาไม่อาจแสดงความไร้เทียมทาน เหมือนที่อยู่ในทะเลบรรพกาลได้ ในทางกลับกันแล้วที่นี่จักรพรรดิไม่ได้โดนจำกัดพลังใดๆ ดังนั้นจางหยูจึงไม่มั่นใจว่าจะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิได้
เมื่ออยู่ในทะเลโกลาหลได้สักระยะ จางหยูจึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวจักรพรรดิเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งของจักรพรรดินั้นทรงพลัง จนจางหยูคิดว่าพวกเขาน่าจะอยู่ระดับเดียวกัน แต่เท่าที่สังเกตมาสักพัก จางหยูก็พบว่าเมื่อเทียบความแข็งแกร่งกันแล้ว เขาก็พบว่าจักรพรรดินั้นอ่อนแอกว่าเขาอย่างมาก
แต่ต้องรู้ว่าทะเลโกลาหลนั้นคือดินแดนของจักรพรรดิ ในทะเลโกลาหลแห่งนี้แล้วจักพรรรดิไม่ได้โดนจำกัดพลังใดๆ พวกเขาสามารถใช้พลังออกมาได้อย่างเต็มที่ ในสถานการณ์เช่นนี้การที่จักรพรรดิอ่อนแอจึงดูไร้เหตุผล
ยกตัวอย่างเช่นการสร้างเขตซื่อเซียว หากเปลี่ยนเป็นจางหยู เขาก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้มั่นคงและกว้างขวางกว่า กล่าวได้ว่าในเขตนี้ตัวตนของเขานั้นไร้เทียมทานและมีอำนาจสูงสุด
หากจักรพรรดิเข้ามาในทะเลบรรพกาล เขาก็จะรับรู้ได้ถึงตัวตนอีกฝ่ายได้ทันที
เขาคิดว่ามันง่ายแต่จักพรรรดิกลับทำไม่ได้ งั้นมันก็หมายความว่าจักรพรรดิไม่ได้แข็งแกร่งแบบที่เขาคิดเอาไว้ เพียงแค่มีพลังพิเศษที่จ้าวโกลาหลทั่วไปไม่มีก็เท่านั้น
นี่น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับจางหยู
ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีช่องว่างระหว่างจางหยูกับจักรพรรดิอยู่
ช่องว่างที่ว่าคือประสบการณ์ คนที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิกับคนที่ขึ้นมาเป็นหลายยุคแล้ว ประสบการณ์ย่อมห่างชั้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นจางหยูยอมตกลง ซีหยุนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและพูดขึ้น “ ขอบคุณผู้อาวุโสที่เข้าใจ”
แม้ทีมคังเฉียงจะคิดว่ามันยุ่งยาก แต่เมื่อเทียบกับการได้ลูกปัดกว่าร้อยล้านลูก ปัญหาแค่นี้ก็ดูเล็กน้อยไปเลย
ซีหยุนได้เก็บหินบันทึกก่อนจะเดินออกมาจากห้องโถง เขาเดินไปที่ลานก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วดึงเอาหยกออกมา เขาได้เปิดใช้ประตูเคลื่อนย้าย จากนั้นก็มีแสงสว่างส่องไปทั่วทั้งตึก มันมีวังวนแสงปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน
“ ท่านเจ้าสำนัก เชิญ” ซีหยุนพูดขึ้น
จางหยูพยักหน้าแล้วเดินผ่านวังวนเข้าไป เมื่อทุกคนเดินเข้าไปในวังวนแล้ววังวนจึงปิดตัวลงทันที ราวกับว่าไม่เคยมีมาก่อน
เมืองซิงลั่ว 1 ใน 10 เมืองชั้นนำของเขตซื่อเซียว
เมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองและมียอดฝีมือนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ที่นี่ มีทั้งตระกูล สำนัก ทหารรับจ้าง รวมถึงพ่อค้าจากเขตของจักรพรรดิคนอื่นมาทำการค้าที่นี่ อาจจะกล่าวได้ว่ายอดฝีมือที่นี่มีมากมายดุจดั่งกลุ่มเมฆ ทางตะวันออกของเมืองนั้นมีตึกอาคารที่ดูโดดเด่นที่สุด บอกได้ว่านั่นคือสัญลักษณ์ของเมืองซิงลั่ว
ตึกแห่งนี้ดูหรูหรา มันกินพื้นที่ของเมืองไปมาก ทั้งตึกแผ่พลังที่ดูยิ่งใหญ่ออกมา
ตรงหน้าประตูนั้นมีป้ายหินขนาดใหญ่สลักเอาไว้ว่า สำนักงานกองทัพ
ใช่ ตึกแห่งนี้คือสำนักงานที่ทั้งสามกองทัพร่วมมือกันก่อตั้งขึ้นมา มันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของทีมและทหารรับจ้างนับไม่ถ้วน !
ปกติแล้วที่นี่มักจะเงียบสงบ ยากนักที่จะมีคนมาที่นี่ แต่วันนี้ด้านนอกของอาคารกลับมีแสงสว่างสีขาวส่องประกาย ก่อนจะมีวังวนปรากฏขึ้นมาจนทำให้หลายคนหันมาสนใจ จากนั้นก็มีคนเดินออกมาจากวังวนทีละคนๆและปรากฏตัวขึ้นที่ลาน
มันคือทีมคังเฉียงและผู้บัญชาการกองทัพเทียนลั่วซีหยุน
ซีหยุนได้เก็บตราหยกของตนและบอกกับทีมคังเฉียงว่า “ ท่านเจ้าสำนัก นี่คือตึกสำนักงานใหญ่ ท่านจะได้รับรางวัลเมื่อท่านพบกับหัวหน้าที่ดูแลที่นี่”
หลังจากอธิบายให้จางหยูฟังแล้ว ซีหยุนก็หันหลังแล้วเดินตรงไปที่ตึกทันที
แต่พวกเขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็โดนคนมาขวางทางเอาไว้ คนกลุ่มนี้สวมเครื่องแบบทหารของกองทัพสังเกตการณ์และมีประมาณ 10 คน แต่ละคนต่างก็เป็นผู้บัญชาการ หรือไม่ก็ผู้บัญชาการใหญ่ ในด้านฐานะแล้วเหนือกว่าซีหยุนอย่างมาก
“ผู้บัญชาการกองทัพเทียนลั่ว ซีหยุน จากฝ่ายสำนักงานกองทัพสาขาหมู่บ้านฉิงเหยียน ขอเข้าพบหัวหน้า” ซีหยุนพูดขึ้น
ผู้บัญชาการใหญ่คนหนึ่งพูดขึ้น “ รอที่นี่ ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับท่านหัวหน้าก่อน” ผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพสังเกตการณ์ได้เดินเข้าไปในตึก ส่วนผู้บัญชาการคนที่เหลือต่างก็ยืนอยู่ที่เดิม เพื่อคอยรักษาความปลอดภัยต่อ
ซีหยุนหันกลับไปบอกกับทีมคังเฉียง “ผู้ที่ดูแลที่นี่คือคนของกองทัพสังเกตการณ์ เขาเป็นคนระดับสูงของกองทัพ ในเขตซื่อเซียวของเราแล้ว เขาถือว่าเป็นอันดับต้นๆ สำหรับคนทั่วไปแล้วเขาก็ถือว่าเป็นคนใหญ่โต แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะเทียบกับเจ้าสำนักได้”
ประโยคหลังซีหยุนไม่กล้าพูดต่อหน้าทหารจากกองทัพสังเกตการณ์
“ คนระดับสูงรึ ?” จางหยูสนใจขึ้นมา “ หากเทียบกับซือหมิงที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของเผ่าสวรรค์แล้ว ใครแข็งแกร่งกว่ากันรึ?”
ซีหยุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายขึ้นมา “ ซือหมิงเป็นผู้บัญชาการที่โด่งดังของเผ่าสวรรค์ และเป็นที่รู้จักกันในชื่อเทพสงครามน้อย ความแข็งแกร่งของเขามีไม่กี่คนที่เทียบได้…แม้ว่าหัวหน้าสำนักงานคนนี้จะไม่ได้อ่อนแอ แต่หากสู้กันแล้ว โอกาสชนะคงจะอยู่ที่ 2 ต่อ 8 ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นคนในทีมคังเฉียงก็เลิกสนใจทันที
แม้แต่ซือหมิงก็ยังสู้ไม่ได้ แล้วพวกเขาจะกลัวหัวหน้าสำนักงานไปทำไม ?
จางหยูคิดอีกเรื่องและอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา “ หัวหน้าสำนักงานคนนี้ ก็น่าจะมีตำแหน่งที่สูงในกองทัพสังเกตการณ์สินะ? ”
“ แน่นอน ” ซีหยุนไม่ลังเลที่จะตอบกลับ “ คนที่ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้ได้นั้น ไม่ว่าจะมาจากกองทัพไหนก็ต้องเป็นคนระดับสูง หัวหน้าคนนี้กล่าวได้ว่าเป็นมือซ้ายของแม่ทัพกองทัพสังเกตการณ์ นอกจากคอยดูแลที่นี่แล้ว ในกองทัพเขาก็ยังมีตำแหน่งที่สำคัญ ”
จางหยูตาเป็นประกายขึ้นมา “ งั้นเขาน่าจะรู้จักคนระดับสูงในกองทัพเทียนลั่วสินะ ?”
“ กองทัพทั้งสามมักจะแข่งขันกัน บางครั้งอาจจะมีความขัดแย้งอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้จักคนของกองทัพเทียนลั่ว น่าจะสนิทกันดี” ซีหยุนพูดขึ้น
“ งั้นก็ดี” จางหยูหัวเราะออกมา “ พวกเรากำลังมองหาคนระดับสูงของกองทัพเทียนลั่ว เพียงแต่ยังไม่มีช่องทาง หากเป็นแบบนั้น หัวหน้าสำนักงานคนนี้อาจจะช่วยเราได้”
ซุนเหยียนและซุนเมิ่งพากันตื่นเต้นขึ้นมา โดยเฉพาะซุนเมิ่ง นางรู้สึกว่าบางทีความลับของบรรพชนอาจจะถูกเปิดเผยออกมาในไม่ช้า บางทีจากเบาะแสนี้อาจจะรู้ต้นกำเนิดของตระกูลซุนก็เป็นได้
ไม่นานหลังจากนั้นผู้บัญชาการคนนั้นก็กลับมาและบอกกับซีหยุนว่า “ เจ้าเข้าไปได้ หัวหน้ากำลังรอเจ้าอยู่ด้านใน”
“ ขอบคุณ !” ซีหยุนรีบขอบคุณทันที
“ จำไว้ว่าเจ้ามีเวลาแค่ครึ่งนาทีเท่านั้น” ผู้บัญชาการพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ รีบไปจัดการธุระให้เสร็จแล้วรีบออกมา เขามีธุระมากมายที่ต้องจัดการ เวลาของเขาล้ำค่าอย่างมาก”
แม้ว่าทีมคังเฉียงจะมีตราระดับราชา แต่ผู้บัญชาการก็ไม่ได้สนใจมากนัก พวกเขาคือคนระดับสูงในกองทัพเช่นกัน ในกองทัพสังเกตุการณ์แล้วพวกเขาไม่ได้มีตำแหน่งที่ต่ำเลย ทีมระดับราชาแม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ทีมราชาทีมเดียวที่ทำให้พวกเขากลัวได้ก็คือ ทีมลั่วชา
คนของกองทัพสังเกตุกาณณ์เหล่านี้หยิ่งทะนงกว่าคนทั่วไป ฉะนั้นทีมทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขา ทั้งเขตซื่อเซียวแล้วพวกเขาสนใจแค่สองทีม นั่นคือทีมเทพปิศาจและทีมลั่วชา
ซีหยุนเหมือนจะชินกับท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว พวกนี้น่ะมักจะทำตัวหยิ่งทะนง ซึ่งซีหยุนก็ไม่ได้แปลกใจ เขาขี้เกียจจะพูดมาก จึงรีบพยักหน้า “ เราจะใช้เวลาให้คุ้มค่า”
เขาเดินนำทุกคนไปโดยไม่ได้อธิบายอะไรกับผู้บัญชาการเหล่านั้นต่อ
_______________________________
**โกลาหลซื่อเซียวเปลี่ยนเป็นเขตซื่อเซียว