ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 70 ก้าวข้ามขีดจำกัด
บทที่ 70
ก้าวข้ามขีดจำกัด
คำพูดถากถางของผู้เฒ่าเจิ้งเฉิงนั้นไม่ได้เกินจริงไปเสียทีเดียว เพราะจากประสบการณ์ทั้งชีวิตของเขานั้นไม่มีศาสตราใดในใต้หล้าที่จะช่วยให้เด็กที่เพิ่งบรรลุจ้าววรยุทธ์เมื่อวานซืนอย่างเจิ้งซูสามารถต่อกรกับเขาได้ทันทีหลังจากสวมใส่มันโดยปราศจากการฝึกซ้อม และประสบการณ์ของตัวผู้ใส่เอง
แม้แต่ผู้คนในเมืองหลิงเฉิงเองก็เชื่อว่ายุทโธปกรณ์ที่มีคุณสมบัติเลิศเลอเพียงนั้นเป็นแค่นิทานปรัมปรา หรือไม่ก็โฆษณาเรียกลูกค้าที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริงของหอการค้าต่างๆเท่านั้น
ดังนั้นในสายตาเจิ้งเฉิง และผู้เฒ่าทั้งสี่ เจิ้งซูที่สวมเกราะทอง และมีท่าทีอวดเบ่งนั้นเป็นแค่เด็กอมมือที่เห่อของเล่นใหม่ที่แม่ซื้อให้ก็เท่านั้น
“เดิมทีที่ข้ายื่นข้อเสนอเป็นพันธมิตรกับหอการค้าหยูเย่ เพราะข้าเชื่อว่าหอการค้าหยูเย่นั้นจะนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูลเจิ้งในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ถึงกระนั้นแม้ตระกูลเจิ้งจะเป็นตระกูลที่เล็กๆในเมืองหลิงเฉิง แต่ก็มีขนาดใหญ่กว่าหอการค้าหยูเย่อยู่มาก ข้าจึงเห็นว่าเราควรให้โอกาส และเวลาแก่พวกเขา แต่พวกท่านก็ไม่รับฟังข้าเลยสักนิด! ถ้าอย่างนั้นเราจะยึดถือตามกฎตระกูล หากท่านเฉิงเอาชนะข้าได้ เจิ้งซูผู้นี้จะยอมสละตำแหน่งแต่โดยดี !”
หลังจากที่เจิ้งซูสวมเกราะทะลวงสวรรค์ได้ไม่นาน ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มพูนอย่างมหาศาลราวกับว่าเขาจะไม่พ่ายแพ้ให้ผู้ใดอีกแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี เจ้าเรียกร้องเองนะ อย่ามาโกรธทีหลังก็แล้วกัน !”
เจิ้งเฉิงนั้นรู้สึกกำลังโดนดูถูกเหยียดหยามโดยเด็กรุ่นราวคราวหลาน สีหน้าของเขาจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานด้วยความโกรธพร้อมกับเดินเข้าหาเจิ้งซูอย่างไม่รีรอ
เย่เย่ และซูฉีเจี่ยได้ถอยออกมาจากบริเวณนั้น และปล่อยให้เรื่องภายในตระกูลเจิ้ง
ผู้เฒ่าทั้งสี่ที่เหลือได้แต่อยู่ดูด้วยความสงบ โดยไม่ได้ห้ามปรามใดๆทั้งสิ้น ในความคิดของพวกเขาเจิ้งซูนั้นไม่มีทางชนะได้เลย และพวกเขาก็คิดว่าเหมาะสมแล้วที่จะให้เจิ้งเฉิงสอนมวยแก่เด็กโอหังคนนี้เสียบ้าง แต่หลังจากที่พวกเขาทั้งสองได้ประมือกันเพียง 1 กระบวนท่า เหล่าผู้เฒ่านั้นก็ต้องเปลี่ยนความคิดของพวกเขาที่มองเจิ้งซูเสียใหม่
เจิ้งซูกระโจนเข้าใส่เจิ้งเฉิงอย่างไม่เกรงกลัว เขาเหวี่ยงดาบสีม่วงในมือของเขาฟันไปที่ศัตรูตรงหน้าอย่างรวดเร็ว และทรงพลัง
เจิ้งเฉิงเห็นดังนั้นก็ตั้งรับด้วยกระบวนท่าสองมือประกบดาบอย่างรวดเร็ว โดยหวังจะปลดอาวุธของเจิ้งซู และจบการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุด เมื่อฝ่ามือของเจิ้งเฉิงสัมผัสกับคมดาบเขาก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่กล้าแข็งพรั่งพรูออกมาจากตัวดาบ ทำให้เขาถึงกับต้องชะงัก และถอยกลับไปตั้งหลักใหม่
“ปะ..เป็นไปไม่ได้!?”
นัยน์ตาของเฒ่าชราเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจอย่างขีดสุด เจิ้งซูไม่รอให้ศัตรูได้ตั้งหลัก เขาพุ่งเข้ามาพร้อมกวัดแกว่งดาบหมายคร่าชีวิตของชายชรา
ฟู่วว ฟู่ววว
เจิ้งซูฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง จิตสังหารแผ่ออกมาจากคมดาบ ค่อยๆปกคลุมร่างของเจิ้งเฉิงราวกับอสรพิษที่รัดเหยื่อของมันอย่างไร้ความปรานี แม้ว่าจิตสังหารนั้นจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่สำหรับเจิ้งเฉิงที่คลุกคลีกับการฝึกฝนนั้นสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่คืบคลานเข้ามาหาตน
ใบหน้าเจิ้งเฉิงที่เคยปรามาสวรยุทธ์ของเจิ้งซูนั้นเริ่มซีดเผือดด้วยความหวาดผวา ในตอนนี้เขาทำได้เพียงตั้งรับ และหลบหลีกความตายที่อยู่เบื้องหน้าอย่างสุดกำลัง
“ท่านเฉิง ท่านทำได้แค่นี้หรือไง!? ความโอหังเมื่อครู่ของท่านหายไปไหนหมดเสียล่ะ?”
เจิ้งซูไม่ให้เวลาเฒ่าเฉิงหายใจหายคอ เขาลงมือโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยกระบวนท่า และฝีปาก
เจิ้งซูดูเหมือนว่าจะหลงระเริงไปกับความสามารถที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดของตน ผู้เฒ่าเฉิงในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ในกำมือของเจิ้งซูที่กำก็ตายคลายก็รอดเลยสักนิด
ทันใดนั้นเองชายชราก็ไม่ยอมโดนเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียว เขารวบรวมความกล้า และโต้กลับด้วยกระบวนท่าลับของเขา
เคร้ง!!
เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหว ก่อให้เกิดประกายไฟ และฝุ่นตลบไปทั่วทั้งบริเวณ ทันใดนั้นเองก็มีแสงทองเรืองรองเปล่งประกายแทรกฝุ่นหนาทึบออกมา ปรากฏให้เห็นร่างของชายชราที่ปกคลุมไปด้วยทองอร่ามตั้งรับการโจมตีอันหนักหน่วงของเด็กหนุ่มด้วยกำปั้นเปลือยเปล่า
การตั้งรับอันไร้เทียมทานของเขาไม่ได้ทำให้ร่องรอยแห่งความกลัวบนใบหน้าของเขาหายไปแต่อย่างใด
หลังจากที่เฒ่าเฉิงตั้งรับการโจมตีของชายหนุ่มไปหลายครั้ง แม้มันไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บแม้แต่น้อยเนื่องจากเขางัดกระบวนท่าก้นหีบของเขาออกมาป้องกัน แต่จู่ๆวรยุทธ์อื่นๆของเขาก็ทื่อลงอย่างไม่น่าเชื่อ การฟาดฟันของดาบสีม่วงของเจิ้งซูได้ทิ้งร่องรอยสีขาวโพลนไว้บนร่างทองของเจิ้งเฉิง
ผู้อาวุโสทั้งสี่นั้นดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับสัญลักษณ์สีขาวบนร่างของเจิ้งเฉิง หากโดนตีตรา
สีขาวลงบนร่างกายเป็นจำนวนหนึ่ง วรยุทธ์ทั้งหมดที่สั่งสมมาของผู้นั้นจะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
การโจมตีของเจิ้งซูแม้ไม่สามารถหลั่งเลือดของศัตรูออกมาได้สักหยด แต่เขาก็ได้ผนึกกระบวนท่าของผู้เฒ่าเฉิงลงไปทีละน้อยๆ จากผลลัพธ์เกินคาดของเกราะทะลวงสวรรค์ และดาบผนึกอสุรา
สีม่วงของเขา ทำให้เขาพึงพอใจ และอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มชั่วร้ายออกมา ก่อนที่จะโจมตีที่เจิ้งเฉิงอีกครั้งอย่างไร้ความปรานี
“เจ้าชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้วนะ!?”
เจิ้งเฉิงเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่นาน คำรามออกมาด้วยเสียงอันกึกก้อง เขารวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่เขามีโจมตีสวนกลับ หลอกล่อว่าจะโจมตีลงไปที่คมดาบเพื่อหวังหักดาบทิ้ง
เจิ้งเฉิงโต้กลับอย่างฉับพลันโดยที่เจิ้งซูไม่ได้คาดคิด เขาไม่ทันได้ตั้งตัว จึงรีบชักดาบสีม่วงของเขาขึ้นมาตั้งรับในทันที ชายแก่ที่รอจังหวะนี้มานาน เขาเก็บกำปั้นที่จะโจมตีไปที่ใบมีด และใช้ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งประทับลงไปที่กลางอกของเจิ้งซูเข้าอย่างจัง
ตู้มมมมมม!!
เจิ้งซูรับการโจมตีนี้เข้าเต็มๆ เขาถึงกับเสียหลักกระเด็นออกไป ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาอีกครั้งโดยไร้รอยขีดข่วนใดๆทั้งสิ้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด แม้มันจะเล็กน้อยก็ตาม
“นี่มันอะไรกัน? พลังของเกราะนี่?”
เจิ้งซูเริ่มเข้าใจสรรพคุณของเกราะสีทองอร่ามนี้ขึ้นมาทันที สีหน้าของเขาก็แสดงออกมาถึงความตื่นเต้น พลังป้องกันของเกราะทะลวงสวรรค์นี้เหลือเชื่อพอๆกับความสามารถของดาบผนึกอสุราของเขาเลย และต่อให้มีเจิ้งเฉิงอีกนับสิบ นับร้อยคนก็ไม่สามารถโค่นเขาลงได้อย่างแน่นอน
“บะ..บ้าน่า!?”
“มันมีอยู่จริงงั้นเหรอ ศาสตราวุธที่ทำให้ผู้ใช้วรยุทธ์ก้าวข้ามขีดจำกัดของตนทันทีเมื่อสวมใส่
ได้น่ะ!?”
“โฮ่ ดูเหมือนว่าพวกเราจะประเมินหอการค้าหยูเย่ต่ำเกินไปสินะ!”
เมื่อผู้อาวุโสทั้งสี่ได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อขึ้นตรงหน้า พวกเขาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง แม้แต่ซูฉีเจี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆเย่เย่ก็อดที่จะอยากครอบครองเกราะนั้นเสียไม่ได้ ถึงแม้ชุดเกราะเหล็กดำของเขาถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเกราะสุดแกร่งในใต้หล้า แต่มันก็เทียบกับเกราะทะลวงสวรรค์ และดาบผนึก อสุราของเจิ้งซูไม่ได้เลย
หลังจากที่ความสามารถที่แท้จริงของศาสตราวุธทั้งสองเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็ไม่มีใครกล่าวถึง เจิ้งเฉิงเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อเฒ่าเฉิงรู้ดีว่าเขาไม่สามารถต่อกรกับเจิ้งซูได้ จิตใต้สำนึกของเขาก็ได้ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้เสียแล้ว แต่กระนั้นตัวเขาที่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรียิ่งกว่าใครๆ ก็ยังฝืนยืนหยัดสู้ต่อไป ถึงแม้นั่นจะเป็นวาระสุดท้ายของเขาก็ตาม
“ตายซะ!!”
เจิ้งซูกระโดดขึ้นไปบนฟ้า พร้อมกับกำดาบสีม่วงด้วยมือสองข้างของเขาก่อนที่จะฟาดฟันลงมาที่เฒ่าชรา วิถีการฟันของเขานั้นราวกับอสนีบาตที่ผ่าลงมาบนต้นไม้ใหญ่ก็มิปาน การโจมตีครั้งนี้ของเขารุนแรงกว่าครั้งไหนๆ เจิ้งเฉิงที่ถูกผนึกวรยุทธ์ไปเกือบหมดสิ้นได้แต่ยืนรอรับความพ่ายแพ้
เปรี้ยงงง!!
แม้ว่าเจิ้งเฉิงนั้นจะรวบรวมพละกำลัง และวรยุทธ์ของเขาที่เหลือเพียงน้อยนิดเพื่อป้องกันตน แต่ครั้งนี้ดาบม่วงของเจิ้งซูไม่ได้เพียงแค่ทิ้งตราประทับลงบนร่างของเขา แต่ยังฝากรอยแผลฉกรรจ์ยาวลงมาตั้งแต่หัวไหล่ด้านซ้ายถึงสะโพกขวา เลือดของชายชราพุ่งกระฉูดเป็นสายน้ำ ร่างกายของเขาโชกชุ่มไปด้วยเลือดในพริบตา
ทันใดนั้นเอง ร่องรอยสีขาวบนร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นบาดแผลทั่วร่างของเขา โลหิตโพยพุ่งออกมาจากบาดแผลเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้โดยง่าย เจิ้งเฉิงล้มลงนอนจมกองเลือดต่อหน้าผู้เฒ่าทั้งสี่ พวกเขาทั้งสี่รับรู้ได้ในทันทีว่าวรยุทธ์ของเจิ้งเฉิงนั้นถูกทำลายจนมลายสิ้นอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน
เจิ้งกงเห็นดังนั้นจึงรีบรุดเข้าไปพยุงร่างของเจิ้งเฉิง และออกจากที่พำนักตระกูลเจิ้งในทันทีโดยไม่ได้เอ่ยคำร่ำลาใดๆทั้งสิ้น ผู้เฒ่าทั้งสามที่เหลือก็ได้แต่มองหน้ากันไปมาก่อนที่จะยอมโค้งคำนับแก่เจิ้งซูอีกครั้ง
“พะ..พวกเราผิดไปแล้วที่เคลือบแคลงในความสามารถของท่าน! จากนี้ต่อไปพวกเราตระกูลเจิ้งจะไม่ครหาท่านในฐานะผู้นำตระกูลอีกแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพวกเราจะไม่ก้าวก่ายการตัดสินใจของท่านอีก!”
เจิ้งซูได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความยินดี
“ช่างเถอะ เห็นแก่ความดีความชอบที่พวกท่านเคยทำ ข้าจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสทั้งสามได้ยินดังนั้นก็โล่งอก และเดินออกไปจากสวนตระกูลเจิ้งอย่างช้าๆ เหลือเพียงเย่เย่ และซูฉีเจี่ยที่ยังคงอยู่ในสวน
“ข้าขอขอบคุณท่านเย่ ต่อจากนี้ตระกูลเจิ้ง และหอการค้าหยูเย่มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ข้าจะยืนหยัดเคียงข้างท่านตลอดไป !” เจิ้งซูสำนึกในบุญคุณที่เย่เย่มีให้แก่เขา
“เจิ้งซูข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าต้องรับแรงกดดันจากการเป็นผู้นำตระกูลเจิ้งถึงเพียงนี้! แต่วางใจเถอะ ข้าสัญญาข้าจะไม่ทอดทิ้งตระกูลเจิ้งของเจ้าแน่นอน”
ในสายตาเจิ้งซูเย่เย่คือเทพบุตรลงมาจุติบนโลกก็มิปาน เขาจึงกล้าตัดสินใจเดิมพันทั้งตระกูลของเขากับหอการค้าหยูเย่อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เจิ้งซูยิ้มให้กับเย่เย่ สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ เย่เย่ตบบ่าของเขาโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม หลังจากทั้งคู่พูดคุยแลกเปลี่ยนกันพักใหญ่ เย่เย่และซูฉีเจี่ยก็เดินทางกลับหอการค้าหยูเย่
ด้วยแรงสนับสนุนของตระกูลเจิ้งทำให้หอการค้าหยูเย่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่หนทางเดียวที่จะพ้นวิกฤตินี้ไปได้คือเย่เย่จะต้องเอาชนะเฉินเทียนหนาน และยัดเยียดความปราชัยแก่ปราการหลิงหยวนให้ได้!
ในที่สุดการประลองหลิงหยวนรอบที่สามก็ได้เริ่มต้นขึ้น ผู้คนทั่วทั้งเมืองเฉิงหลิงก็ได้จับจองที่นั่งข้างลานประลองคู่เอกอย่างแน่นขนัด สายตาทุกคู่ก็ได้จับจ้องไปที่เย่เย่และเฉินเทียนหนานที่เดินขึ้นมาบนลานประลอง
“น้อยคนนักที่จะกล้าเผชิญหน้ากับข้าโดยตรงเยี่ยงนี้! นับว่ากล้าหาญ แต่ก็บ้าบิ่น”
ชายรูปร่างสูงโปร่งเบื้องหน้าเย่เย่ก็ได้พูดขึ้น เย่เย่นั้นรู้สึกได้ถึงความแตกต่างบางอย่างในตัวของเฉินเทียนหนานและคู่ต่อสู้ที่ผ่านมาของเขา
“เจ้าเองก็เช่นกัน”
เย่เย่จ้องไปที่ตาของเฉินเทียนหนาน และตอบกลับโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัว ในสายตาคนทั่วไป
วรยุทธ์ของเฉินเทียนหนานนั้นสูงส่งเกินเอื้อมราวกับว่าตัวเขาคือเทพแห่งสงครามจุติมาเกิดในร่างมนุษย์ แต่ในสายตาของเย่เย่เฉินเทียนหนานไม่ได้ห่างชั้นกับเขามากนัก ตราบใดที่เฉินเทียนหนานยังไม่ได้บรรลุขั้นที่เหนือกว่าเทพยุทธ์ เย่เย่ก็มั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้