ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 167 ซวนหยิงแห่ง 7 ขุนพล
บทที่ 167
ซวนหยิงแห่ง 7 ขุนพล
ในขณะที่เหตุการณ์ทั้งหมดคลี่คลายลง เย่เย่ก็ได้สั่งให้ หยางซื่อไห่และสมาชิกตระกูลหยางจำนวนหนึ่งติดตามเขากลับไปยังเมืองหลิงเฉิง
เมื่อพวกเขาทั้งหมดเดินทางถึงเมืองหลิงเฉิง เย่เย่ก็ไม่รอช้าออกคำสั่งให้เหล่าสมาชิกหอการค้าทั้งสาขาหลักและสาขาจิ้นเฉิงรวมพลในทันที
“ซูฉีเจี่ย เจ้าจงส่งสาส์นไปยังสำนักดาบบูรพาไร้พ่าย ประกาศให้พวกเขาทราบอย่างทั่วถึงกันว่าหอการค้าหยูเย่ของเราจะทำศึกกับตำหนักประกายแสง”
สิ้นเสียงของเย่เย่ เหล่าสมาชิกตระกูลหยางก็เข้าใจจุดประสงค์ในการเรียกรวมพลครั้งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะมีทางเลือกอื่นอีก ไม่เพียงพวกเขาที่เพิ่งรู้จักตัวตนของเย่เย่ได้ไม่นาน แม้แต่ซูฉีเจี่ยและเจิ้งซูเองก็ประหลาดใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ของเย่เย่
“ท่านเย่ เรื่องนี้ข้าว่ามันออกจะกะทันหันไปเสียหน่อย ข้าว่าอย่างน้อยเราควรจะวางแผนกับสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายให้ดีเสียก่อนนะขอรับ” ซูฉีเจี่ยผายมือแสดงทัศนะของเขาต่อผู้เป็นประธาน แม้ว่าเจิ้งซูจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของซูฉีเจี่ย
อย่างไรก็ตามท่าทีของเย่เย่ก็ดูจะไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขายังคงมั่นคงหนักแน่นกับความคิดของตนเอง เขาหันไปตอบซูฉีเจี่ยอย่างไม่ปิดบัง
“หากพวกเราไม่รีบโค่นล้มอำนาจของตำหนักประกายแสงล่ะก็ จากข้อมูลที่ข้ารู้มา ข้าเกรงว่านิกายวิถีสวรรค์จะมีเอี่ยวในเรื่องนี้ และเมื่อเวลานั้นมาถึงจะทำให้เรื่องทั้งหมดยุ่งยากขึ้นไปอีก”
“อะไรนะ!?”
“ตำหนักประกายแสง กับ1 ในนิกายทั้ง 8 งั้นเรอะ!?”
“ไม่อยากจะเชื่อเลย! ท่านเย่ไม่ได้โกหกข้าใช่ไหม?”
ทันทีที่ข้อมูลถูกเปิดเผยโดยเย่เย่ ผู้คนที่ถูกเรียกรวมพลอย่างกะทันหันต่างส่งเสียงกันอื้ออึงด้วยความตื่นตระหนก นัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความขมขื่นยากที่จะทำใจยอมรับได้
เย่เย่ที่เห็นท่าทีของบรรดาลูกน้องจึงตัดสินใจเล่าเรื่องการต่อสู้ของเขากับลั่วหยูในเมืองเซียงเฉิงเพื่อขยายความในสิ่งที่เขาคิด
“หากเป็นอย่างที่ท่านเย่ว่ามา พวกเราคงไม่มีเวลาแล้ว เช่นนั้นข้าจะรีบดำเนินการตามที่ท่านสั่ง ได้โปรดวางใจ” หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ซูฉีเจี่ยก็น้อมรับคำสั่งของเย่เย่
เมื่อประชุมเสร็จสิ้น ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปฝึกฝน วรยุทธ์ของตนอย่างต่อเนื่อง เย่เย่เองก็ได้กลับไปที่ห้องของตนและนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณเพื่อปรับสมดุลพลังของตน
แม้ว่าเย่เย่จะตัดสินใจประกาศสงครามกับตำหนักประกายแสงไปแล้ว แต่ตัวเขาเองนั้นรู้อยู่แก่ใจว่ากำลังพลของหอการค้านั้นยังด้อยกว่าตำหนักประกายแสงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นยักษาตนแรกแห่งภูมิภาคอยู่มากซึ่งการปะทะโดยตรงอาจทำให้เกิดการสูญเสียมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ซึ่งเงื่อนไขเดียวในการกำชัยชนะคือการบรรลุขั้นจิตพิสุทธิ์ให้ได้ ดังนั้นเย่เย่จึงตั้งใจเพ่งจิตและฝึกดึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาให้อยู่ในระดับสูงสุดตลอดเวลา
เมื่อเวลาผ่านไป 2 วัน แม้ว่าขั้นจิตพิสุทธิ์จะอยู่แค่เอื้อม แต่เขากลับไม่สามารถคว้ามันเอาไว้ได้
‘การบรรลุขั้นนี่จะทำได้ต่อเมื่อผ่านวินาทีแห่งความเป็นความตายเท่านั้นรึไงนะ?’
เย่เย่บ่นพึมพำในใจ และถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างเบื่อหน่าย พลางพยายามจับเคล็ดเกี่ยวกับการบรรลุขั้นวรยุทธ์โดยที่ไม่ต้องพึ่งยาหรือระบบแลกเปลี่ยน ซึ่งเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน โดยปกติแล้วการจะบรรลุขั้นวรยุทธ์ได้หากไม่ใช่อัจฉริยะแล้วนั้นต้องอาศัยการบ่มเพาะพลังเป็นเวลานานซึ่งแต่ละคนก็จะใช้เวลาต่างกัน บางคนใช้เวลา 1 ปี บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็มี
ในขณะที่เย่เย่กำลังอยู่ในภวังค์ความคิด เจิ้งซูก็ได้เดินเข้ามารายงานกับเขา
“ท่านเย่ มีคนที่อ้างว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ต้องการพบท่าน”
“เพื่อนเก่างั้นรึ?”
‘ข้าไปมีเพื่อนเก่ากับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’ เย่เย่เอามือเท้าคางพลางคิดในใจ และเดินตามเจิ้งซูไปยังห้องรับรองแขก
ณ ห้องรับรองแขก ชั้น 1 หอการค้าหยูเย่ ลั่วเฟิงเฉิง แม่นางมู่หลูและหนุ่มสาวผู้ติดตามของพวกเขาที่รอคอยเย่เย่อยู่ต่างมีสภาพที่สะบักสะบอม และหายใจถี่อย่างเหนื่อยหอบราวกับกรำศึกหนักมา
“นี่ท่านลั่ว แม่นางมู่ เจ้าเย่เย่นี่เชื่อถือได้จริงเรอะ!? พวกเราถูกพวกตระกูลซวนหยิง 1 ในตระกูลของเหล่า 7 ขุนพลไล่ต้อนมานะขอรับ หอการค้าหยูเย่คงไม่กล้าต่อกรกับพวกเขาแน่!”
หม่าเจียนเยว่ ชายหนุ่มร่างสูงเดินวนไปวนมาภายในห้องรับรองอย่างเป็นกังวล แม้ว่าภารกิจเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์บัวหิมะที่ลุกไหม้จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่ข่าวคราวของพวกเขากลับไปถึงหูของซวนหยิง ซ่ง 1 ใน 7 ขุนพลแห่งฉางหลางทำให้เขาส่งมือดีเข้าขัดขวางเพื่อสังหารและแย่งชิงเมล็ดพันธุ์นั้นมาครอบครอง ก่อนที่จะไปตกอยู่ในมือของผู้นำนิกายลำนำแห่งขุนเขา
ทั้งสามที่รอดพ้นจากการไล่ล่า จึงหอบเมล็ดพันธุ์นั้นมาขอความช่วยเหลือจากหอการค้าหยูเย่
“เช่นนั้น เจ้ามีทางเลือกอื่นอีกไหมล่ะ!? อย่างน้อยมาขอความช่วยเหลือจากพวกเขาก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย และข้าก็มั่นใจว่าถ้าเป็นเย่เย่ล่ะก็เขาต้องเต็มใจช่วยอย่างแน่นอน!” แม้ว่าแม่นางมู่ก็กระวนกระวายไม่ได้ต่างไปจากหม่าเจียนเยว่ เนื่องจากแม้แต่ผู้ได้ขนานนามว่าเป็นมังกรสวรรค์อย่างลั่วเฟิงเฉิงเองก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นางก็ต้องทำเป็นใจดีสู้เสือเอาไว้ก่อนและได้แต่หวังพึ่งมิตรไมตรีจากเย่เย่
แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเย่เย่นั้นหัวการค้า และนางไม่มีอะไรมาแลก แต่ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างพวกนาง และเย่เย่ ทำให้นางเชื่อว่ายังไงซะเย่เย่ก็ต้องตอบสนองอย่างแน่นอน
“แค่ก แค่ก หลานมู่เอ๋ย หากพวกเรารีบออกจากหลิงเฉิงตั้งแต่ตอนนี้ยังพอทันการ ข้าเกรงว่าถ้าเย่เย่ไม่ยอมช่วยแล้วล่ะก็ที่พวกเราลงทุนลงแรงไปทั้งหมดจะสูญเปล่า! แค่ก แค่ก” ลั่วเฟิงเฉิงยันตัวขึ้นและพูดกับแม่นางมู่ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว
แม้ว่าชายชราลั่วเฟิงเฉิงจะเคยเป็นคู่ซ้อม และบอกข้อมูลเกี่ยวกับโจวไท่ให้กับเย่เย่ แต่ชายแก่ก็ไม่ติดใจถือเอาเป็นบุญคุณแต่อย่างใด เขาเอาแต่คิดว่าจะไม่พาหอการค้าหยูเย่ติดร่างแหไปด้วย
ทันใดนั้นเอง ในขณะที่ทั้งสามกำลังครุ่นคิดว่าจะเอายังไงต่อไป กลุ่มทหารที่เต็มไปด้วยชุดเกราะก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูหลักด้านหน้าหอการค้า พวกเขากวาดตาด้วยสีหน้าถมึงทึงราวกับควานหาเหยื่อ
“ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ?” เสวี่ยหยูถามพวกเขาขึ้นอย่างนอบน้อม
ชายวัยกลางคน 2 คน คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ คนหนึ่ง เตี้ยม่อต้อ ทั้งสองใส่ชุดคลุมยาวสีดำขลับก้มมองสาวงาม ก่อนชายร่างใหญ่จะถามขึ้นด้วยเสียงแผดดัง
“นี่! เจ้าเห็นชาย 2 หญิง 1 ผ่านมาแถวนี้บ้างหรือไม่? รีบเรียกพวกมันออกมาให้ไวเลย อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีกเป็นครั้งที่ 2!”
ชายเตี้ยอีกคนเมื่อเห็นใบหน้า และรูปร่างที่สะสวยของเสวี่ยหยูก็อดจ้องมองนางด้วยสายตาหื่นกามเป็นไม่ได้
“วันๆหนึ่งมีลูกค้าตั้งมากมาย ข้าจำลูกค้าทุกคนไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ” เสวี่ยหยูที่เห็นสายตาเยิ้มๆของชายเตี้ยก็ยิ้มเจื่อนๆออกมา ก่อนตอบคำถามของชายกำยำอย่างเป็นธรรมชาติ…