ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 1 ระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาล
“อั่ก…ปวดหัวชะมัดเลยแฮะ…”
เย่เย่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับกุมหัวตัวเองไว้แน่น ทั้งๆที่รู้ตัวดีอยู่แล้วแท้ๆว่าไม่ควรดื่มมากขนาดนั้น แต่เมื่อคืนก็เผลอไปจนได้
ให้ตายสิ ต่อไปนี้นะ ต่อให้ต้องไปงานแต่งงานของเทพธิดาองค์ไหนอีกก็จะไม่ดื่มมากขนาดนั้นอีกแล้ว! แบบนี้จะไปทำงานไหวไหมเนี่ย…
“อ๊ะ 7 โมง 20 น่าจะยัง…พอทันล่ะมั้ง”
เมื่อพบว่านี่มันยังไม่สายเกินไปที่จะไปทำงาน เย่เย่ก็เริ่มโล่งใจขึ้นมา เพราะถ้าสายอีกล่ะก็ เขาต้องโดนเจ้าบอสใจดำไร้มนุษยธรรมนั่นหักเงินเดือนอีกแน่ๆ นี่หักจนจะติดลบแล้วนะ ใครจะไปคิดกันว่าเดือนๆนึงจะโดนหักเงินได้จนแทบจะกลายเป็นหนี้บริษัทแบบนี้กัน!
ก่อนหน้านี้เย่เย่นั้นไม่เคยเชื่อเลยว่า “เงินคือพระเจ้า” จนกระทั่งหลังจากที่เขาเรียนจบมาแล้ว 2 ปี เขาก็เริ่มเชื่อแล้วว่าเงินนั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการจริงๆ
นี่เองก็คงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้นางคนนั้นไม่เลือกที่จะแต่งงานกับเขาแต่ไปเลือกแต่งงานกับผู้เป็นนายของเขาแทนล่ะมั้ง ก็ใช่ซี้ คนไม่มีเงินน่ะ นอกจากเป็นเพียงเบื้องล่างให้เหยียบย่ำแล้วยังจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ?
“อืม…”
เขาหยิบมือถือที่อยู่ใต้หมอนขึ้นมาแล้วเตรียมจะลุกขึ้นไปล้างหน้า ทว่าตอนนั้นเอง ความรู้สึกมึนหัวมันก็ปะทุรุนแรงขึ้นก่อนที่สิ่งที่เห็นต่อมานั้นจะเป็นผ้าห่มสีแดงที่ดูไม่คุ้นตาตรงหน้าเขานี้
เมื่อพบแล้วว่าสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไป ด้วยความสงสัยเขาจึงไม่รอช้าที่จะหันไปมองรอบๆห้อง นั่นจึงทำให้เขาพบว่าห้องของเขาเองก็เปลี่ยนไปจากเดิมอยู่มากอีกด้วย นี่มันไม่ใช่ห้องคอนกรีตโทรมๆที่เขาเคยอยู่อีกต่อไป แต่ดูเป็นเหมือนห้องสไตล์โบราณ จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่ห้องแต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ ประตูแม้กระทั่งหน้าต่างก็ยังเป็นสไตล์เดียวกัน
“เธอ…เป็นใครน่ะ?”
เย่เย่พบเด็กหญิงอายุราว 16-17 ปีกำลังสวมโบราณสีเขียวอ่อนอยู่ ซึ่งนางเองก็กำลังมองมาทางเขาด้วยสีหน้าช็อกสุดๆไปเลยด้วย
แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะทำหน้าช็อกที่ได้เห็นเขาก็จริง แต่หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยถ้อยคำตะกุกตะกัก “น-นายน้อยตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”
ขณะที่เขากำลังงุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ เย่เย่ก็ตระหนักได้ว่าตนนั้นกำลังเปลือยกายอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้าที่จะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองไว้และเอ่ยถามกลับไปด้วยความงุนงงสุดๆ
“เธอเป็นใคร? แล้วมาทำอะไรที่นี่!”
“นายน้อยตื่นแล้ว นายน้อยตื่นแล้ว!”
อย่างไรก็ตาม เด็กสาวคนนั้นไม่ได้ตอบคำถามของเย่เย่เลย กลับกันนางกลับตะโกนออกมาด้วยความดีอกดีใจปล่อยให้เย่เย่งงอยู่เช่นนั้น
“เธอ…ใช่คนที่เรียกฉันเมื่อคืนนี้หรือเปล่า?”
ดูท่านางจะไม่สนใจที่จะตอบคำถามเขาแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เย่เย่ทำได้ตอนนี้คงเป็นเพียงพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ออกเสียก่อนด้วยตัวเอง
“อั่ก…”
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จำอะไรไม่ได้เลย ในหัวตอนนี้มันมีแต่ความทรงจำแปลกประหลาดที่กำลังหลั่งไหลออกมา
เย่เย่ เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเย่เทียน 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่แห่งเฟิงเจิ้น
ตั้งแต่เด็กจนโตเขานั้นไม่มีความรู้หรือทักษะอะไรเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้เลย หนำซ้ำเขายังไม่สนใจที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้จากผู้เป็นพ่อของเขาอีกด้วย และเพราะเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถเป็นจ้าววรยุทธ์ได้เพราะปราศจากจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาเองยังลุ่มหลงในกามารมณ์และดื่มด่ำกับสุราในทุกๆวัน และเมื่อคืนดูเหมือนเขาจะเมาหนักจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ภาพในความทรงจำนั้นเป็นภาพของเขาที่กำลังเข้าไปไล่ลวนลามพี่สาวอย่างหลินหยูฉีที่ถูกส่งมาเพื่อคอยดูแลเขาอีกด้วย ซึ่งการกระทำอันเลวทรามนั้นของเขาทำให้หลินหยูฉีโกรธจนซัดเขาจนสลบไปในทันที
นอกจากการที่นางจะเป็นเด็กสาวที่พ่อของเขารับมาเลี้ยงแล้ว หลินหยูฉียังมีตัวตนที่สำคัญมากๆอยู่อีกอย่างหนึ่งก็คือ นางนั้นเป็นจ้าววรยุทธ์ของตระกูลเย่มาโดยตลอด
แก่นแท้ของ “จ้าววรยุทธ์” นั้นแตกต่างกับ “ผู้ฝึกฝนวิชาศิลปะการต่อ” โดยสิ้นเชิง ภายในเฟิงเจิ้น เกือบทุกๆคนล้วนแต่จะต้องฝึกศิลปะการต่อสู้เอาไว้ ตราบใดก็ตามที่คนคนนั้นมีวิชาศิลปะการต่อสู้ติดตัว เขาก็จะถือว่าเป็นผู้ฝึกฝนวิชาศิลปะการต่อสู้
แต่สำหรับจ้าววรยุทธ์ที่ว่าแตกต่างออกไปนั้น พวกเขาคือผู้ที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้แข็งแกร่งมากๆ และต้องเป็นแบบนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเป็นจ้าววรยุทธ์ได้
แม้ว่าผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้จะอยู่ในระดับใด แต่คนคนนั้นก็ยังคงเป็นมนุษย์ และด้วยข้อจำกัดของมนุษย์ มันทำให้อย่างมากพวกเขาก็ทลายหินและโค่นต้นไม้ได้เท่านั้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่เหล่าจ้าววรยุทธ์สามารถทำได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว แถมยังทำได้ดีกว่าด้วย คนเหล่านี้ ยิ่งวรยุทธ์แข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจะไม่เพียงตัดกระแสน้ำด้วยกำปั้นหรือกระทืบเท้าข่มพยัคฆ์ในพงไพร แต่พวกเขาจะทำได้แม้กระทั่งบินขึ้นไปในอากาศและลอยออกจากโลกไปได้ง่ายๆเลย!
“ฉัน…ข้ามกาลเวลามางั้นเหรอ?”
หลังจากที่ฟื้นความทรงจำเหล่านั้นขึ้นมาได้ เย่เย่ก็เริ่มจับต้นชนปลายและเริ่มจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ณ ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขานั้นจะข้ามกาลเวลากลับมาโดยยังใช้ชื่อและนามสกุลเดิมอยู่สินะ
แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ไอ้ความทรงจำเหล่านี้น่ะมันก็ชวนให้เขาพูดไม่ออกอยู่เหมือนกันนะ นั่นเพราะดูเหมือนว่าส่วนที่มีมากที่สุดในหัวจริงๆนี่หนีไม่พ้นเรื่องสุราและนารีเลย มีแต่สุราและนารีเต็มไปหมด
ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่จะเมาเป็นหมาแล้วเข้าไปลวนลามลูกเลี้ยงที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวอย่างหลินหยูฉีเช่นนั้น
ถึงแม้ว่าความทรงจำที่ฟื้นขึ้นมานี้จะมีค่าเพียงน้อยนิด แต่ดูเหมือนมันจะแฝงไปด้วยประโยคสำคัญๆอยู่ด้วย อย่าง มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถเป็นจ้าววรยุทธธ์ได้ ท่าทางจ้าววรยุทธ์นี่จะทรงพลังแล้วก็น่ากลัวจริงๆแฮะ
ต่อให้ฝึกจนตัวตายก็ยังเทียบไม่ได้แม้แต่จ้าววรยุทธ์ที่มีวิชาเพียงหางอึ่ง
ตัวอย่างเช่น พ่อของเย่เย่นี่มีทหารที่แข็งแกร่งอยู่เต็มเมืองไปหมด แต่ทหารเหล่านี้ก็ยังต้องเคารพจ้าววรยุทธ์อย่างหลินหยูฉีด้วย
แล้วในขณะที่ตัวเย่เย่เองนั้นไม่ได้เป็นแม้กระทั่งผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ แบบนี้มันก็หมายความว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เฟิงเจิ้นแห่งนี้ ที่ไม่ได้เป็นทั้งผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ และไม่ได้เป็นจ้าววรยุทธ์เลยน่ะสิ!
“อืม…”
ขณะที่พยายามจะยอมรับถึงตัวตนใหม่ของเขาเองนั้น จู่ๆเขาก็นึกอะไรได้ขึ้นมา เย่เย่รีบคว้ามือไปที่ใต้หมอนและหยิบเอาบางสิ่งบางอย่างออกมา
เมื่อเห็นถึงสิ่งที่เขาคว้าออกมาได้นั้นคือ สมาร์ทโฟน ที่หลงมาจากโลกเดิม มันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่ใหญ่
“สรุปแล้ว…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”
สมาร์ทโฟนของเขาอยู่ที่นี่ด้วย… นี่มันน่าสงสัยมากเกินไปแล้วนะ
“แล้วนี่มันบ้าอะไรอีกวะเนี่ย…”
เย่เย่เปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วเขาก็พบว่าภายในนั้นไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากแอปพลิเคชั่นที่ชื่อว่า “แลกเปลี่ยนครอบจักรวาล”
‘กรุณาตรวจสอบตัวตน’
ทันทีที่เขากดเปิดแอปพลิเคชั่นดังกล่าว เขาก็ได้รับการแจ้งเตือนถึงการระบุตัวตน ตามปกติแล้วเขานั้นจะใช้วิธีการตรวจสอบลายนิ้วมืออยู่แล้ว ดังนั้นเพียงไม่นานขั้นตอนนี้ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
ภาพตรงหน้านั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ขั้นแรกเป็นข้อความต้อนรับ จากนั้นก็เป็นหน้าร้านค้า แต่ที่น่าแปลกคือพวกหมวดหมู่ที่อยู่บนหน้าจอนั้นกลับไม่ใช่สินค้าที่อยู่ในร้านค้าเหมือนแอปอื่นๆ แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ไม่ควรเป็นสินค้าที่ขายในแอปเหล่านี้ได้ทั้ง 7 หมวดเลย!
อาวุธ!
ศิลปะการต่อสู้!
ยา!
ค่ายกล!
ของชำ!
เสริมแกร่ง!
รีไซเคิล!
“ทำไมเห็นแล้วนึกถึงเว็บเพจรวมเกมแฟลช 999 เกมจังเลยนะ?”
เย่เย่พูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ๆ แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเปิดดูที่หมวดแรกสุดอย่าง อาวุธและอุปกรณ์
ภายในแอปแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลนั้นมีอาวุธต่างๆนานาให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ ขวานภูเขา, มีดสั้น, กระบี่และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ยิ่งสไลด์จอลงไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเจอสิ่งที่ดูจะ “ลึกล้ำ” มากขึ้นเท่านั้น ทั้งอาวุธทั้งอุปกรณ์เลย ไม่ว่าจะเป็น ดาบเวทมนตร์, คทาอสูรคร่าชีวิต, มีด”สับ”สรรพสิ่งและอีกมากมายที่จะสรรหาได้ สิ่งของมากมายเรียงรายกันจนไปถึงบรรทัดสุดท้าย แต่ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น หลายสิ่งหลายอย่างเองก็แสดงเครื่องหมายคำถามพร้อมกับข้อความบางอย่างขึ้นมา
‘คำแนะนำ : เงินคงเหลือไม่เพียงพอ กรุณาเติมเงิน!’
สิ่งนี้มันดูยียวนชวนให้กดขึ้นมาดูจริงๆ และเมื่อเขากดมันขึ้นมาดู ข้อความนั้นก็ขยายตัวจนเต็มหน้าจอ สิ่งที่เป็นข้อความเต็มๆนั้นบ่งบอกถึงวิธีการเติมเงินเข้าแอป ซึ่งพออ่านดูแล้วมันก็ช่างง่ายแสนง่ายซะจริง
หัวข้อรีไซเคิลที่ว่านั่นก็คือฟังก์ชันที่เอาไว้ใช้สำหรับเติมเงินนี่เอง เพียงแค่เรายกโทรศัพท์ขึ้นมาและใช้กล้องสแกนอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งของ ระบบก็จะทำการเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเงินตราที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนภายในแอปเอง
เงินที่มีอยู่ในตอนนี้ของเย่เย่คือ 0 และข้างๆนั้นมีตัวหนังสือเล็กๆอยู่ใต้ชื่อผู้ใช้
หลังจากที่อ่านข้อความเล็กๆนั่นแล้ว เย่เย่ก็เกือบเขวี้ยงมือถือทิ้ง นั่นก็เพราะข้อความดังกล่าวแทงใจดำเขามากเลยทีเดียว ‘ยากจนเสียยิ่งกว่าแสงที่ส่องผ่านรูกุญแจ’
“ให้พูดได้แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละน่า”
ริมฝีปากของเย่เย่บนอุบอิบ ไอ้สิ่งแปลกปลอมในโทรศัพท์นี้มันก็ไม่ได้พูดเกินจริงไปหรอก เพราะถ้าหากจะทำอะไรสักอย่างก็คงต้องเริ่มจากการมีชื่อเสียงสักนิดสักหน่อยก่อน ไม่งั้นก็เป็นได้แค่แสงที่ริบหรี่นี่นั่นแหละ
เขาถอยกลับไปตั้งหลักที่หน้าแรกใหม่ ก่อนที่คราวนี้เขาจะเลือกเข้าไปที่หัวข้อศิลปะการต่อสู้
‘อยากจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมงั้นเหรอ?’
ทันทีทันใดที่เขาเข้ามาในหน้าดังกล่าว เสียงเตือนนี้ก็ลอยขึ้นมา ซึ่งมันทำให้เย่เย่รู้สึกว่ามันไร้สาระมากๆ “นอกจากแข็งแกร่งขึ้นแล้วจะให้มาหาข้าวกินในหมวดนี้หรือไง? มันก็ต้องแหงอยู่แล้วสิ!”
‘กำลังจะทำอะไร? มีแค่ใจไม่เพียงพอที่จะทำอะไรในหน้านี้ได้หรอกนะ กลับไปเติมเงินก่อน จากนั้นจะซื้ออะไรก็ซื้อ’
เสียงเตือนนั้นดังขึ้นอีกรอบเพื่อเตือนให้เย่เย่เติมเงินก่อน ทว่าเย่เย่ก็เมินเฉยกับการเตือนนั้นและเข้าไปสอดส่องหาสิ่งที่ต้องการในหน้าศิลปะการต่อสู้ต่อ
ภายในหมวดหมู่นั้นมีทั้งทักษะและวิชาการต่อสู้มากมาย ซึ่งพอเห็นแล้วมันก็ทำเอาเขาตื่นเต้นไปหมด เย่เย่พยายามดูแต่ละสิ่งโดยคำนึงถึงราคาไว้ก่อน เพราะเท่าที่เห็น ราคาของมันนั้นเริ่มตั้งแต่ 1 หลักจนมากไปถึงระดับ 9 หลักเลยทีเดียว
หลังจากที่สอดส่องแบบลวกๆแล้วเย่เย่ก็เปลี่ยนไปหน้าของยาต่อ
‘ถ้าหากนายมีเงิน จะซื้ออะไรก็ได้!’
อีกครั้งที่ข้อความแจ้งเตือนนี้ดังขึ้นเมื่อเข้าไปยังหน้าใหม่
ครั้นเมื่อเข้ามาในหน้ายา เขาก็พบว่ายาเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในการคาดการณ์ของเขาอีกเช่นกัน พวกมันไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน
“ยาปลุกพลังวิญญาณ!”
เขาสุ่มเลือกดูยาจากในบรรดารายการสินค้าเหล่านั้น ซึ่งสิ่งที่สุ่มมาได้นั้นชื่อว่า “ยาปลุกพลังวิญญาณ”
‘ชื่อ : ยาปลุกพลังวิญญาณ
ราคา : 998 เหรียญ
ฟังก์ชัน : เมื่อทานเข้าไปแล้วมันจะช่วยปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมา ซึ่งแม้จะเป็นคนธรรมดาก็จะสามารถมีมันได้!
คำจำกัดความของยา : แม้ว่าเริ่มต้นเจ้าจะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ถ้าเมื่อไหร่จ่ายเงินมา 998 เหรียญ เจ้าก็บอกลาความเป็นมนุษย์และก้าวเข้าสู่การเป็นโคตรแห่งจ้าววรยุทธ์ได้เลย!’
เย่เย่ดูยาตัวอื่นๆอีกมากมาย ยาพวกนี้มันทำลายสรรพคุณของยาที่ควรจะมีอยู่ในปัจจุบันทิ้งไปหมดเลย ถ้าไม่ติดว่าไม่มีเงินล่ะก็ ป่านนี้เย่เย่กดซื้อมันทีละเม็ดๆไปแล้ว
เขาออกมาจากหน้ายาและเข้าสู่หน้า ‘ค่ายกล’ เรียงไปเรื่อยๆ
‘หยุดนิ้วก่อนไอ้คนยากจน! ห้ามเปิด! เปิดไปก็ซื้อไม่ได้! เจ้าน่ะมันจนเกินไปแล้ว! ข้าจะปิดทุกระบบแล้วเหลือไว้แค่ระบบรีไซเคิลเพื่อเติมเงิน! เมื่อไหร่ที่เจ้าเติมเงินแล้วข้าจะเปิดระบบทุกอย่างให้อีกครั้ง!’
ไม่คาดคิดเลยว่าไอ้เจ้าของเสียงนั่นมันจะทำจริงๆ เพราะหลังจากที่เขาเข้ามาในหน้า ‘ค่ายกล’ แล้วเขาก็เด้งออกมาหน้าหลัก พร้อมๆกับหมวดอื่นๆนอกจากจากหมวดรีไซเคิลก็กลายเป็นสีดำและไม่สามารถกดเข้าได้อีก
แม้จะพยายามกดเข้าไปขนาดไหน เขาก็ไม่สามารถเข้าไปได้
“แลกเปลี่ยนครอบจักรวาลอะไรกันน่ะ ถ้ายังไม่เปิดให้ฉันเข้าไปดูของดีๆฉันจะเรียกแกว่า ‘จักรวาลหน้าเลือด’ แล้วนะ!”
เริ่มไม่พอใจกับไอ้แอปเฮงซวยนี่ซะแล้วแฮะ
“นายน้อย ตื่นแล้วจริงๆสินะเจ้าคะ ถ้ายังไงเดี๋ยวข้าจะรอให้นายน้อยแต่งตัวจนเสร็จแล้วเดี๋ยวข้าจะพานายน้อยไปพบแม่นางหลินเพื่อขอโทษเรื่องที่นายน้อยทำลงไปเมื่อคืนนะเจ้าคะ!”
คราวนี้ ที่ด้านนอกประตูนั้นมีเสียงของเด็กสาวประหลาดที่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่นางจะเป็นฝ่ายเปิดประตูและเดินเข้ามา
ยังคงเป็นนางคนเดิม แต่ครั้งนี้นางไม่ได้อายแล้วแม้จะเห็นว่าเย่เย่กำลังนั่งอยู่ในสภาพเปลือยกายและถือแผ่นเหล็กปริศนาอยู่ในมือด้วยท่าทีงุนงง
“นายน้อย! ข้ามาเพื่อช่วยนายน้อยแต่งตัวล่ะเจ้าค่ะ!”
ไม่ทันขาดคำ นางก็รีบหยิบเอาเสื้อคลุมที่ดูเลอค่าสุดๆออกมาจากตู้เสื้อผ้าที่อยู่ใกล้ๆตัวเขาและนำมันมาคลุมตัวของ เย่เย่อย่างรวดเร็ว
“เจ้าออกไปก่อน เดี๋ยวเสร็จแล้วข้าจะเรียกอีกทีหนึ่ง!”
แม้เด็กสาวจะไม่ได้ละอายใจที่ต้องมาแต่งตัวให้เขา แต่เย่เย่นั้นไม่ใช่ และเขาจึงใช้ความต่างของยศฐาเพื่อสั่งให้นางออกไปก่อน
เด็กสาวตกใจก่อนจะพูดด้วยเสียงหงอยลงไปจากเดิม “น-นายน้อยเบื่อสาวรับใช้อย่างข้าแล้วเหรอเจ้าคะ?”
“ไม่ได้เบื่ออะไรทั้งนั้นแหละ! แต่เจ้าต้องออกไปก่อน ไว้ข้าแต่งตัวเสร็จแล้วจะเรียกกลับเข้ามาอีกทีหนึ่ง!”
“น-นายน้อย นา…”
“ออกไปก่อน!!”
เย่เย่ก้มหน้าลงต่ำ เด็กสาวที่เห็นดังนั้นก็รีบวางเสื้อผ้าไว้ข้างๆเขาแล้วรีบเดินออกไปจากห้องพร้อมกับปิดประตูให้ดังเดิมด้วย
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่…”
เขาค่อยๆมองยังหน้าจอโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง ซึ่งจนถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เข้าใจอะไรเลยอยู่ดี
“นายน้อยเจ้าคะ นายน้อยไม่เคยแต่งตัวด้วยตนเองเลย ข้าเกรงว่านายท่านจะโกรธถ้าต้องรอเป็นเวลานาน เพราะงั้นให้คนรับใช้อย่างข้าเข้าไปช่วยแต่งตัวเถอะนะเจ้าคะ!”
ดูท่าเด็กสาวจะกังวลเกี่ยวกับการที่เย่เย่เลือกที่จะแต่งตัวด้วยตนเองจังเลยแฮะ
“พอเลย ข้าแต่งตัวเองได้น่า!”
เมื่อสถานการณ์มันบีบคั้นเช่นนี้ เย่เย่ก็ทำได้แค่เก็บความสงสัยเกี่ยวกับโทรศัพท์นั้นเอาไว้ก่อนแล้วจึงค่อยๆหยิบชุดมาใส่
โชคดีที่แค่สวมเสื้อคลุมนั้นไม่ใช่ปัญหาที่รับมือยากนัก ดังนั้นเขาจึงสามารถใส่มันได้ในเวลาอันรวดเร็ว
“เข้ามา!”
หลังจากแต่งตัวเสร็จ เขาก็เรียกให้เด็กสาวคนนั้นเข้ามาอีกครั้ง
ทันทีที่นางเข้ามา แววตาของนางก็ดูจะประหลาดใจสุดๆที่นายน้อยของนางนั้นสามารถสวมชุดคลุมนี่ได้ด้วยตนเองแล้ว แต่กระนั้นนางก็ยังไม่กล้าที่จะพูดอะไรและเข้ามาหวีผมให้เย่เย่เงียบๆ
นางเองก็คงจะทำเวลาอยู่สินะ เอาเป็นว่าจะกลับมาคิดเรื่องนี้ทีหลังก็แล้วกัน
หลังจากที่ทุกสิ่งอย่างถูกจัดเตรียมเสร็จแล้ว คนใช้สาวก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“นายน้อยคะ ตรงไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อพบนายท่านได้เลยเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าแม่นางหลินเองก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย”
“โอ๊ะ…”
เย่เย่เก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋าและเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นตามที่ความทรงจำอันเลือนรางของเขานำทางเอาไว้ทันที
“วันนี้นายน้อยแปลกไปจริงๆด้วย!”
แววตาที่สุดแสนจะสงสัยนั้นมองตามหลังเย่เย่จนกระทั่งลับตาไปพร้อมกับบ่นอุบอิบกับตนเองอยู่ในใจ