ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 127 พลังที่เพิ่มพูน
บทที่ 127
พลังที่เพิ่มพูน
“ในสมัยที่ข้ายังเป็นเด็ก เมืองจิ้นเฉิงประสบภัยแล้งอย่างหนัก บ้านเมืองระส่ำระสายจากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ สองข้างทางเต็มไปด้วยชาวเมืองที่หิวโซ และอาชญากรรมที่เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งชายนามมู่หรงตู่เฟิงปรากฏตัวขึ้นยื่นมือเข้าช่วยทำให้จิ้นเฉิงฟื้นตัวและพัฒนาเป็นเมืองอันดับต้นๆจวบทุกวันนี้”
“ในตอนนั้นข้าเป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่งที่ท่านมู่หรงรับอุปการะ หากข้าไม่ได้เขาในวันนั้นข้าคงตายเยี่ยงสุนัขจรจัดไปแล้ว แต่แล้วด้วยอำนาจที่มากขึ้นผู้มีคุณก็เริ่มหลงมัวเมาในยศถาบรรดาศักดิ์ ข้าจึงตัดสินใจปลีกตัวออกมาและตั้งสำนักขึ้น แล้วข้าก็…”
ก่อนที่หูจือเป่าจะพูดจบ เขาก็สลบไสลไปด้วยความอ่อนแรง เมื่อฟังเรื่องราวของชายหนุ่มเย่เย่ก็เริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างจิ้นเฉิงและมู่หรงตู่เฟิงขึ้นมาบ้าง
หากตระกูลมู่หรงไม่โลภในอำนาจ ไม่แน่ว่าหูจือเป่าผู้นี้อาจสร้างปัญหาให้กับเขาในฐานะคนของตระกูลมู่หรงก็เป็นได้ เย่เย่คิดพลางชายตามองชายผู้ที่นอนไม่ได้สติแทบเท้าเขา
ทันทีที่หูจือเป่าทราบข่าวการตายของมู่หรงตู่เฟิงด้วยมือของเย่เย่ เขาไม่ได้โกรธแค้นเย่เย่ และไม่โศกเศร้าเสียใจแต่อย่างใด แต่เขาช่วยผู้คนตระกูลมู่หรงที่เหลือรอดอพยพออกไปจากเมือง อย่างลับๆ ก่อนที่ซูฉีเจี่ยจะมาถึง
เมื่อหูจือเป่าได้สติ เย่เย่ก็ตัดสินใจทำข้อตกลงกับเขา “หากเจ้าสัญญาว่าจะไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใด และไม่ยุ่มย่ามในกิจการภายในเมืองจิ้นเฉิงอีก ข้าจะปล่อยสำนักเจ้าไปก็ได้”
หูจือเป่าได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็แสดงความประหลาดใจออกมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ ก่อนจะถามเย่เย่ด้วยความสงสัย “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะกลับคำบ้างหรือ? ท่านรู้รึเปล่าว่าสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุดก็คือคำสัตย์ปฏิญาณของมนุษย์เนี่ยแหละ”
“จริงอย่างเจ้าว่า แต่ว่าข้าเชื่อในตัวเจ้า” เย่เย่ตอบคำถามของหูจือเป่าด้วยความมั่นใจ เขารู้ดีว่าชายหนุ่มไม่ใช่คนกลับกลอกแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นหูจือเป่าก็พิสูจน์ให้เขาเห็นถึงคุณค่าของสำนักวารีอำพันแล้ว ดังนั้นเย่เย่จึงตัดสินใจปล่อยเขาไปอย่างมีข้อแม้
หลังจากที่พวกเขาให้คำสัตย์ซึ่งกันและกัน ระหว่างที่เย่เย่กำลังเดินทางกลับ ชายหนุ่มก็ได้ตะโกนเรียกเขาจากด้านหลังอีกครั้งเพื่อจะบอกอะไรบางอย่างแก่เขา
“ในเขตตงเฉิงของจิ้นเฉิง มีเถ้าแก่ของร้านค้าที่ขายของหายากแห่งหนึ่งผู้เป็นถึงเทพยุทธ์ขั้นสูง กำลังประสบปัญหาในการเลื่อนขั้นเทพอสูรอยู่ หากท่านช่วยเขาเลื่อนขั้นได้สำเร็จ ข้ารับรองว่าเถ้าแก่ผู้นี้จะต้องเป็นกำลังสำคัญให้กับท่านได้อย่างแน่นอน”
“ข้าจะจำเอาไว้ก็แล้วกัน” เย่เย่หันกลับมาพูดกับหูจือเป่า ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับไปยังหอการค้าหยูเย่ในตัวเมือง
แม้ว่าเย่เย่จะสนใจเถ้าแก่คนดังกล่าว แต่ในตอนนี้เขาต้องจัดการปัญหาภายในให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เขาที่ใช้ความคิดก็เดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ลมกระโชกแรง มาพร้อมกับกลิ่นดินอ่อนๆโชยมาแตะจมูกเขาเป็นสัญญาณของสายฝนที่กำลังจะตกลงมา
‘ฝนจะตกแล้วสินะ’ เย่เย่คิดในใจ เขามองไปยังบรรดาลูกจ้างที่กำลังวุ่นวายกับการเก็บข้าวของ และปิดประตูหน้าต่างเพื่อกันฝนสาดเข้ามาในตัวอาคาร พลางเอามือจับคางใช้ความคิดแก้สถานการณ์ปัจจุบัน เดิมทีหูจือเป่าคือกุญแจสำคัญในการคลี่คลายสถานการณ์ทั้งหมด แต่ในเมื่อการชักชวนล้มเหลว เขาก็ต้องคิดหาวิธีใหม่
หลังจากครุ่นคิดอยู่คนเดียวอยู่นาน เขาก็ตัดสินใจเรียกประชุมเพื่อระดมความคิดจากหลายๆฝ่าย
“ท่านเย่ ท่านเรียกข้ามามีเหตุอันใด?” ซูฉีเจี่ยที่เพิ่งเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมประจำวันของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นเป็นคนแรก เย่เย่สัมผัสได้ถึงวรยุทธ์ของซูฉีเจี่ยที่เพิ่มพูนขึ้นจนถึงระดับเทพยุทธ์ขั้นสูง เช่นเดียวกับจางเสี่ยวยู่และศิษย์แห่งสำนักเพลิงสวรรค์บางคนที่เพิ่งเดินมาถึงห้องประชุมหลังจากซูฉีเจี่ยไม่นานนัก
เมื่อเย่เย่เห็นดังนี้เขาจึงตัดสินใจปัดตกหัวข้อการประชุมออกไปก่อน และวางแผนที่จะเลื่อนขั้นพวกเขาสู่เทพอสูรเพื่อยกระดับขุมกำลังในทันที ก่อนที่ซูฉีเจี่ยจะเอ่ยปากถาม เย่เย่ก็ได้ชิงถามพวกเขาก่อนด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“ท่านทั้งสองคิดว่าพวกท่านจะต่อสู้กับภาคีจิ้นเฉิง ปลดแอกโดยไม่มีข้าได้หรือไม่?”
ซูฉีเจี่ยและจางเสี่ยวยู่หันมองหน้ากันและกัน ทั้งสองคิดไตร่ตรองอยู่พักนึง ก่อนที่อดีตจ้าวสำนักเพลิงสวรรค์จะพูดขึ้น
“กล่าวตามตรง ลำพังด้วยวรยุทธ์ของพวกเราในตอนนี้น่าจะเอาชนะพวกเขาได้ไม่ยาก แต่หากพวกเขาซ่อนลูกไม้บางอย่างเอาไว้ ผลลัพธ์คงยากที่จะพูดถึง”
ทั้งสองผู้แบกรับความหวังของหอการค้าสาขาจิ้นเฉิงชี้แจงเย่เย่ด้วยสีหน้าที่หนักใจ ตัวเย่เย่เองไม่อยากให้พวกเขาพึ่งพาตัวเขามากเกินไปจึงตั้งใจจะให้ซูฉีเจี่ยและพรรคพวกจัดการแก้ไขปัญหาด้วยตนเองเพื่อสั่งสมประสบการณ์และขัดเกลา วรยุทธ์
“ข้าเข้าใจพวกท่านดี จริงอยู่ที่หอการค้าหยูเย่นี้เจริญเติบโตก้าวหน้าไวเกินกว่าที่มันควรจะเป็น ข้าจึงอยากให้พวกท่านจัดการปัญหาในเมืองจิ้นเฉิงด้วยตนเอง เพื่อที่การปกครองของท่านทั้งสองจะได้ไม่เป็นที่ครหาของชาวเมืองในยามที่ข้าไม่อยู่” หลังจากที่เย่เย่สาธยายวัตถุประสงค์ให้ทั้งสองฟัง เขาก็หยิบยาบรรลุวิชายุทธ์ออกมายื่นให้แก่ผู้ที่สมควรได้รับมัน
“ขอบคุณท่านประธาน พวกเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” ซูฉีเจี่ย จางเสี่ยวยู่ และสองศิษย์แห่งสำนักเพลิงสวรรค์ที่ได้รับเลือกกล่าวขอบคุณประธาน พร้อมประสานมือโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความปีติยินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอดีตจ้าวสำนักเพลิงสวรรค์ที่ติดยอดดอยอยู่ขั้นเทพยุทธ์มาอย่างยาวนานจนแทบจะล้มเลิกความตั้งใจในการเลื่อนขั้นเทพอสูร เขามองไปที่เม็ดยา หัวใจที่ว่างเปล่าของเขาก็ถูกเติมเต็มด้วยไฟแห่งความหวังอีกครั้งหนึ่ง
“เงยหน้าขึ้น ภาคีปลดแอกโจมตีพวกเราได้ทุกเมื่อ พวกท่านจงกลับไปเตรียมตัวกันให้พร้อมเสียเถิด!”
แม้ว่ายาบรรลุวิชายุทธ์นี้จะเป็นของมีค่าราคาสูง แต่กับเย่เย่ที่มีสภาพคล่องทางการเงินแล้วเขาแลกออกมาโดยแทบไม่ต้องคิดเลยก็ยังได้ แต่ติดที่การให้รางวัลอย่างมั่วซั่วนอกจากจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้แล้ว อาจก่อให้เกิดปัญหาภายในตามมาทีหลังได้ เขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะแลกมันออกมาใช้ทีละมากๆในคราวเดียวกัน ครั้งนี้เขาจึงแลกออกมาใช้เฉพาะกับผู้ที่อยู่ในระดับที่เหมาะสมเท่านั้น
ลูกจ้างคนอื่นๆที่เห็นความก้าวหน้าของพวกเขาทั้งสี่ พวกเขาก็ยึดทั้งสี่เป็นต้นแบบ และหมั่นฝึกซ้อมเพื่อว่าสักวันตนจะได้บรรลุขั้นเทพอสูรเฉกเช่นเดียวกับซูฉีเจี่ยและพรรคพวก
เมื่อทั้งสี่กล่าวลาเย่เย่ พวกเขาก็ไม่รอช้ากลับไปยังพื้นที่ส่วนตัว และเริ่มกินยาเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดในทันที เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วแม้ว่าจะไร้วี่แววของศัตรูแต่บรรยากาศภายในเมืองจิ้นเฉิงก็เริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ ระหว่างที่รอผู้ถูกเลือกทั้ง สี่ก้าวข้ามขีดจำกัด เย่เย่ก็เตรียมการรับมือภาคีจิ้นเฉิงด้วยตัวคนเดียว 2 วันให้หลังพวกเขาก็สำเร็จขั้นเทพอสูรเป็นที่เรียบร้อย
ในขณะเดียวกันกงเจิ้น ปรมาจารย์แห่งทัณฑ์สวรรค์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เมืองเฟิงจิ้นอย่างเงียบงัน…