ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 101 จดหมายข่มขู่
บทที่ 101
จดหมายข่มขู่
เย่เย่ผงกหัวด้วยสีหน้าพึงพอใจ เขาเดินไปหาเด็กชายและชันเข่าลงลูบหัวเขาเบาๆ ก่อนที่เขาจะซักถามชายพลเมืองดีที่เข้ามาช่วยครอบครัวนี้ก่อนที่เขาจะมาถึง “เจ้าชื่อแซ่อะไร?”
“ข้าแซ่เหยียน ชื่อลี่หยาง”
ชายคนดังกล่าวตอบอย่างเสียงดังฟังชัด เขาไม่ได้มีสีหน้าตกใจหรือประหลาดใจกับบทสรุปของเหตุการณ์นี้ราวกับเขาคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว
เย่เย่พยักหน้าตอบรับ ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวกลับหอการค้า ชายหนุ่มก็ทักขึ้น “ถ้าท่านไม่ติดธุระอะไร ข้าขอเชิญท่านไปที่งานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นที่เฟิงลู่คืนนี้ ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษากับท่านเย่”
เมื่อเขาเห็นสีหน้าและแววตาจริงใจของเหยียนลี่หยาง หลังจากที่เขาหยุดคิดสักพักหนึ่ง เขาก็ตอบกลับชายหนุ่มไปแบบครึ่งๆกลางๆ “ถ้าข้ามีเวลา ข้าจะไป”
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปขึ้นหลังม้า ก่อน กุมบังเหียนควบมันกลับไปที่หอการค้า ปล่อยให้ที่เหลือเป็นหน้าที่ของซูฉีเจี่ยและคนอื่นๆ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงมไล่หลังเย่เย่ที่ควบม้าจากไปอย่างไม่แยแส หยวนเซียงหลีและกลุ่มนักเลงได้รับบทลงโทษอย่างสาสมกับการกระทำของพวกเขา
เมื่อเย่เย่กลับไปถึงหอการค้า เขาก็ไม่ลืมที่จะออกคำสั่งเสี่ยวหยูให้ไล่เฉินติ้งออกไป และบอกให้นางเรียกเจิ้งซู และ เหยียนซื่อมาเข้าพบที่ชั้นเจ็ด
จากเหตุการณ์ปราบโจวไท่ในครั้งนั้น เจิ้งซูได้ลากผู้เฒ่ากบฏทั้งสามกลับไปที่ตระกูลก่อนที่จะประหารเขาด้วยมือของตัวเองเพื่อไม่ให้ใครเอาพวกเขาเป็นเยี่ยงอย่าง ทั้งสามไม่เพียงแต่ละเมิดคำสั่งของจ้าวตระกูล แต่พวกเขายังขายเกียรติและศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลอีกด้วย แม้แต่เจิ้งชิว และเจิ้งชวนก็ไม่ได้เอ่ยปากขอชีวิตของทั้งสาม และปล่อยให้พวกเขาได้รับโทษอย่าง สาสม
ด้วยพลังการรักษาของยาวิเศษจากหอการค้าหยูเย่ ทำให้บาดแผลของเจิ้งซูนั้นหายสนิทอย่างรวดเร็ว เขาหมั่นฝึกซ้อมวิชายุทธ์ของเขาจนสามารถควบคุมพลังให้เสถียรได้ เย่เย่จึงเห็นสมควรแก่เวลาแล้วที่จะเลื่อนขั้นให้เขาเป็นเทพยุทธ์อย่างเต็มตัวเสียที
สำหรับเหยียนซื่อผู้ย้ายมาจากหอการค้าตงอี้ฉีหยวนนั้น เย่เย่มักได้ยินซูฉีเจี่ยพูดถึงความเก่งกาจของเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ เย่เย่ยังคงเป็นห่วงเรื่องนิสัยมักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัวของเขาอยู่ เขาจึงเรียกเหยียนซื่อเข้าพบเพื่อทดสอบว่าเขาคู่ควรแก่การสนับสนุนหรือไม่ หากไม่แล้วเขาก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะเก็บดาบสองคมอย่างเหยียนซื่อไว้ข้างกายเขาอีกต่อไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
ระหว่างที่เขากำลังคิดไม่ตกเรื่องเหยียนซื่ออยู่นั้น เสี่ยวหยูก็ได้เข้ามารายงานแก่เขาด้วยสีหน้าตึงเครียด “นายน้อย มีคนมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ! เขาอ้างว่าเป็นตัวแทนของตระกูลมู่หรงจากเมืองจิ้นเฉิง ตอนนี้เขารอพบนายน้อยอยู่ห้องโถงรับรองชั้นล่างแล้วเจ้าค่ะ!”
เมื่อเขาได้ยินดังนั้นเขาจึงพักเรื่องเจิ้งซู และเหยียนซื่อไว้ก่อน เขาลุกขึ้นและบอกกับเสี่ยวหยูด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าจะไปพบเขาเอง ดูซิว่าตระกูลมู่หรงที่ยิ่งใหญ่มีอะไรให้เราช่วย?”
เย่เย่เดินลงไปที่ชั้นล่างพร้อมกับเสี่ยวหยู เพื่อพบแขกที่มาเยือนและดูเจตนาของเขา
ชื่อเสียงของตระกูลมู่หรงนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่ในหลิงเฉิง แต่เสี่ยวหยูและเย่เย่ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของพวกเขามาไม่น้อย เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วหอการค้าหยูเย่ยังด้อยกว่าพวกเขาอยู่มาก เนื่องจากตระกูลมู่หรงเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งของจิ้นเฉิงมาอย่างช้านาน และไม่มีขุมอำนาจหรือตระกูลไหนที่จะกล้ากระด้างกระเดื่องกับพวกเขา
แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นเผด็จการ แต่ภายใต้การปกครองของมู่หรงตู่เฟิงก็ทำให้เมืองจิ้งเฉิงพัฒนาล้ำหน้าไปกว่าหลิงเฉิงหลายช่วงตัว เย่เย่นั้นรู้ดีว่าหอการค้าของเขาด้อยกว่าตระกูล มู่หรงในทุกด้าน เขาจึงตอบรับการขอเข้าพบของมู่หรงเจิ้งแต่โดยดี
เมื่อเย่เย่และเสี่ยวหยูเดินเข้ามาในห้องรับรอง ชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งรออยู่ก็ลุกขึ้น และทำความเคารพเย่เย่ “ท่านคือท่านเย่เย่ผู้เป็นตำนานแห่งหลิงเฉิง เป็นเกียรติของข้าแล้ว ข้าชื่อ มู่หรงเจิ้ง บุตรชายของตระกูลมู่หรงแห่งเมืองจิ้นเฉิง ข้าได้รับคำสั่งจากเจ้าตระกูลให้นำสิ่งนี้มามอบให้แก่ท่าน!”
มู่หรงเจิ้งไม่พูดพร่ำทำเพลงหลังจากเขาแนะนำตัวเสร็จ เขาก็เข้าประเด็นพร้อมยื่นซองจดหมายให้กับเย่เย่ในทันที
เย่เย่รับจดหมายนั้นมาและอ่านออกเสียงเป็นเสียงเดียวกันกับเสี่ยวหยูว่า “จงยอมจำนนซะ!” สีหน้าของทั้งสองซีดเผือดลงด้วยความตกใจในเวลาเดียวกัน เย่เย่ที่มีโควตาอ่านเกิน 1 บรรทัดเขาก็เริ่มอ่านเนื้อหาภายในจดหมาย และพบว่ามันไม่ต่างอะไรกับคำจ่าหน้าซองเลยแม้แต่น้อย
“กลับไปบอกเจ้าตระกูลของเจ้าด้วยว่า ข้าไม่ยอมจำนนให้กับใครทั้งนั้น และหอการค้าของพวกข้าจะไม่ตัดสินใจใดๆแทนประชาชนเมืองหลิงเฉิงเด็ดขาด ท่านกลับไปซะเถอะ!”
เย่เย่คืนจดหมายให้กับชายหนุ่ม และพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
มู่หรงเจิ้งแปลกใจที่เห็นเย่เย่ตัดสินใจอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาระงับความสงสัยที่ก่อขึ้นในใจเขาและถามทั้งสองขึ้น “ข้าเชื่อว่าพวกท่านเป็นคนฉลาด ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้แผ่นดินของพวกเราตกอยู่ในความโกลาหลจากภัยสงครามน้อยใหญ่ และเมืองทั้ง 13 ของภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ก็ไร้ซึ่งผู้นำ แทนที่พวกท่านจะรับมือกับภัยสงครามด้วยตัวเอง พวกเรามารวมกันเป็นหนึ่งภายใต้การนำของตระกูลมู่หรงของข้าไม่ดีกว่าหรือ? ตราบใดที่พวกท่านสวามิภักดิ์ต่อพวกข้า ข้าจะรับประกันความปลอดภัยของพวกเจ้า”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หลิงเฉิงนั้นอ่อนแอ และล้าหลังกว่าจิ้นเฉิง เขาจึงไม่ต้องรีบร้อนอะไรมากนัก
อย่างไรก็ตามเย่เย่นั้นคงยืนกรานไม่ยอมก้มหัวให้ใคร และตอบกลับเขาไปอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าท่านมู่หรงจะเข้าใจอะไรผิดไป อย่างแรกหอการค้าหยูเย่ไม่สามารถตัดสินใจแทนทั้งเมืองได้ อย่างที่สองไม่ว่าจะเกิดอะไร พวกเราไม่มีประสงค์ที่จะอยู่ใต้อาณัติของใคร”
เสี่ยวหยูที่อยู่ท่ามกลางบทสนทนาของทั้งคู่ นางนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดเลยว่าเย่เย่พูดแทนความในใจของนางไปหมดแล้ว
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านเย่จะเป็นคนเห็นแก่ตนถึงเพียงนี้!? ต่อให้ท่านจะไม่เห็นหัวขั้วอำนาจอื่นๆในหลิงเฉิง แต่อย่างน้อยท่านควรถามความเห็นคนในหอการค้าของท่านเสียบ้าง การด่วนตัดสินใจมันไม่ได้ทำให้ท่านแข็งแกร่งขึ้นจากที่เป็นอยู่หรอกนะ!”
มู่หรงเจิ้งยังไม่เลิกล้มความพยายาม เขาหวังจะได้ครอบครองหลิงเฉิงโดยที่ไม่เกิดการนองเลือด น่าเสียดายที่เย่เย่ไม่ใช่คนที่จะถูกจูงจมูกได้โดยง่าย หลังจากที่เขานั่งฟังชายหนุ่มอยู่นาน เขาจึงปฏิเสธด้วยท่าทีเรียบเฉยเช่นเคย “นั่นมันไม่ใช่ธุระของท่าน”
ชายหนุ่มเมื่อได้ฟังเย่เย่พูดดังนั้น เขาขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด และเริ่มขึ้นเสียงใส่เย่เย่ “ท่านไม่ต้องมาอ้างเรื่องชาวเมืองเลย ด้วยอำนาจของท่านในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะรวมเมืองหลิงเฉิงให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของท่าน ถ้าท่านยังตัดสินใจไม่ได้อีกละก็ ข้าให้เวลาท่าน 3 วัน หากพวกท่านยังยืนกรานเช่นเดิมละก็ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
มู่หรงเจิ้งที่โดนเย่เย่ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เริ่มแสดงธาตุแท้ของตนเองออกมา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความ ยโสโอหัง และความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล ในเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นดั่งที่เขาหวัง เขาจึงให้เวลาเย่เย่ในการตัดสินใจเพิ่มหมายให้เขาเปลี่ยนใจให้ได้ ทันใดนั้นเองเย่เย่ตอบกลับเขาอย่างทันควัน “ไม่ต้องให้เวลาข้าถึงสามวันหรอก ข้าตัดสินใจไปแล้ว! หลังจากที่เจ้าก้าวเท้าออกไปจากหลิงเฉิงจงอย่าได้กลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่รับประกันความปลอดภัยของเจ้า!”
มู่หรงเจิ้งยิ้มเจื่อนๆ และพูดจาถากถางเย่เย่ “ท่านเย่ ท่านคิดว่าท่านเป็นเทพอสูร แล้วท่านจะจับข้าได้อย่างงั้นเรอะ!?”
“ไม่ลองก็ไม่รู้” เย่เย่ตอบกลับ และลุกขึ้นจ้องมองชายหนุ่มอย่างเยือกเย็น บรรยากาศในห้องรับรองเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ เสี่ยวหยูที่สัมผัสได้ถึงมันนางจึงปลีกตัวออกไปในที่ปลอดภัย
ฟ้าววววววววว
มู่หรงเจิ้งจ้องตาเย่เย่กลับอย่างไม่เกรงกลัว เขารวบรวมลมปราณและพุ่งทะยานตัวไปที่ทางออกของหอการค้าด้วยความเร็วระดับเทพยุทธ์ แม้ว่าระดับวรยุทธ์ของเขาจะไม่เทียบเท่าเย่เย่ แต่เรื่องความเร็วในการเหาะเหินเดินอากาศของเขาไม่เป็นสองรองใคร นอกจากนี้เขายังมีประคำห้วงสมุทรไว้ใช้ป้องกันตัวในกรณีฉุกเฉินอีกด้วย
อย่างไรก็ตามเย่เย่นั้นไม่ได้เป็นเทพอสูรธรรมดาๆทั่วๆไปอีกแล้ว เขาไหวตัวทันและออกตัวพุ่งไปแทบจะพร้อมๆกับ มู่หรงเจิ้งเลย
ฟ้าววววววววว
มู่หรงเจิ้งที่เห็นเย่เย่ตามความเร็วของเขาได้ทัน ใบหน้าของเขาก็เริ่มถอดสีด้วยความหวาดกลัว
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เย่เย่ยื่นมือออกไปคว้าไหล่ของชายหนุ่มเอาไว้ เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของเขา