ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 4 ขัดแย้ง
“เช่นนั้นถ้าข้าเอ่ยว่ายาลูกกลอนนี่สามารถทำให้ผู้ใดก็ตามที่ได้ลิ้มลองเข้าไปมีพละกำลังสูงส่งไล่เทียบเหล่าจ้าวแห่งวรยุทธ์ได้ เจ้าจะว่าอย่างไร?” เย่เย่เอ่ยขึ้นด้วยความสุภาพ
“ท่านว่าอย่างไรนะ?! เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ! ความห่างชั้นระหว่างคนธรรมดาและจ้าวแห่งวรยุทธ์นั้นมีมากเกินไป ต่อให้มนุษย์ผู้นั้นคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อเทียบกันแล้วคนคนนั้นก็ยังเป็นเพียงผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ดีเมื่อเจอกับจ้าวแห่งวรยุทธ์จริงๆนะขอรับ!” เฒ่าซุนรีบปฏิเสธสรรพคุณที่ดูเหมือนจะเริ่มเว่อวังเกินไปแล้วของยานี่ทันที เขานั้นไม่เชื่ออย่างสุดใจเลยว่ายาเพียงเท่านี้จะทำให้คนคนหนึ่งสามารถแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับจ้าวแห่งวรยุทธ์
และด้วยความที่ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้ง่ายๆเช่นนี้ ในบรรดาประชากรนับ 100,000 ที่อยู่ในเฟิงเจิ้นแห่งนี้ มีจ้าวแห่งวรยุทธ์จริงๆไม่ถึง 300 คนด้วยซ้ำไป
“นั่นสินะ ดูท่าเจ้าเองจะเป็นพวกที่ไม่ลองดูด้วยตัวเองก็คงจะไม่เชื่อ เช่นนั้นแล้วข้าคิดว่าเจ้าเอายานี่ไปลองเองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเสียดีกว่า แต่ข้าเตือนไว้ก่อนนะว่ายานี่มีผลข้างเคียงนิดหน่อย อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปซะล่ะ” ในเมื่อเขาคิดจะขายแล้ว เขาจะไม่ปล่อยให้มันเสียเปล่าหรอก ยิ่งขายได้ราคาสูง ยิ่งดี
สายตาที่ฟันฝ่ากาลเวลามายาวนานมองไปยังความมั่นอกมั่นใจของเย่เย่ และแม้ว่าจะผ่านกาลเวลามายาวนานแต่ด้วยการโน้มน้าวเช่นนี้มันก็ยังทำให้เฒ่าซุนยังต้องลังเล ยานี่น่ะดูจะพิเศษอยู่ก็จริง แต่ถ้อยวาจาของเย่เย่นั้นก็ดูจะโอ้อวดเกินไปเสียหน่อย
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอร่วมการทดสอบด้วย ท่านเย่ ช่วยรอข้าซักประเดี๋ยวนะขอรับ”
เพื่อที่จะพิสูจน์ว่ายาเม็ดนี้สามารถส่งผลได้ตามที่เย่เย่โอ้อวดไว้ เฒ่าซุนจึงนำมันติดตัวไปกับเขาด้วย
‘ถ้าข้าจะเรียกราคายาซัก 1,000 เหรียญทองมันก็คงจะไม่มากไปหรอกนะ เพราะยังไงเสีย ในเมื่อยานี่สามารถสร้างคนธรรมดาให้แข็งแกร่งเทียบเท่าจ้าวแห่งวรยุทธ์ได้ในเวลาอันสั้น ผลลัพธ์มันก็คุ้มค่าอยู่แล้ว แต่ในกรณีขายเม็ดเดียว อีกฝ่ายจะต้องไม่กล้าทุ่มเงินให้ข้ามากนักแน่ๆ เพราะราคานั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการไปจ้างวานให้จ้าวแห่งวรยุทธ์ไปคอยคุ้มกันในแต่ละครั้งเลย แต่ถ้าขายในปริมาณมากอย่าง 10 หรือไม่ก็ 100 เม็ดในเวลาเดียวกันล่ะ? เอามันไปขายในหอการค้าชิงเฟิง…ข้าต้องได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแน่ๆ!’
ทันทีที่เฒ่าซุนออกไป เย่เย่ก็หาได้นั่งเฉยๆไม่ ในหัวของเขานั้นคิดทบทวนถึงแผนการทุกอย่างอย่างรอบคอบ
บางทียานี่อาจจะขายได้แค่เม็ดละ 10 เหรียญทองก็ได้ แต่ถ้ามีมันซัก 100 เม็ด ราคาก็น่าจะสูงไปได้อีก 100 เท่า! นั่นเพราะหากไม่รีบกอบโกยไปก็จะมีจ้าวแห่งวรยุทธ์ถือกำเนิดขึ้นมาถึง 100 คนในคราเดียวเลย!
โอกาสที่จะได้ครอบครองจ้าวแห่งวรยุทธ์ทั้ง 100 คนเอาไว้น่ะ ไม่ได้มีบ่อยๆหรอกนะ! ต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนก็ไม่สามารถเรียกใช้งานทั้ง 100 คนนั้นได้พร้อมๆกันหรอก!
“หลินหยูฉี ข้าจะแสดงการเติบโตด้วยความเร็วที่แม้แต่เจ้าก็ไม่คาดคิดออกมาให้ดูเอง!”
เมื่อไหร่ที่การเจรจาทางการค้าในครั้งนี้สำเร็จ เย่เย่ก็จะมีเงินมากที่ที่จะซื้อยาปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้มาใช้ เพียงแค่เม็ดเดียวก็จะลืมตาตื่นขึ้นเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ได้เลย นั่นหมายถึงเพียงเสี้ยวชั่วยาม เย่เย่ก็จะสามารถบรรลุเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ได้เช่นกัน!
ครู่หนึ่ง เฒ่าซุนก็กลับเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจควบคู่กับความตกใจอย่างหาที่สุดไม่ได้
“ท่านเย่ ข้าน้อยขอเลื่อมใสในสรรพคุณของยานี่จริงๆขอรับ เช่นนั้นเรามาว่ากันเรื่องราคาดีกว่า ท่านพอจะขายให้ข้าได้เท่าไหร่กันขอรับ?” เฒ่าซุนเปิดปากเอ่ยด้วยความจริงจัง
เย่เย่เห็นดังนั้นก็เพียงแค่ยกนิ้วขึ้นมานิ้วเดียวเท่านั้น
“100 เหรียญทองเลยหรือขอรับ?! ข้าว่าราคามันค่อนข้างจะสูงเลยนะ…”
เฒ่าซุนอุทานออกมาด้วยความไม่เชื่อในสายตา ถึงแม้ว่ายานี่จะมีสรรพคุณเลิศล้ำขนาดที่สามารถทำให้วรยุทธ์ของคนธรรมดาคนหนึ่งพุ่งขึ้นสูงได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ยังไงเสียราคานี้มันก็แพงเกินไปอยู่ดี
“ข้าไม่ได้หมายถึงยาเม็ดเดียว ข้าน่ะมียาแบบนั้นอยู่ราวๆ 100 เม็ดได้” เย่เย่ส่ายหน้าเชิงปฏิเสธความคิดของอีกฝ่ายก่อนจะพูดขึ้นอย่างชัดเจน
“ท่านว่าอย่างไรนะ?! 100 เม็ดเลยงั้นหรือ! เช่นนั้นข้าเห็นชอบด้วย! 100 เหรียญทองนั้นหาได้สูงเกินไปไม่สำหรับยาปริมาณมากเช่นนี้ แต่ถ้ายังไงข้าคงต้องขอปรึกษากับเฟิงเซียนซีก่อน” เมื่อได้ยินว่าเย่เย่มียาวิเศษนี้อยู่ถึง 100 เม็ด ความโลภก็เริ่มครอบงำเฒ่าซุนจนเขาแทบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่
“เฒ่าซุน ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจอะไรข้าผิดอยู่ ข้าแค่บอกว่าข้ามียาอยู่ 100 เม็ด ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าข้าขายยา 100 เม็ดนั่นในราคา 100 เหรียญทองนะ” เย่เย่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หา? ไม่ใช่แค่ 100 เหรียญทองงั้นเหรอ? แล้วท่านอยากจะขายเท่าไหร่กันล่ะขอรับ…” ได้ยินเช่นนั้นเฒ่าซุนก็เกิดลังเลขึ้นมาอีก
“100,000 เหรียญทอง!”
รอยยิ้มบนใบหน้าเย่เย่นั้นบ่งบอกได้เลยว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เย่เย่จึงเดินออกจากหอการค้าชิงเฟิง
ทว่าครั้งนี้เย่เย่ไม่ได้ออกมาแต่เพียงผู้เดียว นั่นเพราะมีคนอีก 2 คนเดินตามเขาออกมาด้วย นั่นคือเฟิงเซียนซีและเฒ่าซุน
“หากครั้งหน้าท่านเย่มีของดีๆอยากจะขายละก็ ขอให้มาที่นี่ได้โดยที่ไม่ต้องลังเลเลยนะเจ้าคะ!” เฟิงเซียนซีเอ่ยเสียงหวาน
ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งก็มีเฒ่าซุนเดินยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลงราวกับดอกเบญจมาศใกล้โรยราที่ฟื้นขึ้นมาเบ่งบานอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว”
เย่เย่ตอบนางด้วยความใจเย็น
“แหม เย็นชาจังเลยนะเจ้าคะ ข้าล่ะช้ำอกช้ำใจเสียเหลือเกิน”
หญิงสาวโผลเข้ากอดแขนของเย่เย่ราวกับไม่อยากจะปล่อยเขาไปไหนเลย
“เจ้านั่น!”
ในตอนนั้นเอง เมื่อเย่เย่เดินมาถึงประตูทางออก ชายคนหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นมาต่อหน้าพอดิบพอดี และเมื่อเย่เย่เห็นหน้าชายคนนี้ เขาก็ขมวดคิ้วและทำหน้าหน่ายขึ้นมาทันที
“เย่เย่!”
ท่าทีของอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ต่างกันเสียเท่าไหร่ ยามที่เขาเห็นเย่เย่ เขาก็ขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่า เฟิงเซียนซีเองก็อยู่ข้างๆเย่เย่ด้วย
ชายผู้นี้มีอายุราวๆ 20 ปี เขานั้นเป็นผู้มีความสามารถและหน้าตาอันหล่อเหลา วรยุทธ์ของเขานั้นถูกจัดว่าอยู่ในระดับสูง ซึ่งเพียงอีกนิดหน่อยเขาก็จะเข้าขั้นจ้าวแห่งวรยุทธ์ได้แล้ว และถ้าหากสังเกตคนคนนี้ดีๆ ก็จะสามารถเห็นได้ว่าทั้งเขาและเย่เย่นั้นมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่มาก นั่นเพราะเขาคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน หากแต่เป็นน้องชายของเย่เย่นามว่า เย่เซียง นั่นเอง!
ตัวเขาพอจะได้ยินมาบ้างว่า ถึงแม้เฟิงเซียนซีนั้นจะเป็นสตรีอันดับหนึ่งของเมืองนี้ แต่พฤติกรรมของนางก็ค่อนข้างจะแปลกกว่าคนอื่นๆอยู่มากเลย โดยเฉพาะเรื่องที่ว่านางมักจะยุ่งเกี่ยวกับชายหนุ่มในช่วงอายุ 17-18 ปีอยู่หลายคน ยิ่งในตอนนี้ชายหนุ่มที่ว่าก็เป็นเย่เย่ที่เดินเคียงคู่กับสาวงามผู้นี้ออกมาด้วยกันและใบหน้าของหญิงสาวเองก็แดงก่ำราวกับสีสันแห่งฤดูใบไม้ผลิที่กำลังบานสะพรั่ง
“เย่เย่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่กันน่ะ?”
สีหน้าของเย่เซียงนั้นดูมืดมนลงมาก การพบเจอกับเย่เย่โดยไม่ได้คาดคิดเช่นนี้ทำเอาความสุขของเขาถูกเผาไหม้หายไปจนหมดและเหลือไว้เพียงความเยือกเย็นเท่านั้น
แม้ตัวเขาผู้นี้จะผ่านการคัดเลือกจากตระกูลเย่และกลายเป็นลูกชายคนโปรดของตระกูลได้แล้ว แต่เขาก็ยังได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเย่เย่มาโดยตลอดว่าเป็นพวกไร้น้ำยา เย่เย่นั้นถือเป็นตัวตลกที่ใช้ใบบุญอาศัยอยู่ในตระกูลเย่เท่านั้น ดังนั้นการที่เห็นเย่เย่อยู่กับเฟิงเซียนซีเช่นนี้มันจึงทำให้เขารู้สึกโกรธขึ้นเป็นอย่างมาก ใช่แล้ว เย่เซียงไม่เพียงแค่โกรธเย่เย่ แต่กำลังอิจฉาเย่เย่อยู่ด้วย! ทั้งๆที่เขานั้นมีดีกว่าเย่เย่ทุกอย่าง แต่ทำไมคนที่อยู่ข้างๆนางถึงกลายเป็นไอ้คนไร้แก่นสารเช่นนั้น!
“เจ้ามาได้แล้วทำไมข้าจะมาไม่ได้น่ะ?”
หลังจากที่เห็นแล้วว่าแขกในครั้งนี้เป็นเย่เซียง น้องชายของเย่เย่ที่ซึ่งเป็นเจ้าของร่างจริงๆ อารมณ์ที่เคยสุขีราวกับเกิดในทุ่งดอกไม้ก็ถูกเหมันตฤดูที่หวนเข้ามาเยือกแข็งจนดอกไม้เหล่านั้นสูญสลายไปจนหมด ช่างเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักการใช้ไหวพริบในการถามคำถามเอาเสียเลยนะ
ให้ตายเถอะ ขนาดตายไปแล้วยังต้องฟื้นกลับมาเจอเจ้านี่อีกงั้นเหรอเนี่ย?
“ข้ามาซื้ออาวุธอันเลอค่าที่มีขายเพียงแค่สถานที่แห่งนี้ แล้วเจ้ามาทำอะไร? จะบอกว่าเจ้าเองก็มีเงินเพียงพอที่จะซื้อสิ่งของระดับสูงภายในนี้ด้วยงั้นหรือ?” สายตาที่ดูเหยียดหยามของเย่เซียงนั้นมันชัดเจน ยิ่งได้ประโยคสุดจะเหยียบย่ำนั่นมาซ้ำเติมมันก็ยิ่งชัดขึ้นไปอีก
“ข้าจะซื้อได้หรือซื้อไม่ได้แล้วมันข้างเกี่ยวอะไรกับเจ้าอีกนะ?” ตั้งแต่ที่เห็นคนจากตระกูลเย่ เรื่องที่เย่เย่ถูกหลินหยูฉีฆ่าตายนั้นมันก็ทำเอาเขาขุ่นเคืองจนไม่อยากตอบคำถามใดๆทั้งสิ้น
“เลิกกล่าวถ้อยคำวาจายียวนได้แล้ว!” ดูเหมือนว่าจะเป็นฝ่ายเย่เซียงที่กลั้นอารมณ์โกรธไว้ไม่ได้เสียก่อน การที่เห็น เย่เย่ยังลอยหน้าลอยตาได้มันทำให้เขายิ่งทุกข์ใจมากยิ่งขึ้นจนตะโกนออกไปเสียงดัง “เจ้าเองก็ควรรู้ตัวดีว่าตัวเจ้านั้นมันน่าสมเพชขนาดไหน เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าควรทำก็คือฝึกฝนตัวเองอย่างหนักอยู่ที่บ้าน หาใช่ออกมาเอ้อระเหยลอยชายอยู่ข้างนอกคอยแต่จะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเย่ต้องเสื่อมเสียลงไปทุกวันเช่นนี้! จำไว้นะ ว่าข้าน่ะปรานีเจ้าหรอกนะ เจ้าถึงได้ยังมีขาเดินเพ่นพ่านอยู่เช่นนี้ มิเช่นนั้นแล้วข้าจะหักขาเจ้าเสียแล้วส่งกลับไปให้ท่านเจ้าบ้านได้เชยชมแทน!”
ไอ้แมลงสาบเย่เย่ค่อยๆหรี่ตาลงและตอกหน้าอีกฝ่ายกลับไป “โฮ่ เจ้ามีปัญญาทำแบบที่เจ้าว่าได้งั้นหรือ?”
ยามที่โดนตอกหน้ากลับมาเช่นนั้น เย่เซียงก็ชะงักไปนิดหน่อย แต่เพียงไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา สิบนิ้วของเขายื่นออกไปข้างหน้าก่อนที่จะค่อยๆกำหมัดจนเกิดเสียงกรอบแกรบของกระดูก และทันใดนั้นคลื่นพลังที่ถูกสั่งสมไว้ก็ปะทุออกมา
“เช่นนั้นแล้วข้าจะให้คนไร้น้ำยาเช่นเจ้าได้ประจักษ์แก่สายตาเองว่าข้าทำได้ตามที่พูดหรือเปล่า!”
“ฮ่ะๆๆ ท่านเย่เซียง คิดจะทำอะไรที่นี่กันเจ้าคะ? ที่แห่งนี้คือหอการค้าชิงเฟิง หาใช่ลานว่างตระกูลเย่ของท่าน! มีวรยุทธ์ดีเด่นแล้วทั้งทีแต่ต้องรักษากิริยาให้น่ามองด้วยนะเจ้าคะ” ครั้งนี้เฟิงเซียนซีที่ยืนอยู่ข้างๆเย่เย่เป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง และแม้จะพูดเช่นนั้นแต่ใบหน้าของสวยหวานก็ยังเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์อยู่เช่นเคย
เย่เซียงที่โดนเสน่ห์เย้ายวนใจของเฟิงเซียนซีเข้าไปถึงกับต้องผงะออก หัวใจของเขาถูกความงามและความร้อนรุ่มของแม่นางผู้นี้กระตุ้นจนสั่นไหวไม่เป็นระเบียบ ‘นางผู้นี้ ร้ายกาจ!’
“ฮึ่ม!”
เสียงกระฟัดกระเฟียดของสตรีอีกนางหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เย่เซียงนั้นไม่ใช่ของใครอื่น เธอคือหลินหยูฉีที่มาพร้อมกับสีหน้าไม่สบอารมณ์เหมือนตอนอยู่ที่โถงตระกูลเย่นั่นแหละ
หากไม่ใช่เพราะหลินหยูฉีอยู่ที่นี่กับเขาด้วย ป่านนี้ เย่เซียงอาจจะตบะแตกไปแล้วก็ได้
หลินหยูฉีคือจ้าวแห่งวรยุทธ์ที่รับหน้าที่ปกป้องตระกูลเย่อยู่ นอกจากนั้นนางยังเป็นอาจารย์ที่คอยสอนวิชาการต่อสู้ต่างๆให้แก่คนในตระกูลเย่แห่งนี้จนกลายเป็น 1 ใน 3 ตระกูลยักษ์ใหญ่แห่งเฟิงเจิ้นได้ ความงดงามของนางนั้นไม่เพียงแค่เรียกได้ว่างดงาม หากแต่ยังถูกถือเป็น 1 ใน 4 สตรีผู้มีความงามในรุ่นราวคราวเดียวกันอีกด้วย หลินหยูฉีสามารถเข้าสู่จุดสูงสุดของวรยุทธ์ได้ตั้งแต่เมื่อครั้นตอนอายุ 16 ปี ดังนั้นแล้วนางจึงสามารถก้าวขึ้นเป็นจ้าวแห่งวรยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว
ภาพลักษณ์ของหลินหยูฉีนั้นค่อนข้างเป็นคนที่หุนหันพลันแล่น หากเปรียบนางเป็นดอกไม้ นางคงเปรียบเสมือนดอกบัวที่ดูสูงส่งและสง่างาม
และด้วยสิ่งเหล่านี้ มันเลยยิ่งทำให้นางกลายเป็นที่สนใจอย่างท่วมท้นไม่ต่างอะไรกับแม่นางเฟิงเซียนซีผู้ที่สง่างามกันไปคนละแบบเช่นนี้เลย สิ่งเดียวที่ทำให้หลินหยูฉีด้อยกว่าเฟิงเซียนซีนั้นก็คงมีแต่ความอ่อนโยนเท่านั้น หากนางผู้นี้หัดรู้จักอ่อนโยนขึ้นมาแทนที่จะหยาบกระด้างเช่นนี้แล้วล่ะก็คงจะมีอีกหลายคนเลยที่หลงใหลในตัวนางมากกว่านี้
“เจ้าเอาเกียรติของตระกูลเย่มาย่ำยีหมดแล้วนะ!”
เย่เซียงรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของหลินหยูฉี ดังนั้นเขาจึงรีบชักสีหน้าและเบี่ยงสายตาของเฟิงเซียนซีมายังเย่เย่แทนทันที
ในความคิดของเย่เซียง คนไร้ค่าอย่างเย่เย่นั้นไม่มีทางที่จะสามารถมาซื้อของล้ำค่าภายในหอการค้าชิงเฟิงแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน ดีไม่ดีเขาน่าจะไม่สามารถเข้าไปในหอการค้าชิงเฟิงได้เสียด้วยซ้ำ เพราะตัวเขาที่เข้าออกสถานที่แห่งนี้บ่อยๆรู้ดีว่าการที่จะเข้าไปภายในนั้นได้ต้องมีสิ่งที่คอยรับรองว่าคนคนนั้นเป็นผู้มั่งมีเสียก่อน
ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์มันเป็นเช่นนี้ ทางเดียวที่จะทำให้ เย่เย่สามารถเข้าไปภายในหอการค้าชิงเฟิงได้ คงต้องเป็นเพราะเขาเอาร่างกายเข้าแลกให้แก่เฟิงเซียนซีเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการเข้าไปภายในแน่ๆ!
เพราะแม้ว่าเย่เย่จะไร้ประโยชน์ แต่เขาก็ยังมีหน้าตาที่หล่อเหลาเป็นทุนอยู่ และด้วยหน้าตาอันหล่อเหลานี้เองมันก็ทำให้เขาเป็นที่หมายปองของสตรีอีกหลายนางภายในเฟิงเจิ้นแห่งนี้
ความคิดนี้หาใช่ของเย่เซียงเพียงคนเดียว เพราะ หลินหยูฉีที่ยืนอยู่ข้างๆเขาก็ยังคิดเช่นเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะนางเองก็เป็น 1 ใน 4 สตรีผู้ถูกยกย่องว่าเลอโฉมแห่งเฟิงเจิ้น แน่นอนว่านางนั้นอิจฉาเฟิงเซียนซีอยู่ไม่น้อยเลย แต่กระนั้นเพราะพฤติกรรมที่คนอื่นๆเลื่องลือกันของอีกฝ่าย มันช่างไม่น่าภิรมย์ ในฐานะที่เป็นผู้ที่ได้รับเลือกขึ้นเป็นสตรีอันทรงคุณค่าแล้ว การที่เฟิงเซียงซีมีพฤติกรรมเช่นนี้มันทำให้หลินหยูฉีรู้สึกอัปยศขึ้นมาแทนเมื่อต้องถูกเหมารวมให้อยู่ในระดับเดียวกับอีกฝ่าย
“ใช่ เจ้าเป็นถึงพี่น้องตระกูลเย่ เหตุใดจึงเอาเกียรติอันน่าภาคภูมิของตระกูลเย่มาย่ำยีด้วยการเล่นสนุกกับแม่นางเสเพล ผู้นี้? ในขณะที่คนหนึ่งกำลังเป็นใหญ่ดุจมังกรทะยานสู่ฟากฟ้า แต่เจ้ากลับเลือกที่จะเป็นพญาหนอนที่ชอนไชลงสู่ดินงั้นหรือ?” หลินหยูฉี่จ้องมองไปยังเย่เย่พร้อมกับส่ายหน้าหน่ายและถอนหายใจ
ตัวเย่เย่นั้นไม่ได้ใส่ใจคนเหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต่อล้อต่อเถียงให้มันมากความ
แต่ทางเฟิงเซียนซีผู้ที่มีสติปัญญาในระดับยอดนั้นกลับเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจในการกระทำเหล่านี้ นางสามารถเข้าใจทุกอย่างได้ในทันทีว่าสิ่งใดที่เย่เซียงและหลินหยูฉีกำลังคิดอยู่ และเมื่อเข้าใจได้แล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้ใบหน้าสวยนั้นคลี่ยิ้มออกมา
รอยยิ้มที่ผุดขึ้นจากใบหน้าสวยนั้นเป็นรอยยิ้มที่ดูใสซื่อก็จริง ทว่าแววตากลับดูเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นเองนางก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงออดอ้อน “ท่านเย่เย่เจ้าคะ ไว้แวะเวียนมาหาข้าบ่อยๆนะเจ้าคะ~! ข้าสัญญาเลยว่าข้าจะปรนนิบัติท่านให้ดีที่สุดเลย ถ้าอยากได้อะไรอีกละก็ มาหาข้าได้ทุกเมื่อเลย ฮิๆ”
“ไม่ละอายใจเลยงั้นเหรอ?!”
“นังนี่!”
แต่เดิมนั้นเย่เซียงและหลินหยูฉีต้องการที่จะมายังหอการค้าชิงเฟิงแห่งนี้เพื่อหาซื้อของกัน ทว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสองได้เกลียดเฟิงเซียนซีไปเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะหลินหยูฉี
“ช่างเป็นสตรีที่ไร้ซึ่งความสง่างามดุจคนป่าเสียจริง ไม่ละอายใจกับการกระทำอันสำส่อนนั่นเลย”
ยิ่งคิดว่าอีกฝ่ายเป็น 1 ใน 4 สตรีผู้งดงามแห่งเฟิงเจิ้นเช่นเดียวกับตน หลินหยูฉีก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ราวกับเผลอเคี้ยวแมลงวันหัวเขียวที่พลาดบินเข้าไปในปาก เหตุที่นางโกรธได้ขนาดนี้ก็เพราะนางไม่สามารถคาดเดาและตามความคิดคนอื่นได้ต่างหากว่าคนอื่นๆคิดอย่างไรกับตน และนั่นก็รวมไปถึงการที่นางไม่สามารถเข้าใจความคิดของเฟิงเซียนซีได้ด้วย