ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 58 เข้าร่วมการประมูล
บทที่ 58
เข้าร่วมการประมูล
ภายในหลิงเฉิงแห่งนี้ บรรยากาศภายในเมืองมันค่อยๆหนักแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะไว้ชีวิตจินหยูแห่งปราการหลิงหยวนที่ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในเมืองนี้ก็จริง แต่ในฐานะที่พวกเขานั้นไม่เคยพบกับความสูญเสียที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อน หลังจากที่ได้รู้ว่าเย่เย่นั้นเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของปราการหลิงหยวนรวมถึงฆ่าศิษย์ของที่แห่งนี้ไป มันทำให้เหล่าศิษย์ภายในปราการที่ล้วนแต่สามัคคีกันต่างพากันสาปแช่งเย่เย่พร้อมทั้งพร่ำบอกว่าเขาต้องชดใช้หนี้ก้อนใหญ่ที่ได้ก่อนนี้ด้วยความโกรธ
อย่างไรก็ตาม ถึงพวกเขาจะพูดเรื่องแก้แค้นกันขนาดไหน แต่ก็ไม่มีใครที่ลงไม้ลงมือจริงๆ นั่นก็เพราะคนเหล่านี้ก็เหมือนกับจินหยูกันหมดตอนนี้ ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานพบปะหลิงหยวนที่กำลังจะมาถึงกันหมด ไม่มีใครอยากจะให้ชื่อเสียงของปราการหลิงหยวนต้องป่นปี้ไปมากกว่านี้อีก ดังนั้นแล้วอะไรก็ตามที่จะทำให้การฝึกฝนของพวกเขาต้องล่าช้า มันจะถูกนำกลับไปคิดอีกทีหลังงานนี้ผ่านพ้นไปแล้ว
รวมไปถึง โจวซง ผู้เป็นผู้ปกครองปราการหลิงหยวนที่แท้จริงเองก็ดูจะไม่ได้นำเรื่องนี้มาพูดหรือป่าวประกาศอะไรต่อสาธารณชนด้วย มีเพียงฝ่ายอื่นๆที่ถือเป็น 1 ใน 5 ฝ่ายยิ่งใหญ่ประจำหลิงเฉิงเท่านั้นที่รู้ว่าโจวซงนั้นกำลังทุกข์ระทมยิ่งกว่าใคร เพราะฉะนั้นเขาไม่มีเวลาว่างมาแก้แค้นให้กับศิษย์ที่ตายไปหรอก
ดังนั้นแล้วหลังจากนั้นไม่กี่วัน ผู้คนที่คิดว่าปราการ หลิงหยวนคงจะกระทำการใหญ่แน่ๆกลับต้องประหลาดใจเมื่อพวกเขาเห็นว่าเย่เย่ยังคงมีชีวิตอยู่ดีมีสุข ถึงแม้ว่าทางหอการค้า หยูเย่นั้นจะบรรยากาศดิ่งลงบ้างเพราะความกลัวของคนอื่นที่ไม่กล้าเข้าร้านเนื่องจากเรื่องที่เย่เย่ก่อกับปราการหลิงหยวนไว้ กระนั้นตัวหอการค้าก็ยังคงเปิดทำการปกติเหมือนดั่งที่เป็นมาตลอดโดยไม่มีท่าทีว่าจะปิดตัวลงเลย
เย่เย่เองหลังจากที่รอมาหลายวันและพบว่าทางฝั่งปราการหลิงหยวนไม่ได้ส่งคนมาล้างแค้น เขาก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาคิดมากอยู่แล้ว เย่เย่นั้นทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับการฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธโดยหวังจะให้กระบวนท่านี้สำเร็จเป็นระดับสูงในเวลาอันสั้นเพื่อที่จะได้เพิ่มพลังโจมตีของเขาได้อีกมากเมื่อฝึกสำเร็จแล้ว
เรื่องที่เขาและปราการหลิงหยวนเป็นศัตรูกันนั้น เกือบทุกฝ่ายใหญ่ๆรู้กันเกือบหมดแล้ว ซึ่งเย่เย่นั้นยังไม่รู้เรื่องนี้ เอาเข้าจริงแล้วเพราะฝ่ายเหล่านี้ต่างรู้เรื่องกันผ่านสายลับทั้งหลายที่ถูกส่งออกไป และเมื่อรู้ว่าเย่เย่เปิดศึกกับปราการหลิงหยวนไปแล้ว พวกเขาก็ยิ่งให้ความสนใจในเย่เย่มากขึ้นไปอีกซึ่งแม้แต่ปราการหลิงหยวนที่เป็นคู่กรณีเองก็ยังต้องคอยระวังเย่เย่ ณ เวลานี้ไว้ เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าเย่เย่มีศักยภาพเพียงพอแล้ว ต่อให้จะต้องเป็นศัตรูกับปราการหลิงหยวน พวกเขาก็พร้อมที่จะเชิญ เย่เย่เพื่อไปเข้าร่วมกันตนอยู่ดี
และด้วยการที่พวกเขาให้ความสนใจ มันเลยทำให้รอบๆหอการค้าหยูเย่นั้นมีแต่คนน่าสงสัยเต็มไปหมด ถึงแม้ว่าเสี่ยวหยูจะไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร กระนั้นนางก็ปฏิบัติกับคนเหล่านี้ด้วยความนอบน้อมเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ขัดหูขัดตาใครซึ่งจะกลายเป็นการสร้างศัตรูเพิ่ม
1 ในคนเหล่านี้คือชายแก่ชุดซอมซ่อที่ปฏิเสธที่จะออกจากหอการค้าหยูเย่ เสี่ยวหยูเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้เขาอยู่ไปพักใหญ่ๆจนกระทั่งเขาจากไปเอง
ไม่กี่วันต่อมา เสวี่ยหยูเข้ามายังหอการค้าหยูเย่อีกครั้ง นางสังเกตได้ถึงความเงียบและขาดชีวิตชีวิาลงไปของหอการค้า หยูเย่แห่งนี้ ทว่านางก็ไม่ได้ซอกแซกอะไรจากเสี่ยวหยูและเย่เย่ การที่นางมาที่นี่ก็เพราะว่าวันนี้ถึงวันที่งานประมูลที่เหล่าหอการค้าขนาดเล็กร่วมกันจัดขึ้นมาแล้ว
แม้ว่าเย่เย่จะไม่ได้สนใจอะไรในงานนี้นัก ทว่าเพราะเขาได้ให้สัญญากับเสวี่ยหยูไว้แล้ว การเป็นลูกผู้ชายที่ดีต้องไม่ผิดคำพูด เพราะงั้นเมื่อเสวี่ยหยูมารับตัวไป เขาก็ทำการห่อของที่จะนำไปประมูลและขึ้นรถเกวียนไปกับนางเพื่อไปยังสถานที่จัดงานอย่างว่านอนสอนง่าย
ทางด้านเสี่ยวหยูที่เห็นว่าเย่เย่กับเสวี่ยหยูนั้นจะดูคุ้นเคยกันเป็นพิเศษ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักอกหนักใจและพ่นลมหายใจออกมาทางปาก อีกฟากหนึ่งซูฉีเจี่ยนั้นก็กำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับว่าไม่อยากข้องเกี่ยวกับบรรยากาศที่ละเอียดอ่อนนี้
ฝั่งเย่เย่ เขาและเสวี่ยหยูได้ไปถึงหอคอยประมูลที่ซึ่งเป็นที่จัดงานประมูลครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อทั้งสองปรากฏตัวขึ้นที่หลังเวทีประมูล แววตาของเหล่าเจ้าของกิจการหอการค้าขนาดเล็กทั้งหลายต่างก็หันมามองเย่เย่ด้วยความอิจฉา นั่นเพราะหอการค้าตงหยวนของเสวี่ยหยูนั้นได้ชื่อว่าเป็น 1 ในหอการค้าขนาดเล็กที่ดีที่สุด ในขณะที่หอการค้าหยูเย่ของเย่เย่นั้นเป็นเพียงหอการค้าเปิดใหม่ ซึ่งพวกเขานั้นคิดว่าเย่เย่ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้รับความไว้วางใจจากเสวี่ยหยูขนาดนี้
“นายหญิงเสวี่ยหยู ในที่สุดก็มาถึงแล้วสินะ พวกเรากำลังรออยู่เลย”
ไม่นานหลังจากที่เสวี่ยหยูปรากฏตัวขึ้น ชายผู้มีเคราก็ปลีกตัวเขามาหานางพร้อมกับเอ่ยทักทายด้วยความอบอุ่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความจงใจหรือไม่ เขาคนนี้ดูเหมือนจะไม่เห็นเย่เย่ที่มาพร้อมกับเสวี่ยหยูเลยราวกับว่าเย่เย่ไม่มีตัวตนเสียอย่างนั้นแหละ
“ท่านประธานตงเหริน ขอโทษที่ทำให้พวกท่านต้องรอจริงๆ นี่ท่านเย่ เจ้าของกิจการหอการค้าหยูเย่ที่ข้าได้ชวนเขามาร่วมงานประมูลของพวกเราด้วย”
เสวี่ยหยูหันไปทักทายอีกฝ่ายกลับด้วยความสุภาพและแนะนำเย่เย่ให้คนเหล่านี้รู้จักโดยที่หวังว่าเย่เย่กับเหล่าเจ้าของหอการค้าแห่งอื่นๆจะได้รวมกันเป็นปึกแผ่นได้
หอการค้าของตงเหรินและเสวี่ยหยูนั้นนับว่ามีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกันมาก จึงถูกยกย่องให้เป็นหอการค้าที่ดีที่สุดท่ามกลางหอการค้าขนาดเล็กไปโดยปริยาย พวกเขาเป็นที่จับตามองของคนอื่นๆ อนึ่งก็เพราะคนเหล่านี้หวังจะได้ร่วมงานกับทั้งสองหอการค้าที่ดีที่สุดนี้ด้วย
หากเย่เย่สามารถผูกมิตรกับตงเหรินได้ ต่อให้หอการค้าอื่นๆไม่พอใจอะไรในตัวเขา พวกเขาก็จะไม่กล้าที่จะแสดงท่าทีนั้นออกมาง่ายๆ และในอนาคต นางก็เชื่อว่าหอการค้าหยูเย่ก็จะได้คู่ค้ารวมถึงช่องทางในการพัฒนามากขึ้นไปอีก
“ท่านเย่ ข้าได้ยินเรื่องของท่านมามากมายนัก! ชื่อของท่านเป็นที่กล่าวขานจนหนาหูพวกเราอยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามพวกเรานั้นฝักใฝ่ความสงบสุขในการทำธุรกิจซึ่งกันและกัน คนที่คอยแต่จะฆ่าคนและยั่วยุคนอื่นน่ะ ไม่เหมาะกับธุรกิจของพวกเราหรอกนะ ถึงแม้ว่าท่านเย่จะมีชื่อเสียงแพร่กระจายไปทั่ว หลิงเฉิงได้ก็จริง แต่ชื่อเสียงของท่านที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้น่ะ ไม่เป็นผลดีกับหอการค้าหยูเย่ของท่านหรอกนะ!”
หลังจากที่เสวี่ยหยูแนะนำตัวเย่เย่ให้ตงเหรินฟัง ตงเหรินก็มองไปยังเย่เย่ ทว่าเขานั้นกลับไม่ได้มีชื่นชมเย่เย่แต่อย่างใด กลับกันเขานั้นก็เหมือนกับหอการค้าอื่นๆที่มองว่าเย่เย่นั้นเปรียบเสมือนแกะดำในหมู่พวกเขาเอง
ถึงเย่เย่จะมีวรยุทธ์ที่จัดว่าอยู่ในระดับสูงท่ามกลางเหล่าเจ้าของคนอื่นๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ประธานหอการค้าคนอื่นๆนั้นเกรงกลัวเย่เย่เลย นอกจากนั้นการที่เย่เย่เป็นศัตรูกับปราการหลงหยวนอย่างเปิดเผยเช่นนี้ พวกเขาเองต่างก็คิดกันแค่ว่า “หอการค้าแห่งนี้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?” เพราะงั้นแล้วเหล่าหอการค้าขนาดเล็กที่มารวมตัวกันในวันนี้จึงไม่ได้แสดงความเคารพเย่เย่แต่อย่างใด
ตงเหรินที่เห็นเสวี่ยหยูนั้นคอยตามเย่เย่ไปทั่วทุกหนทุกแห่งก็ยิ่งเกิดความอิจฉามากขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าหอการค้าตงหยวนนั้นเข้าร่วมทุนส่วนหนึ่งเพื่อที่จะพัฒนาหอการค้าหยูเย่และทำทุกอย่างร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ กระนั้นแล้วตงเหรินก็ไม่เคยเห็นเสวี่ยหยูสนใจชายใดมาก่อน มันจึงทำให้เขาไม่มีความสุขเสียเท่าไหร่เวลาเห็นภาพเช่นนี้
“ธุรกิจก็คือธุรกิจ ส่วนตัวข้าจะเป็นอย่างไรมันก็เรื่องของข้า ข้ามาวันนี้ก็เพื่อร่วมการประมูล ดังนั้นแล้วก็ช่วยอย่าพูดถึงเรื่องอื่นด้วย! มันจะดีกว่านี้ถ้าท่านรีบๆเปิดการประมูลเสียที”
แต่เดิมเย่เย่ก็ไม่ได้กระตือรือร้นอยากจะมาร่วมงานประมูลนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยากจะเป็นมิตรอะไรกับหอการค้าพวกนี้ และยิ่งได้ฟังคำพูดของตงเหริน เขาก็ตอกกลับไปด้วยท่าทีผ่อนคลายและน้ำเสียงปกติของเขาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร
สีหน้าของเสวี่ยหยูนั้นดูจะอึดอัดเล็กน้อย แต่ยังไงเสียนางก็รู้ถึงบุคลิกของเย่เย่อยู่แล้ว เพราะงั้นนางจึงรู้ดีด้วยว่าการที่จะให้เย่เย่พูดดีกว่านี้มันเป็นเรื่องยาก แต่กับตงเหรินและคนอื่นๆที่ได้ยินนั้นไม่ใช่ พวกเขารู้สึกอยากตีตัวออกห่างเย่เย่มากกว่าเดิมเสียอีก ถ้าหากเสวี่ยหยูไม่อยู่ ณ ที่นี้ด้วยบางทีเย่เย่อาจจะถูกขับไล่ออกไปแล้วก็ได้
ตงเหรินมองเย่เย่ด้วยแววตาที่ไร้ความเกรงกลัวก่อนจะสลับไปมองห่อสิ่งของโทรมๆในมือของเย่เย่ และทันใดนั้นรอยยิ้มเย้ยหยั่นก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
เขาหยุดทะเลาะกับเย่เย่และหันหน้าไปทางเสวี่ยหยูด้วยความตื่นเต้น “นายหญิงเสวี่ยหยู ทุกๆครั้งก่อนที่เราจะได้เริ่มการประมูลร่วมกัน พวกเราจะนำของที่มีมูลค่ามากที่สุดที่นำมาประมูลมาแบ่งกันเชยชมก่อนที่มันจะถูกประมูลไปในราคาสูงเสียดฟ้าในงานประมูลที่กำลังจะเริ่ม เช่นนั้นแล้วข้าขอดูได้หรือไม่ว่าท่านนำอะไรมาประมูลในครั้งนี้?”
ไม่รอให้เสวี่ยหยูตอบ ตงเหรินก็นำของที่เขานำมาประมูลขึ้นมาก่อน สิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นขวดแก้วใสๆเล็กๆ และเมื่อนำมันออกมาแล้วเขาก็ดูจะภูมิใจที่จะนำเสนอมันเอาเสียมากๆ “สิ่งนี้คือผงทองคำสกัดครับ ข้าเชื่อว่านี่น่าจะต้องทำราคาได้สูงในการประมูลแน่ๆ!”
ภายในขวดแก้วนั้นมีของเหลวที่เปล่งประกายแสงสีทองอยู่ครึ่งขวด แสงสีทองเหล่านี้เปล่งประกายราวกับเป็นเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ซึ่งด้วยความที่ดูเลอค่านี้เองมันก็ทำให้ประธานหอการค้าคนอื่นๆต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน
“อะไรกันน่ะ? นั่นมัน ทองคำแท้เลยหรือครับ?”
“สมเป็นท่านตงจริงๆ!”
“แบบนี้เราก็ได้ผู้ชนะรายใหญ่ในการประมูลครั้งนี้แล้วไหมครับเนี่ย?”
เมื่อทุกๆคนเห็นประกายแสงสีทองที่กำลังเปล่งแสงของตัวมันเองอยู่ในขวดแก้ว ภายในแววตาเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความอิจฉา นั่นเพราะทองคำแท้นั้นถือเป็นวัตถุดิบที่หายากในระดับหนึ่ง เพราะงั้นมันจะต้องเป็นที่หมายตาของผู้ร่วมประมูลอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าปริมาณที่อยู่ในขวดแก้วนั้นจะมีเยอะมากมายนัก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเพียงเท่านี้ก็ขายได้เฉียดๆ 300,000 เหรียญทองแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่เหล่าประธานหอการค้าคนอื่นๆจะอิจฉาตงเหริน ขนาดเสวี่ยหยูผู้ที่อยู่ข้างๆเย่เย่ยังต้องตกตะลึงกับผงทองคำแท้ขวดนี้
“อย่างที่คิดไว้จริงๆ ท่านตงเนี่ยมีทักษะในการหาของล้ำค่าเหนือกว่าข้าจริงๆด้วย เช่นนี้แล้วไม่ว่าใครก็คงจะเทียบกับสิ่งที่ท่านนำมาประมูลไม่ได้แล้วกระมัง แม้แต่ข้าเองก็ไม่ได้เตรียมของดีขนาดนี้มาซะด้วยสิ”
เสวี่ยหยูพูดขณะที่หยิบตำราที่ชื่อว่า ดัชนีเคลื่อนดารา ออกมา ซึ่งนางตั้งใจจะนำตำราเล่มนี้เข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ด้วย ดัชนีเคลื่อนดารานั้นถือเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งสำหรับเทพยุทธ์ แต่ถึงแม้ว่ามันจะแข็งแกร่งและทรงพลังขนาดไหน แต่มันก็ยากที่จะฝึกฝน ดังนั้นแล้วมันจึงเทียบกับผงทองของตงเหรินไม่ได้เลย
นอกจากตงเหรินและเสวี่ยหยูแล้ว เจ้าของหอการค้าคนอื่นๆต่างก็นำของที่จะนำมาประมูลออกมาอวดโฉมให้ดูกันหมด แต่กระนั้นก็ยังไม่มีของของใครที่จะมีมูลค่ามากไปกว่าผงทองของตงเหรินแล้ว เพราะงั้นแล้วบนใบหน้าของตงเหรินจึงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านเย่เพิ่งจะมาร่วมประมูลกับเราเป็นครั้งแรกนี่นา ถ้ายึดตามกฎของพวกเรา ท่านก็ต้องนำของที่จะนำมาประมูลออกมาให้พวกเราดูด้วยนะ ไม่งั้นจะถือว่าดูถูกงานประมูลของพวกเรา แต่ถ้าท่านคิดว่าของของตนมันไม่น่าภิรมย์เท่าพวกข้าจะไม่เอาออกมาข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร ท่านยังร่วมงานกับพวกเราได้อยู่นะ!”
ตงเหรินปูสิ่งนี้มานานแล้ว เขาน่ะต้องการจะเยาะเย้ย เย่เย่ให้ถึงที่สุด ในความคิดของเขานั้น หอการค้าที่เพิ่งตั้งตัวอย่างหอการค้าหยูเย่นั้นไม่มีทางมีของดีๆมาประมูลได้แน่นอน ยิ่งเย่เย่นำของดีไปประมูลเมื่อครั้งที่จะสร้างชื่อเสียงให้หอการค้าของตนด้วยแล้ว ตอนนี้ภายในหอการค้าคงจะไม่เหลือสิ่งดีๆแล้วแน่ๆ สิ่งที่เขาต้องการก็คือ ทำให้เย่เย่อับอายที่ไม่สามารถยืนเสมอคนอื่นๆในแวดวงการค้าเช่นนี้ได้นั่นแหละ
เมื่อตงเหรินพูดจบ เสวี่ยหยูก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมา ซึ่งนี่ก็ทำให้ตงเหรินรู้สึกใจสู้ขึ้นมาอีก เพราะเขาคิดว่าเสวี่ยหยูเองก็จะต้องผิดหวังในตัวเย่เย่แน่ๆ แต่เขานั้นไม่รู้เลยว่าที่เสวี่ยหยูไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมานั้นก็เพราะกำลังมั่นใจในตัวเย่เย่แบบหมดใจอยู่ต่างหาก
เพราะเย่เย่ได้บอกเสวี่ยหยูไว้ก่อนแล้วว่าเขานั้นคือนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสูงที่สกัดยาวรยุทธ์ที่เติบใหญ่ขึ้นมาเพื่อพัฒนาวรยุทธ์ของตนเอง เอาจริงๆถึงต่อให้เย่เย่ไม่เคยพูดเรื่องนี้ เสวี่ยหยูก็ยังคงเชื่อในการรับมือของเย่เย่อยู่ดีว่าไม่ใช่คนที่จะแพ้ใครง่ายๆในทุกๆเรื่อง
เย่เย่ที่ฟังตงเหรินพูดมาพักใหญ่ก็แสยะยิ้มเหยียดหยามขึ้นมาบ้าง เขาไม่ได้เปิดห่อวัสดุของเขาในทันที กลับกันเขากลับเอ่ยยั่วยุตงเหรินแทนด้วย “น่าเสียดายที่วันนี้ของของข้านั้นมีมูลค่าสูงกว่าผงทองของท่านเสียอีก เอาอย่างนี้มั้ย ถ้าท่านประธานคงไม่เชื่อ พวกเรามาพนันกันเป็นไง?”