ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 94 ตำนานคืนถิ่น
บทที่ 94
ตำนานคืนถิ่น
ดูเหมือนว่าเย่เย่จะไม่ฟังคำเตือนของลั่วเฟิงเฉิงเลย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้น และความปรารถนาที่จะต่อสู้ ชายชราเห็นดังนั้นจึงไม่คิดจะห้ามชายหนุ่มอีกต่อไป เขาได้เพียงแต่ขอให้เย่เย่โชคดีกับเส้นทางที่เลือก
แม่นางมู่หลูที่เห็นเย่เย่เดินจากไป นางก็ลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างกับเขา ท้ายที่สุดนางก็สลัดความคิดของนางออกไปจากหัว และปล่อยให้เย่เย่เดินลับตาไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกเลย
เย่เย่ไม่ได้กลับไปยังหลิงเฉิงในทันที เขาได้พักที่โรงเตี้ยมในหมู่บ้านเล็กๆที่ตีนเขาแห่งต้นกำเนิด ในที่สุดเขาก็ได้โอกาสเหมาะสำหรับการเลื่อนขั้นเทพอสูรไร้เงาเสียที
เขารู้ดีว่าในตอนนี้เขานั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโจวไท่เลย เขาจึงตัดสินใจที่จะบรรลุขั้นเทพอสูรให้ได้ก่อนจะกลับไปยังหลิงเฉิง เย่เย่นั่งขัดสมาธิลงในห้องพักเก่าๆของโรงเตี้ยมก่อนที่จะปรับสมดุลพลังขั้นเทพยุทธ์ของเขาให้อยู่ในจุดสูงสุด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการก้าวไปสู่ขั้นถัดไป เมื่อสภาพกาย จิตใจ และลมปราณภายในร่างกายของเขาสมบูรณ์พร้อมแล้วเขาจึงกินยาบรรลุวิชายุทธ์เข้าไปอย่างไม่รอช้า
หลังจากที่ยาออกฤทธิ์ พลังแห่งโลกและสวรรค์อันมหาศาลไหลเวียนไปทั่วร่างของเย่เย่ เขาพยายามรวบรวมพลังที่อัดแน่นอยู่ที่จุดสูงสุดของเทพยุทธ์ ทลายขีดจำกัดของพลังเพื่อก้าวสู่การเป็นเทพอสูรอย่างสมบูรณ์
ตู้มมมมม!
ขณะที่เขาหลับตาทำสมาธิอยู่นั้นด้วยฤทธิ์ของยาทำให้เขาเนรมิตภาพภูผาสูงชันที่เปรียบเสมือนกำแพงที่เขาต้องก้าวข้ามอยู่ตรงเบื้องหน้าขึ้นในหัว ก่อนที่เขาจะรวบรวมพลังปราณของเขาโจมตีไปที่กำแพงนั้นอย่างต่อเนื่อง
ตู้มมม ตู้มมมม ตู้มมมมมม!
จากการโจมตีอย่างหนักหน่วง และทรงพลังของเขาทำให้ภูผาแข็งกล้าเริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนท้ายที่สุดเขาก็ทลายขีดจำกัดของเขาลงได้สำเร็จ
โอ้วววววววววว!
พลังแห่งโลกและสวรรค์มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เย่เย่นั้นสัมผัสได้ถึงพลังงานที่เอ่อล้นภายในร่างกายของเขา ความพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดเป็นระยะเวลาหลายเดือนของเขาไม่สูญเปล่า ในที่สุดเขาก็เลื่อนขั้นเป็นเทพอสูรไร้เงาได้สำเร็จ
“นี่น่ะเรอะ พลังของเทพอสูรไร้เงา!?”
ดวงตาของเย่เย่เบิกโพลง พลางมองไปที่สองมือของเขาอย่างตื่นเต้น
ฟู่วววววววววววววว
เขาลุกขึ้นพร้อมกับทดลองต่อยอากาศบริเวณข้างหน้าของเขา แม้เสียงที่เกิดหลังจากการต่อยจะฟังดูไม่รุนแรงนักเมื่อเทียบกับตอนที่เขาบรรลุขั้นเทพยุทธ์ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ก่อนคิดขึ้นในใจ
‘ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ยังเป็นเทพยุทธ์ ในที่สุดก็สำเร็จเสียที’
เย่เย่นั่งขัดสมาธิลงอีกครั้งเพื่อปรับระดับพลังที่เขาเพิ่งได้รับมาให้คงที่ เขาประหลาดใจที่พลังขั้นใหม่ของเขานี้อยู่ในระดับเสถียรแทบจะตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นเขาก็หมั่นฝึกฝนเพื่อขัดเกลาพลังของเขาอยู่ดี
สามวันหลังจากการฝึกฝน พลังของเขาก็ก้าวข้ามเทพอสูรชั้นต้นเป็นที่เรียบร้อย อย่างไรก็ตามเขายังไม่รีบกลับไปที่ หลิงเฉิงในทันที เขาหยิบมือถือของเขาออกมาเพื่อแลกเปลี่ยนวิชายุทธ์ และอาวุธที่เหมาะสมกับระดับพลังของเขาในตอนนี้
พลังป้องกันของเกราะมังกรเมฆาของเขายังใช้ได้ดีในระดับเทพอสูร เขาจึงยังไม่เก็บมันเข้ากรุ หรือขายทอดตลาดแต่อย่างใด หลังจากการต่อสู้กับลั่วเฟิงเฉิงนั้นเขาคิดว่าฝ่ามือคลื่นพิโรธไม่จำเป็นกับเขาอีกต่อไป เขาลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะแลกเปลี่ยนท่าสลาตันฟ้าคำรามมาทดแทน
สลาตันฟ้าคำรามนี่เป็นวรยุทธ์ชั้นสูงในระดับเทพอสูรไร้เงา เนื่องจากทักษะนี้ผู้ใช้ต้องควบคุมพลังของสายลม และอสนีบาตให้ได้ในเวลาเดียวกันซึ่งยุ่งยากกว่าฝ่ามือคลื่นพิโรธที่ใช้น้ำเพียงอย่างเดียว ถึงแม้เย่เย่จะรู้ดีว่าทักษะที่เขาเลือกมานั้นฝึกยาก แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองให้เหนือกว่าศัตรูอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากนั้นเขายังเลือกอาวุธมนตรามาอีกหลายชิ้นเพื่อหวังกลบจุดอ่อนด้านพลังโจมตีของเขา
“ดาบแห่งแสงและเงา ดาบที่มีพลังโจมตีอันดับต้นๆของระดับเทพอสูร ราคา 2000 เหรียญจักรวาล”
“ดาบหยาดพิรุณ ดาบที่พลังโจมตีสูงที่สุดในระดับเทพอสูร ราคา 2300 เหรียญจักรวาล”
“กระบี่เทพอัสนี อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอาวุธทั้งหมดในชั้นเทพอสูร ราคา 2500 เหรียญจักรวาล”
หลังจากที่เขาลังเลอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เลือกซื้อกระบี่เทพอัสนีมาเป็นอาวุธคู่กายของเขา เพราะนอกจากที่ตัวดาบของมันจะแข็งแกร่งแล้วนั้น มันยังสามารถกระตุ้นพลังสายฟ้าได้อีกด้วย หลังจากที่เขาลองใช้งานมันในการฝึกฝนกระบวนท่าสลาตันฟ้าคำราม ทำให้เขาเข้าใจถึงแก่นแท้ของพลังแห่งสายฟ้าซึ่งช่วยเพิ่มความรวดเร็วให้แก่เขาอย่างมาก
‘น่าเสียดายที่ข้าไม่ช่ำชองการใช้ดาบ ข้าจึงดึงพลังของมันออกมาได้ไม่หมด’
เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งออกไป และแลกเปลี่ยนกระบวนท่าอสรพิษคำรนไว้ใช้สำหรับกระตุ้นจิตวิญญาณแห่งอสรพิษออกมาแทนที่กระบวนท่างูสวรรค์ที่เหมาะกับขั้นเทพยุทธ์
เมื่อเย่เย่ซื้อของสามสิ่งข้างต้นนั้น เขาสูญเงินไปทั้งหมด 7400 เหรียญจักรวาลซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนป่านนี้เขาคงสิ้นเนื้อประดาตัวไปแล้ว ตอนนี้นอกจากที่ขนหน้าแข้งของเขายังอยู่ครบมันยังเรียงตัวอย่างสวยงามอีกด้วย สิ่งที่เดียวทำให้เขาลำบากใจที่จะจ่ายนั้นคือกระบวนท่ากลืนสวรรค์ขั้นสูงที่มีมูลค่าถึง 25000 เหรียญจักรวาล หรือตีเป็นเงินจริงคือ 2.5 ล้านตั๋วทอง
ทันทีที่เย่เย่กลั้นใจใช้นิ้วชี้กดไปที่ปุ่มซื้อ เงินในระบบของเขาก็กลับมาเป็นศูนย์ในทันที ตอนนี้ตัวเขาไม่ต่างอะไรกับยาจกทั่วๆไปเลยแม้แต่น้อย เขาจึงตัดสินใจกลับไปที่หอการค้าหยูเย่เพื่อแลกเปลี่ยนตั๋วทองเข้าสู่ระบบอีกครั้ง
“ถึงเวลาที่จะต้องกลับหลิงเฉิงแล้วสินะ!”
เย่เย่เก็บข้าวของสัมภาระของเขา และเสียบกระบี่ไว้ในปลอกที่สะพายอยู่ด้านหลัง ก่อนที่จะออกจากโรงเตี๊ยมเล็กๆและมุ่งหน้ากลับไปยังที่ที่เขาจากมา
ขณะเดียวกันที่เมืองหลิงเฉิง ฝั่งตรงข้ามกับหอการค้า หยูเย่มีการตั้งเวทียกสูงจากพื้นดินดูแล้วคล้ายกับลานประหารนักโทษ บนเวทีนั้นมีร่างของเด็กหนุ่มถูกผูกติดไว้กับเสาอิฐกล้าอยู่ที่กลางลาน ตากแดดตากฝนมานานสามวันสามคืน ร่างกายที่ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มวัยก็สั่นระริกด้วยความอ่อนแรง และหายใจโรยริน
เจิ้งเฉิง เจิ้งกง และเจิ้งไคเจี่ยที่อยู่บนเวทีต่างมองไปที่ผลงานชิ้นเอกของพวกเขาอย่างมีความสุข พวกเขาจงใจสร้างเวที และเสาอิฐที่มีความทนทานให้สูงตระหง่าน เพื่อที่จะไม่ให้เจิ้งซูดิ้นหลุดไปได้โดยง่าย และหวังให้เย่เย่ปรากฏตัวออกมาให้เร็วที่สุด
แต่หลังจากที่สามวันผ่านพ้นไป ยังไร้วี่แววของเย่เย่ ผู้อาวุโสเริ่มสงสัยในวิธีการของพวกเขา ถ้าหากเย่เย่ไม่โผล่มาพวกเขาจะลงมือฆ่าอดีตผู้นำตระกูลยังไงก็ได้ แต่คำสัญญาที่พวกเขาให้ไว้กับโจวไท่จะสูญเปล่าในทันที
ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงเริ่มแผนยั่วยุให้เหล่าบรรดาคนของหอการค้าหยูเย่เห็น เจิ้งเฉิงปาไข่เป็ดใส่หัวของเจิ้งซูเข้าอย่างจัง
โผล๊ะ!!!
ไข่แดงและไข่ขาวทะลักออกมาท่วมหัวและไหลย้อยลงไปบนใบหน้าของเจิ้งซู
“อย่างที่พวกเจ้าเห็นนี่คือจุดจบของผู้ที่ต่อต้าน ท่านโจวไท่ เป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่พวกข้าได้จับตัวเจิ้งซูมา ไหนล่ะเย่เย่? ไหนล่ะหอการค้าหยูเย่ที่เจ้าเคารพเทิดทูนเสียยิ่งกว่าคนเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน? พวกมันเอาแต่กลัวหัวหดหลบอยู่ในกระดอง! ไม่มีใครหน้าไหนกล้าออกมาช่วยเจ้าเลยสักคน น่าสมเพชซะจริง!” เจิ้งเฉิงพูดออกมาอย่างเสียงดังให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ยิน และเพื่อเป็นการส่งสาส์นท้าทายถึงหอการค้าหยูเย่โดยตรง
ซูฉีเจี่ยที่ยึดมั่นในคุณธรรมก็เริ่มหมดน้ำอดน้ำทนก่อนที่จะตะโกนด่าทอกลับไปพร้อมกับกำอาวุธของเขาไว้แน่น
“เจิ้งเฉิงเจ้าคนถ่อย! ข้าจะฆ่าเจ้าเอง!” เขาก้าวเท้าออกไปพร้อมเข้าปะทะในทุกเมื่อ ก่อนที่ลูกน้องกว่าห้าคนของเขาต้องมาช่วยกันฉุดรั้งเขาไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล ทั้งห้าสู้แรงของซูฉีเจี่ยไม่ไหวจึงล้มลงอย่างระเนระนาด
“ซูฉีเจี่ย เจ้าบ้า! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เสียงของผู้หญิงแทรกออกมากลางฝูงชน เสี่ยวหยูรีบใช้วรยุทธ์ของนางห้ามปราบการกระทำโง่ๆของซูฉีเจี่ยเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ก่อนย้ำเตือนคำสั่งของเย่เย่ให้เขาฟัง
“นายน้อยบอกเจ้าแล้วนี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามออกจากหอการค้าเด็ดขาด! เขาได้วางค่ายกลป้องกันหอการค้าเอาไว้ หากมีคนล้ำเส้นเข้ามาในบริเวณหอการค้าค่ายกลจะทำงานโดยอัตโนมัติ ถ้าเจ้าออกไปเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย เข้าใจบ้างไหม?” แม้ว่าเสี่ยวหยูจะเป็นคนห้ามซูฉีเจี่ยเอาไว้ แต่อารมณ์ภายในของนางก็แปรปรวนไม่ต่างไปจากเขาเลย นัยน์ตาของเธอแดงก่ำและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ตัวนางเองก็อยากออกไปจัดการกับศัตรูให้รู้แล้วรู้รอด แต่คำสั่งของนายน้อยนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด…