ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 44 กดดัน
ภายในงานประมูล ผู้คนภายในงานต่างตั้งความหวังกันไว้ที่ซุนเชียนกันหมด แม้แต่หลิวชิงซูผู้ที่มักจะทะเลาะเบาะแว้งกับเขาบ่อยๆเองยังต้องยอมรับว่าซุนเชียนเองก็ไม่ใช่คนรวยที่มีดีแค่ร่ำรวย เพราะอย่างน้อยๆเขาก็เป็นผู้พิสูจน์เม็ดยาที่น่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่งเลย
เห็นดังนั้นเย่เย่ก็พยักหน้าและส่ง ยาโคตรแกร่ง! ของเขาให้แก่ซุนเชียนพร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวยาให้ด้วยความมั่นใจ “หลังจากที่กินยานี่ลงไปแล้ว ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกฝนวรยุทธ์นั้นจะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับจ้าววรยุทธ์ในเวลา 15 นาทีเท่านั้น แต่มันยังมีผลข้างเคียงในระดับที่น้อยกว่ายาเสริมความแข็งแกร่งที่ขายกันอยู่ด้านนอกอีกด้วย เพราะงั้นแล้วเรียกได้ว่าคุณค่าของมันนั้นเทียบกันไม่ติดเลย!”
ก่อนที่ซุนเชียนจะได้ตรวจสอบยา เขาก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหวเพราะคำพูดของเย่เย่ขึ้นมา เอาจริงๆก็ไม่ใช่เพียงแค่เขาคนเดียวหรอก เพราะแขกทุกคนภายในงานนี้ต่างก็คิดเหมือนกันว่า เย่เย่น่ะพูดโอ้อวดมากเกินไป แต่เพราะเย่เย่นั้นเป็นเทพยุทธ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา
กระนั้นแล้วเย่เย่ก็ยังดูใจเย็นและเร่งเร้าให้ซุนเชียนตรวจสอบยาของเขาอยู่ดี นั่นเพราะว่ายาทั้ง 100 เม็ดนี่ถูกแลกเปลี่ยนมาจากระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลนั่นแหละ ดังนั้นแล้วเขาจึงกล้าที่จะยืนยันในสิ่งที่ตนพูดขนาดนี้
เมื่อครั้งก่อนที่ยังอยู่ในเฟิงเจิ้น เย่เย่สามารถตั้งราคาขายได้มากถึง 100,000 เหรียญทองกับยา 100 เม็ดนี่ ถึงแม้ว่าที่ หลิงเฉิงแห่งนี้จะมีจ้าววรยุทธ์ไม่ได้เยอะเหมือนกับเฟิงเจิ้นก็จริง แต่อย่างน้อยๆมันก็น่าจะทำให้เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายเกิดความต้องการและวิ่งเข้าหามันได้ ดังที่เสี่ยวหยูได้เล่าเกี่ยวกับแก๊งสายน้ำหลั่งไหลนั่น เพราะฉะนั้น เริ่มต้นแค่ 70,000 เหรียญทองก็พอแล้ว
จริงๆนอกจากยาโคตรแกร่งนี้ เย่เย่ยังแลกเอายามาอีกหลายอย่างในจำนวนเงิน 50 เหรียญจักรวาล ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับวรยุทธ์กันทั้งนั้น และต่อให้ยาพวกนี้จะมีคุณสมบัติพื้นฐานเหมือนๆกับยาที่ขายอยู่ทั่วไปบ้าง แต่เขามั่นใจว่าประสิทธิภาพมันต้องสูงกว่าอย่างแน่นอน สิ่งเหล่านี้จะต้องสร้างความตื่นเต้นให้กับการประมูลในครั้งนี้อีกแน่ๆ
มองเย่เย่ที่ดูจะมั่นใจเช่นนั้น ซุนเชียนก็ลืมความคิดก่อนหน้าไปก่อน ครั้นเมื่อเขาเริ่มตรวจสอบจริงๆ เขาจึงได้พบว่าเย่เย่นั้นไม่ได้พูดโอ้อวดเกินไปเลย แถมเย่เย่ยังพูดไม่หมดเสียด้วย
“ข้าไม่เคยรู้จักยาลูกกลอนที่เยี่ยมยอดเช่นนี้มาก่อนเลย! ภายในหลิงเฉิงแห่งนี้ บางที่อาจจะมีแค่หอการค้าตันเซียง…ไม่สิ แม้แต่หอการค้าตันเซียงเองก็ไม่สามารถสกัดยาที่มีคุณภาพระดับนี้ได้!”
หลังจากที่ได้พิสูจน์ยาโคตรแกร่งเบื้องต้นแล้ว แววตาของเขาก็ดูจะปรารถนายาเม็ดนี้เอาเสียมากๆ นั่นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเขาพยายามที่จะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมาตลอด ดังนั้นแล้วคงจะบอกได้ว่าซุนเชียนเองก็เป็นผู้ที่แสวงหาความแข็งแกร่งไม่แตกต่างจากคนอื่นเลยเช่นกัน ยาโคตรแกร่งของเย่เย่นี้มันดันเข้าตาเขาจริงๆ ดังนั้นภายในสายตาของซุนเชียนเองจึงแสดงออกถึงความชื่นชมออกมา
“ท่านซุน จริงๆเหรอขอรับ?”
“มันเป็นไปได้อย่างไรน่ะ? ภายในหลิงเฉิงแห่งนี้ยังมีผู้ที่สกัดยาได้ดีกว่าหอการค้าตันเซียงอีกงั้นเหรอ?!”
“ท่านไม่ได้โกหกเราใช่ไหม? ทำไมข้ารู้สึกแปลกจัง?”
คำกล่าวของซุนเชียนนั้นเรียกความประหลาดใจให้แก่คนหมู่มากได้ดี ซึ่งเย่เย่เองก็เฝ้ารอจังหวะนี้มาครู่ใหญ่แล้ว ดังนั้นเขาจึงหันไปพูดกับซุนเชียนตรงๆ “ในเมื่อท่านซุนได้รู้ถึงส่วนประกอบของตัวยานี่ไปแล้ว เพราะงั้นข้าจะให้โอกาสท่านได้เป็นฝ่ายลิ้มลองยาลูกกลอนนี่เอง! ข้าเชื่อว่าท่านจะตัดสินใจได้จากการทดลองด้วยตนเอง!”
“โอ้ ช่างชาญฉลาดจริงๆท่านเย่!”
“มั่นใจจังนะ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะขอเชื่อตามสิ่งที่ท่านซุนตัดสินก็แล้วกัน!”
“ถ้าทำให้ข้าเห็นได้ว่าผลลัพธ์ของมันดีอย่างที่พูดจริงๆ ข้าจะซื้อ 99 เม็ดที่เหลือนั่นเอง!”
เมื่อเย่เย่อนุญาตให้ซุนเชียนสามารถใช้ยานี่ได้เพื่อเป็นการทดลอง บรรยากาศของสถานที่จัดงานก็เริ่มเปลี่ยนไปในทันที นอกจากนั้นผู้คนยังเริ่มหันมาให้ความหวังกับผลลัพธ์ของยาอย่างใจจดใจจ่ออีกด้วย
ซุนเชียนนั้นดูจะชื่นชอบข้อเสนอนี้เป็นอย่างมาก เขารีบหยิบยาที่เพิ่งจะตรวจสอบนั้นขึ้นมาและกินลงไปทันที ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง และดูเหมือนอายุเองก็จะอ่อนลงไปด้วย ทว่าตามกล้ามเนื้อนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยพลังอันเอ่อล้น
“เอาล่ะ ต่อจากนี้แสดงวรยุทธ์ของท่านให้พวกเขาเห็นเลย ว่าตอนนี้ท่านทำอะไรได้บ้าง!”
ได้ยินเช่นนั้นซุนเชียนก็ค่อยๆกำหมัดขึ้นมาและลองชกไปที่เย่เย่ดู
*ซู่ม!*
เสียงลมคำรามดังขณะที่มันกำลังพุ่งผ่านเหนือหัวแขกผู้มาเยือนทั้งหลายจนแขกที่นั่งด้านหน้าสุดนั้น ผมปลิวไสวไปตามแรงลมนั้นด้วยแม้จะไม่มีใครโดนหมัดของซุนเชียนจริงๆ
เย่เย่ยกมือขึ้นรับการโจมตีของซุนเชียนด้วยมือข้างเดียวและให้อีกฝ่ายลองโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดดูอีกเรื่อยๆ แม้ตัวเย่เย่เองจะไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนจากการโจมตีนั้น แต่วรยุทธ์ที่เปล่งออกมาจากตัวซุนเชียนนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
15 นาทีผ่านไป ผลของยาโคตรแกร่งเองก็หมดลงไปด้วย ซึ่งทำให้ซุนชุนแทบจะอ่อนแรงลงไปทันที
ถึงแม้สีหน้าเขาจะซีดถึงเพียงไหน แต่เขาก็ยังคงประคองตัวเองยืนไว้ได้ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าผลข้างเคียงของยานี่น้อยกว่าผลลัพธ์โดยตรงของมันลิบลับเลย
“คราวนี้มีใครอยากจะถามอะไรอีกไหม?”
เย่เย่ให้ซุนเชียนกลับไปยังที่นั่งก่อนจะเอ่ยถามแขกทุกคนอีกครั้ง
“ไม่แล้ว! ช่วยเริ่มการประมูลต่อเลยขอรับ!”
แววตาของเฉินเชียนซิงนั้นดูจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นสุดๆ ตัวเขานั้นอยากจะเป็นจ้าววรยุทธ์มาเนิ่นนานแล้ว ถึงแม้ว่ายาโคตรแกร่งนี่จะไม่สามารถรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้นานก็จริง แต่ตัวเขาก็ชื่นชอบความรู้สึกตอนที่มีจิตวิญญาณการต่อสู้ถูกปลดปล่อยออกมานั้นไม่น้อยเลยทีเดียว
“ก่อนอื่นเลย ก่อนที่ข้าจะประกาศให้ประมูลต่อ ข้าจะขอพูดอะไรที่ดูจะน่าเกลียดเอาไว้ก่อน นั่นคือหากมีใครสงสัยในสิ่งที่ข้าได้พูดถึงสรรพคุณไปหมดแล้ว ข้าจะไม่ให้ทดลองอีก ถ้าอยากจะซื้อท่านต้องเชื่อมั่น แต่ถ้าไม่เชื่อใจข้า ก็เชิญออกไปได้เลย!”
ในทันทีที่เสียงของเย่เย่เงียบลง ความแข็งแกร่งของเขาก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย คนบางกลุ่มที่กำลังส่งเสียงอยู่นั้น เมื่อรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งนี้ พวกเขาก็ค่อยๆเงียบลงไปพร้อมกับหน้าผากที่เริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อด้วย
แม้แต่ซูฉีเจี่ย ผู้ที่ซึ่งเป็นจ้าววรยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพียง 1 เดียวภายในนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากเย่เย่ เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกวรยุทธ์คนอื่นๆเลย เพราะงั้นแล้วพวกเขาทั้งหมดจึงทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ในโอวาทกันอีกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เย่
“ยาโคตรแก่ง 99 เม็ด เริ่มประมูลที่ 70,000 เหรียญทอง! การประมูล..เริ่มได้!”
เมื่อเสียงที่บอกว่าการประมูลเริ่มต้นเงียบลง ทุกคนก็กลายเป็นคนคลั่งยากันไปหมด
“เอาไป 80,000 เหรียญทอง!”
“90,000 เหรียญทอง!”
“ไอ้พวกยากจนทั้งหลาย ดูนี่ ข้าให้ 100,000 เหรียญทองเลย!”
ในท้ายสุดยาโคตรแกร่งก็ถูกผลักราคาขึ้นไปสูงถึง 130,000 เหรียญทอง ซึ่งผู้ที่พามันไปสูงถึงขนาดนี้ก็ไม่ใช่ใคร เขาคือ เฉินเซียนซิง ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในย่านนี้นั่นเอง
ซุนเชียนที่นั่งอยู่ข้างๆเฉินเชียนซิงนั้นได้แต่กุมอกแน่น นั่นเพราะการเงินของเขานั้นไม่ได้มั่งคั่งขนาดเฉินเชียนซิงดังนั้นแล้วเขาจึงได้แต่มองเฉินเชียนซิงเก็บยาเหล่านั้นลงกระเป๋าไป
“ท่านเย่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆด้วย! ไม่มีทางที่ยาเสริมความแข็งแกร่งธรรมดาจะขายได้ราคาสูงถึง 130,000 เหรียญทองแน่ๆ! ดังนั้นสัญชาตญาณข้าไม่ผิดพลาด มีเพียงท่านเย่เท่านั้นที่ช่วยข้าได้!”
เจิ้งซูที่อยู่กับเสี่ยวหยูข้างๆโถงจัดประมูลนั้นตกใจไปกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าแบบสุดๆ และด้วยสิ่งนี้มันก็ทำให้แววตาที่เขามองเย่เย่ดูร้อนแรงขึ้นมามากกว่าเดิมอีก ด้วยความประทับใจนี้ต่อให้ต้องทำงานฟรีต่อไปในหอการค้าหยูเย่ เขาก็ไม่คิดบ่นอะไรในใจแล้ว
ในการที่จะกลับไปยังตระกูลเจิ้งเพื่อล้างแค้นให้ผู้เป็นแม่ รวมไปถึงทวงคืนความยุติธรรมกับเติมเต็มความต้องการสุดท้ายก่อนท่านจะจากไป เจิ้งซูตั้งใจจะยอมแลกให้กับเย่เย่ทุกอย่าง โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเย่เย่จะช่วยเขาปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็พอ
ถึงแม้ว่าการปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เจิ้งซูก็คาดหวังในตัวของเย่เย่อย่างหน้ามืดตามัวด้วยเหตุผลบางอย่างไปเสียแล้ว เขาเชื่อในสัญชาตญาณของเขาเอง และเมื่อครั้งหนึ่งเขาสามารถหาที่ยึดเหนี่ยวได้แล้ว เขาจะไม่ละทิ้งสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้ให้หลุดหายไปอีก
“ต่อไปเป็นการประมูลของชิ้นที่ 3! ผงโรยสร้างเหล็กไม่บุบสลาย! ผงโรยนี่หลังจากที่โดนโรยลงไปบนผิวของอาวุธที่ทำจากเหล็ก มันจะทำให้อาวุธของพวกท่านไม่มีทางที่จะแตกสลายไปได้! ช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางกายภาพให้แก่เหล่านักรบเป็นอย่างมาก ราคาเริ่มต้นที่ 50,000 เหรียญทอง! การประมูล…เริ่มได้!”
สิ่งของที่นำมาประมูลหลักๆในงานประมูลของเย่เย่นั้นล้วนแต่เป็นยาระดับล่างของระบบแลกเปลี่ยนครอบจักรวาลทั้งนั้น ดังนั้นแล้วทุกๆครั้งที่ของประมูลเปลี่ยนหน้ากันขึ้นมา มันก็เหมือนราดน้ำมันลงไปบนกองไฟแห่งความปรารถนาของแขกทั้งหลายที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอของที่คุณภาพสูงระดับนี้ในงานประมูลของเย่เย่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้เตรียมเงินมากันเยอะนัก กระนั้นแล้วพวกเขาก็ได้บทเรียนและกลับตัวกลับใจพร้อมกับพยายามทำให้เย่เย่หันมาเชื่อใจพวกเขาเผื่อการประมูลครั้งหน้าด้วย ในขณะเดียวกันพวกแขกที่สามารถประมูลของที่ต้องการได้นั้นต่างก็พากันอิ่มเอมใจ ของเหล่านี้ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้ใช้มัน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าจะสามารถขายมันในราคาที่สูงขึ้นได้
ต่อให้หอการค้าตันเซียงจะเป็น 1 ใน 5 ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง หลิงเฉิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุ แต่ยาหลายๆอย่างในงานประมูลนี้ก็ลึกล้ำเกินกว่าฝีมือของที่แห่งนี้มากนัก เพราะฉะนั้นค่าของมันย่อมสูงเกินกว่าจะจินตนาการได้อย่างแน่นอน
คนคนเดียวที่ดูจะผิดหวังกับงานนี้เหมือนจะมีแค่ซูฉีเจี่ย ผู้เป็นจ้าววรยุทธ์เพียงคนเดียวในสถานที่แห่งนี้ นั่นเพราะของส่วนใหญ่ที่ถูกนำมาประมูลนั้นล้วนแต่เป็นของระดับผู้ฝึกวรยุทธ์ สิ่งที่สามารถทำให้เขายอมควักเงินได้มีเพียงยาฟื้นฟูพลังระดับสูงที่ เย่เย่แลกมาจากระบบเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
คุณสมบัติที่ทำให้เขาตัดสินใจซื้อยาฟื้นฟูพลังจากเย่เย่แทนที่จะซื้อจากหอการค้าอื่นนั้นก็เพราะเย่เย่บอกไว้ว่ามันมีความสามารถในการฟื้นฟูพลังทั้งหมดในทันที ถึงแม้ว่าซูฉีเจี่ยจะยังไม่ได้ทดลองมัน แต่เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องไม่เชื่อเย่เย่ ดังนั้นเพื่อสิ่งที่ต้องการเขาจึงไม่อ่อนข้อให้ใครทั้งนั้นในการประมูลที่ผ่านมา
เย่เย่ที่เห็นถึงความร้อนแรงในการประมูลนี้ก็ยังแอบประหลาดใจและตื่นเต้น นั่นเพราะมันเกินกว่าสิ่งที่เขาคาดคิดไว้ตั้งแต่แรกเป็นอย่างมาก
เขาเชื่อว่าหลังจากผ่านพ้นวันนี้ไปแล้ว ชื่อเสียงของหอการค้าหยูเย่จะต้องแพร่กระจายไปถึงหอการค้าอื่นๆใน หลิงเฉิงอย่างรวดเร็วแน่ๆ ไม่ว่าหอการค้าหยูเย่ของเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร เย่เย่ก็มั่นใจว่าเขาจะต้องตั้งหลักปักฐานภายในหลิงเฉิงแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน
เมื่อยาทั้งหมดที่นำมาประมูลนั้นหมดลงแล้ว ในที่สุดเขาก็นำของชิ้นสุดท้ายที่เตรียมไว้ขึ้นยังเวทีประมูล นั่นก็คือ เกราะเหล็กดำที่เขาเคยใช้มาก่อนนั่นเอง
“เกราะเหล็กดำ! ชุดนี้ประกอบด้วยทั้งชุดเกราะและดาบที่ทำจากวัสดุเดียวกันนั่นคือ เหล็กสีดำที่ทรงพลานุภาพ! ของสิ่งนี้สามารถใช้ได้ตั้งแต่เหล่าผู้ฝึกตน นักรบและจ้าววรยุทธ์ มีของสิ่งนี้อยู่ทั้งพลังโจมตีและพลังป้องกันก็หมดห่วง ซึ่งข้ายืนยันได้ด้วยตัวข้าเองที่เคยใช้มันมาก่อน! ข้าขอเปิดประมูลที่ 180,000 เหรียญทอง และการประมูล…เริ่มได้!”
สิ้นเสียงประกาศจากเย่เย่ ทั่วทั้งโถงประมูลก็เงียบลงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเกิดเสียงครึกโครมมาอย่างฉับพลัน
“สามารถใช้ได้จนถึงจ้าววรยุทธ์เลยนี่มันไม่แย่เลยไม่ใช่หรือไงน่ะ?”
“นี่มันสมบัติหายากชัดๆ! ข้าจะต้องซื้อเกราะเหล็กดำนี่ให้ได้!”
“ตลกน่า นี่เจ้าไม่เห็นสายตาของคนอื่นๆที่กำลังเปล่งประกายอยู่หรือไง? คิดว่าเจ้าจะมีโอกาสงั้นเหรอ!”
หากจะให้พูดง่ายๆถึงสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า อาวุธที่ทรงพลังในระดับผู้ฝึกตนนั้นมีน้อยมาที่จะสามารถนำไปใช้หลังจากที่ปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้ และถึงแม้จะมีของแบบนี้อยู่ก็จริง ของเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะหากันมาใช้ได้ง่ายๆ
ดังนั้นแล้วเมื่อพวกเขาได้ยินว่าเกราะเหล็กดำนี้เหมาะกับทั้งผู้ฝึกฝนจนถึงจ้าววรยุทธ์ พวกเขาจึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และท่ามกลางพวกเขา ซูฉีเจี่ยนั้นดูจะเป็นผู้ที่ต้องการของสิ่งนี้มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงเสนอราคาของเขาออกไปเป็นคนแรกเลย
“250,000 เหรียญทอง! ยกมันให้ข้า ซูฉีเจี่ย ผู้นี้เถิด แล้วข้าจะขอบคุณพวกท่านเป็นอย่างมาก!”
หลังจากที่ซูฉีเจี่ยตั้งราคาไปแล้ว ทั่วทั้งโถงก็ตกอยู่ในภวังค์ของความเงียบงันอีกครั้ง ทว่าไม่นานก็มีผู้กล้าอีกหลายคนเสนอราคากลบคำร้องขอของซูฉีเจี่ยไป
“260,000 เหรียญทอง!”
“280,000 เหรียญทอง!”
“300,000 เหรียญทอง!”
ด้วยการปั่นราคาระดับนี้ สีหน้าของซูฉีเจี่ยที่ได้ยินนั้นก็บิดเบี้ยวขึ้นมาทันที แต่เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความช่วยไม่ได้