รักวุ่นวายของ Cool Guy สายเนี้ยบ - บทที่ 33 เช้าวันรุ่งขึ้นของวันไนต์
บทที่ 33 เช้าวันรุ่งขึ้นของวันไนต์
Xiaobei
“คร่อกกก…ฟี้ คร่อกกก ฟะ ฟี้!”
ราฮีลืมตาตกใจตื่นเพราะเสียงกรนที่ดังสนั่น สะเทือนไปยันเพดานของซองบอม เพราะนอนใส่ที่อุดหู เลยนอนหลับๆ ตื่นๆ ราฮีนั่งอยู่บนเตียงจ้องมองซองบอมด้วยสายตาเหม่อลอย
สภาพผ้าห่มผืนบางไปกองอยู่ใต้เท้า ซองบอมนอนแผ่หลาในสภาพกางเกงในตัวเดียว ทุกครั้งที่เขากรน ทั้งกลิ่นเหล้า กลิ่นเหงื่อ และกลิ่นเท้าออกมาผสมกันให้ตลบอบอวล
ราฮีไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายไร้คุณภาพคนนี้เป็นสามีของตัวเองจริงๆ และเธอก็อยู่กิน ถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายที่เหมือนสัตว์ร้ายนี่มากว่าสามปีแล้ว
ราฮีกดหัวที่ปวดตุ้บๆ ออกมายังห้องรับแขก ขนาดถึงห้องรับแขกแล้วเสียงกรนของซองบอมก็ยังตามมา จนต้องเร่งเสียงทีวีกลบ
ยังไม่หกโมงเช้า แต่เพราะตื่นแล้วเลยหุงข้าวและต้มซุปปักเป้าให้ซองบอมที่ดื่มเหล้ามา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เขาก็เป็นสามี การทำอาหารทั้งสามมื้อนั้น แม้จะเอามีดมาจี้คอ อย่างไรก็ยังคิดว่าเป็นหน้าที่ตัวเอง
เรื่องซักผ้าและทำความสะอาดบ้าน จะมีคนมาช่วยดูแลอาทิตย์ละสามครั้ง แต่เรื่องทำอาหาร ราฮีต้องเป็นคนทำเอง หลังจากตัดสินใจแต่งงาน สิ่งที่เธอเริ่มเป็นอย่างแรกคือฝึกทำอาการ
เธอเชื่อว่าหัวใจของชีวิตแต่งงานคืออาหารที่กินด้วยกัน สำหรับราฮีที่ตอนเด็กๆ แทบไม่เคยมีความทรงจำในการนั่งล้อมวงกินข้าวอย่างอบอุ่นกับครอบครัวนั้น สัญลักษณ์ของครอบครัวที่มีความสุข คือบรรยากาศที่พ่อแม่ลูกนั่งล้อมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน
หม้อซุปเต้าเจี้ยวที่เดือดปุดๆ, กิมจิที่สุกแล้วนำมาแกงหนึ่งหัว, ยำถั่วงอกที่โรยพริกป่นและงาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน, ไข่ดาวไข่แดงกึ่งสุกกึ่งดิบ, สาหร่ายย่างหอมกลิ่นน้ำมันงา, ไส้กรอกสีแดงทอดน้อยๆ…
โต๊ะอาหารเรียบๆ แต่บรรยากาศอบอุ่น ซดแกงด้วยช้อนคันเดียวกัน พี่น้องแย่งไส้กรอกชิ้นสุดท้ายกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วก็แอบเลือกถั่วที่อยู่ในข้าวออกจนโดนแม่ดุ ราฮีวาดภาพบรรยากาศแบบนั้นอยู่เสมอ
แม้ไม่รู้จะเป็นได้อย่างนั้นไหม แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรสามีและลูกที่จะเกิดมาในภายภาคหน้าต้องได้กิน ‘ข้าวบ้าน’ วันละสองมื้อ
ด้วยความเป็นผู้ประกาศข่าวที่คนทั้งประเทศรู้จัก จึงไม่สามารถไปโรงเรียนสอนทำอาหารทั่วไป ก็เลยไปเรียนทำอาหารกับครูสอนทำอาหารส่วนตัวที่พวกสะใภ้เศรษฐีและดาราแนะนำ แต่มีสิ่งที่ราฮีไม่รู้ คือการทำอาหารเป็นความสามารถด้านพรสวรรค์ รสมือก็เช่นกัน
ราฮีที่เคยได้ทุกสิ่งที่ต้องการ ทั้งมหาวิทยาลัย หน้าที่การงาน จากความพยายามอย่างสุดกำลัง เลยไม่คิดว่าตัวเองจะทำอาหารไม่ได้ เชื่อว่าเรียนรู้แค่นิดหน่อยก็น่าจะเก่งกว่าแดจังกึม
อย่าตำหนิตัวเองว่าไม่มีฝีมือและไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับการทำอาหาร สิ่งที่เรียกว่าฝีมือคือผลลัพธ์ของความพยายามและกิจวัตรของแม่ๆ ที่เฝ้าดูแลครัวมาหลายสิบปี ถ้วยตวงไม่ใช่อุปกรณ์ทำครัวที่น่าอาย
ทั้งนี้ทั้งนั้นราฮีกัดฟันพยายามมาตลอดสามปี เพื่อรักษาความเชื่อที่ว่า ‘ข้าวบ้านเป็นพื้นฐานของครอบครัวที่มีความสุข’ พยายามอย่างลำบากยากเย็น ให้ได้มาซึ่งน้ำจิ้มมหัศจรรย์ที่ถูกส่งต่อมาอย่างลับๆ และวัตถุดิบตามฤดูกาลที่สดและแพงที่สุด
แต่ปัญหาอยู่ที่ซองบอม เพราะกินแต่แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า และแฮมในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมานาน จึงแทบไม่ดีใจเลยที่เธอตื่นมาแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมอาหารให้ด้วยความใส่ใจ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหมุนของลูกตุ้มหม้อแรงดัน ราฮีสะดุ้งตกใจ คนที่โทรมาบ้านเวลานี้มีอยู่คนเดียว
ราฮีรีบปิดทีวี สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ”
[เมื่อคืนกรรมการปาร์คกลับมากี่โมง]
คำพูดแรกของคุณนายจาง แม่สามีหลังจากรับสายเหมือนกันทุกครั้ง ไม่มีทักทายถามไถ่ลูกสะใภ้ว่านอนหลับสบายดีไหมเลยสักนิดเดียว
“คุณแม่ นอนหลับสบายไหมคะ เมื่อคืนท่านกรรมการกลับมาก่อนสี่ทุ่มนิดหน่อยค่ะ”
ราฮีค้อมศีรษะเล็กน้อยพลางเช็ดเหงื่อที่ออกฝ่ามือกับผ้ากันเปื้อน
[กรรมการปาร์คดื่มหนักเลยสิท่า]
เสียงถามอย่างมั่นใจ คำพูดที่ได้ยินมาจากเลขาว่าเมาไร้สติจุกอยู่ที่ลำคอ
“เปล่าค่ะ ไม่ขนาดนั้น…”
[เธอนี่เป็นเด็กยังไงถึงได้กำหลาบพฤติกรรมเมาเหล้าของสามีไม่ได้ งานที่เธอต้องทำภายในบ้านคืออะไร ออกไปหาเงินนอกบ้านก็ไม่ใช่ ทำหน้าที่ช่วยสามีก็ไม่ได้ สิ่งที่เราหวังจากเธอ แค่ให้ช่วยดูแลสุขภาพของสามี ให้เขาได้แสดงความสามารถที่บริษัทได้เต็มที่…]
ราฮีเอาหูโทรศัพท์ออกห่างจากหู เสียงคุณนายจางรวมกับเสียงหม้อหุงข้าวแรงดันที่กำลังหมุนติ้วๆ อย่างบ้าคลั่งดังไปทั่ว
[มันเป็นไปได้ยังไง อ้วนขึ้นทุกวันเหมือนผู้ชายที่ไม่มีเมีย แล้วทำไมผิวถึงได้ซีดแบบนั้น ไม่น่าจะอ้วนเพราะกินเยอะ น่าจะอ้วนเพราะเครียดหรือเปล่า คนเราพอได้รับความเครียด ร่างกายก็รู้สึกว่าวิกฤตทำให้อ้วนขึ้น หน้าที่ของเธอคือทำยังไงก็ได้ให้สามีไม่เครียด อยู่บ้านก็ให้เขาสบายใจ ถ้าสมดุลกันดีมันจะไปอ้วนได้ยังไง งานที่บริษัท เป็นงานที่เคยทำมาก่อนแต่งงาน ไม่น่าจะมีอะไรให้เครียดไปกว่านี้ นี่ เธอฟังฉันอยู่ไหม]
ราฮีรีบเอาโทรศัพท์กลับมาแนบหู
“ค่ะ คุณแม่ ฟังอยู่ค่ะ”
[ยังไงคำที่ว่าผู้ชายขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้หญิงก็ไม่ผิด จำเอาไว้ ผู้ชายต่อให้อายุเยอะแค่ไหน ก็ยังมีด้านที่เหมือนเด็ก มือของผู้หญิงต้องสัมผัสอย่างพิถีพิถัน ทั้งของกิน และเสื้อผ้าที่ใส่]
ราฮีเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูอีกครั้ง
[ไม่ใช่ต้องมาฝึกฝนใหม่ การจัดการดูแลสุขภาพได้คือการฝึกฝนที่ประสบสำเร็จ ยิ่งสุขภาพไม่ดีแล้วยังดูแลไม่ดีอีก มันใช้ได้ที่ไหน]
จนผ่านมาสามสิบปีแล้ว คุณแม่เองก็ทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่หรือไงคะ ที่ผ่านมาเนื้อคือพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ ไส้กรอก แล้วก็พวกของสำเร็จรูป ไม่สนใจ บอกว่าเนื้อที่ดีต่อสุขภาพไม่อร่อย ผักหรือผลไม้ไม่ถูกปาก แต่พวกไส้กรอกร้านสะดวกซื้อที่ทำจากแป้งสีๆ กลับบอกว่าอร่อยกว่า แล้วจะให้ทำอย่างไร
แม่มัวแต่ยุ่งค้าขาย ไม่เคยทำกับข้าวให้ลูกชายสักครั้ง จนลูกชายติดนิสัยการกินแบบนั้นไปแล้ว จะมาอะไรกับคนอื่น
“ทราบแล้วค่ะ หนูกำลังตั้งใจเตรียมอาหารเช้าท่านกรรมการอยู่ค่ะ”
[เช้านี้มีเมนูอะไร เตรียมซุปอะไรแก้แฮงค์]
“ซุปปลาปักเป้าใส่มินารี[1]กับไชเท้าที่ช่วยบรรเทาภายในค่ะ”
[ปักเป้า? เธอต้มเป็นด้วยเหรอ]
[ต้มซุปปักเป้า? เอาโทรศัพท์มานี่สิ]
เสียงประธานปาร์คพ่อสามีลอดมาตามสาย
[เธอต้มปักเป้างั้นเหรอ]
“คุณพ่อ หลับสบายดีไหมคะ”
แม้ไม่เห็นหน้า แต่ราฮีก็ยังค้อมศีรษะให้
[ซองบอมได้กินของแพงๆ อย่างซุปปักเป้า อย่ามัวพูดมาก เอามานี่ด้วย!]
“คะ?”
[คิดว่าที่นี่คือที่ไหน จะให้ยกซุปมาเนี่ยนะคะ]
คุณนายจางบ่น ประธานปาร์คเลยตวาดกลับมา
[ที่นี่จะที่ไหน! ใช้เวลาชั่วโมงหรือสองชั่วโมง! ก็อยู่โซลเหมือนกัน ข้ามสะพานในเมืองมาสะพานเดียว มันจะไปยากอะไร! ปลาดิบยังบินมาจากเชจูได้เลย!]
[ที่บ้านก็มีปักเป้า อยากกินก็ไปบอกให้ในครัวต้มให้ก็ได้ ทำไมต้องมาทำให้คนอื่นลำบากด้วย! แล้วนั่นเอาไว้ให้ซองบอมกินแก้แฮงค์ต่างหาก!]
[ไม่เอาของที่แม่บ้านต้มแบบขอไปที ฉันอยากกินซุปที่สะใภ้ต้มอย่างตั้งใจแล้วมันจะทำไม เธอไม่ต้องมาพูด…]
สุดท้ายคนที่เป็นทุกข์ในสงครามระหว่างแม่สามีที่รักลูกชายอย่างเหลือล้นกับพ่อสามีที่รักตัวเองที่สุดก็คือราฮี เธอรีบกรอกเสียงลงไปในสาย
“คุณพ่อ คุณแม่! หนูจะเอาซุปปักเป้าไปส่งค่ะ”
ขอร้อง อย่าทะเลาะกันเลย ได้โปรด
* * *
ความหนาวเย็นมาสัมผัสผิวเปล่าเปลือย จีฮวันลืมตาขึ้นทันที
“อือ หนาว”
ดึงผ้าห่มที่ไปกองอยู่ที่เอวขึ้นมาห่มถึงคอ แล้วก็ตกใจเลิกผ้าห่มออก สภาพเขาเปลือยเปล่าไม่มีเสื้อผ้าเลยสักชิ้นทั้งท่อนบนและล่าง
ตัวเปล่า? ก็ไม่ได้ร้อนมากมาย ขนาดกลางฤดูร้อน แต่จีฮวันยังชอบนอนใส่ชุดนอนผ้าฝ้ายที่ให้สัมผัสดีมากกว่า แล้วจะมานอนไม่เสื้อผ้าอะไรต้นฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเย็นๆ แบบนี้…
“เฮือก!”
ทันใดนั้นร่างเปลือยของหญิงสาวก็แวบขึ้นมาในห้วงความคิดของจีฮวัน ท่ามกลางความมืด ข้อมือและไหล่กลมมนขาวกระจ่างต้องแสงจันทร์จากนอกหน้าต่าง ส่วนเว้าโค้งนุ่มนวลจากหน้าอกต่อมายังเอวและบั้นท้าย แล้วเขาก็นึกได้ว่าร่างเปลือยเปล่าที่เขานึกถึงอยู่นั้นคือโกอึนคัง
จีฮวันเหม่อมองเพดาน ฝันไป? หรือภาพหลอน? แต่สัมผัสของอึนคังยังหลงเหลืออยู่ทุกที่บนร่างกายอันเปล่าเปลือย ไม่มีทางเป็นความฝันหรือภาพหลอนแน่
จีฮวันลองสัมผัสใบหน้า ลำคอ หน้าอก และแขน ทั้งตัวไม่มีตรงไหนสักที่ที่มือของอึนคังไม่สัมผัส รู้สึกแปลกๆ ราวกับไม่ใช่ตัวเอง พอนึกถึงเมื่อคืนกับอึนคังแล้ว ความเมาและความง่วงที่เหลืออยู่ก็หายวับไปทันที
จีฮวันออกไปยังห้องรับแขก
“อยู่ข้างในหรือเปล่าครับ”
เขาเคาะประตูห้องน้ำเบาๆ แต่เงียบ ห้องน้ำว่างเปล่า มองไปที่ประตูหน้าห้อง รองเท้าของอึนคังไม่อยู่แล้ว เมื่อชัวร์ว่ารองเท้าเธอไม่อยู่ แรงก็เหมือนจะหมดไปจากร่างของจีฮวันดื้อๆ
จีฮวันที่กลับเข้าไปยังห้องนอน ค้นหาทุกซอกทุกมุมแถวโต๊ะ เผื่อจะมีกระดาษโน้ตเขียนทิ้งไว้ เช็คมือถือดูข้อความ แต่ก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทั้งกระดาษและข้อความ
จีฮวันสะบัดผ้าห่มพลางบ่นพึมพำอย่างอารมณ์เสีย
“อะไรกัน ผู้หญิงคนนี้ นึกจะไปก็ไป ควรบอกกล่าวกันบ้าง นี่อะไร หรือแค่มาเจอแล้ววันไนต์…”
แล้วจีฮวันก็หุบปากฉับ ความจริง จะเรียกวันไนต์ก็ไม่ถูก เพราะบังเอิญต้องมาเกี่ยวข้องกันกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดสามสี่รอบ เพราะงานถึงได้มารู้จักแนะนำตัวกัน ดื่มเหล้า และถูกตาต้องใจจนนอนด้วยกัน มันจะเป็นวันไนต์ไปได้อย่างไร
“เฮ้อ รยูจีฮวัน นายนี่มันทั้งโดนไล่ออกจากงาน เจอแฟนเก่า จนไม่มีสติแล้วหรือเนี่ย บ้าไปใหญ่แล้ว”
ประสาทหูที่มักจะดีอย่างไร้ประโยชน์ ทำเอาตื่นเป็นประจำเพราะเสียงฉี่จากห้องข้างชั้นบน แต่กับการเคลื่อนไหวบนเตียงเดียวกันกลับไม่รู้สึก ท่าทางจะเอาไปคุยไม่ได้แล้วว่าหูดีเป็นเลิศ
จีฮวันอาบน้ำเสียนาน ครุ่นคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้วุ่นวาย สระผม ถูสบู่ ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องเกี่ยวกับอึนคังและเรื่องเมื่อคืน
นี่มันกี่โมงแล้ว มีแค่เราหรือที่หลับเป็นตาย โกอึนคังตื่นแล้วเหรอ ไปโซลตัดสูทตั้งแต่เช้า กินเหล้าแต่หัววันวนไปจนถึงร้านที่สี่ เหนื่อยมาก หนักหน่วงขนาดนั้นยังตื่นเช้าไหวอีก? โดยเฉพาะหลังเรื่องอย่างว่า แทบจะเหมือนยานอนหลับธรรมชาติ เฮือก! ระ หรือว่า มีแต่เราที่โอเค? มีแต่เราที่รู้สึกดีมาก เรียบร้อยไปถึงปลายทางอยู่คนเดียว? โดยที่โกอึนคังไม่ถูกใจเลย? น่าหงุดหงิดชะมัด อาจโกรธที่เห็นเรานอนแผ่หลาเลยหนีกลับไป…
ติ๊งต่อง!
จีฮวันเงี่ยหูฟัง ท่ามกลางเสียงฝักบัวได้ยินเหมือนเสียงออด หรือว่า
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง!
“อะ ออกไปแล้วครับ! คอยสักครู่! กำลังไปแล้ว!”
จีฮวันรีบสวมชุดคลุมอาบน้ำลงบนตัวที่น้ำหยดติ๋งๆ วิ่งออกไปจากห้องน้ำ ทั้งที่ยังไม่ได้เช็ดตัว นึกแต่ว่า ‘อึนคังที่ไปแล้วกลับมาแน่ๆ!’
จีฮวันเปิดประตูผัวะออกไปโดยไม่ถามว่าใคร รอยยิ้มที่ริมฝีปากหุบลงโดยอัตโนมัติ คนที่ยืนยิ้มเผล่อยู่หน้าประตูคือซอกยอง
[1] มินารี หรือผักชีล้อม