รักวุ่นวายของ Cool Guy สายเนี้ยบ - บทที่ 68-2 มันอบแห้งเรียกน้ำตา
อึนคังสนุกที่เห็นยองอูประหม่า ก็ยิ่งอยากแกล้ง
“ไม่นึกเลยนะคะว่าคุณหมอจะมีด้านแบบนี้ด้วย!”
ใบหน้าของยองอูแดงขึ้น
“ดะ ด้านแบบไหนครับ…”
“อืม คุณหมอที่ฉันรู้จักเวลาอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นคุณหมอผู้รอบรู้ ไม่มีอะไรเลยเกี่ยวกับสัตว์ที่ไม่รู้ ไม่มีโรคไหนที่รักษาไม่ได้ จะสัตว์ที่บาดเจ็บ อ่อนแอ และเป็นโรคในโลกนี้ ก็เข้ามาเลย! นึกว่าเป็นคนมั่น แต่พอมาเจอกันข้างนอก ถึงได้รู้ว่าเป็นคนขี้อายขนาดนี้”
“เคยได้ยินว่าผมดูต่างจากเวลาอยู่ในโรงพยาบาลมากอยู่เหมือนกันครับ”
“ตรงกันข้ามกับฉันเลยสินะคะ ฉันน่ะ จะเจอที่ไหนก็บ้าบอไร้สติเหมือนเดิม อ๊ะ รถไฟออกแล้ว!”
อึนคังหันหน้าไปทางหน้าต่าง
“ว้าว ดีจัง ฉันไม่ได้ขึ้นรถไฟมานานมากแล้วค่ะ ว้าวๆ รู้สึกตื่นเต้นจัง!”
ใบหน้าของยองอูที่มองอึนคังที่ดีใจเหมือนเด็กๆ ปรากฏรอยยิ้ม นึกถึงจากูขึ้นมาโดยอัตโนมัติ มีคำพูดที่ว่าเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงมักจะคล้ายๆ กัน แต่คนกับสุนัข ไม่ง่ายนักที่จะมีนิสัยเหมือนกันแบบนี้
อ่อนโยน ใจกว้าง ชอบคนมาก จากูเป็นที่รักของคนในโรงพยาบาล ทั้งพยาบาล ช่างเสริมสวยต่างก็เอ็นดูจากูเหมือนลูก
ยองอูเองก็เช่นกัน ทั้งหมา, แมว, แฮมสเตอร์, กระต่าย, นกแก้ว, เม่น, อีกัวน่า… เขาดูแลรักษาสัตว์เลี้ยงมามากมาย ไม่เลือกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรือสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ทุกตัวต่างสำคัญ แต่จากูเป็นอะไรที่พิเศษ
ตอนที่จากูถูกอุ้มมาอยู่ระหว่างความเป็นความตาย ใจเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น อยากจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิต หลังจากช่วยมาได้อย่างหวุดหวิด ก็เฝ้าคอยดูแลอยู่หลายปีจนแข็งแรงขึ้น เห็นเป็นเหมือนลูกเหมือนหลาน เหมือนเด็กข้างบ้าน ถ้าไม่เห็นก็เป็นห่วง วันหยุดนึกอยากเจอขึ้นมาบ้างก็มี
“จากูอยู่ตัวเดียวเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ พ่อมาอยู่ด้วย ก็ต้องให้อาหารทุกสิบสองชั่วโมง ตอนนี้คงกำลังพาไปเดินเล่นมั้งคะ”
“ดีครับ อาหารที่เปลี่ยนไปถูกปากไหมครับ น้ำหนักล่ะครับ ลดลงบ้าง…”
“แหม อะไรกัน สมแล้วที่เป็นคุณหมอ ยังกับมาโรงพยาบาลเลยนะคะ”
“ขะ ขอโทษครับ…”
ยองอูทำท่าทีเก้อเขิน อึนคังถึงกับหัวเราะก๊าก ท่าทางที่พูดอะไรก็หน้าแดง เหมือนเด็กชายวัยสิบขวบไม่ใช่ชายวัยสามสิบ ไม่ให้ความรู้สึกถึงคุณลุง แต่เหมือนเด็กชายใสซื่อมากกว่า
“ทราบไม่ใช่เหรอคะ ว่าสำหรับเจ้านั่น อาหารไดเอ็ตแบบไหนก็ไม่มีประโยชน์ หมาอื่นอาจจะกินน้อยเพราะไม่อร่อย แต่เจ้าจากูน่ะ ถ้าจะกินไม่ได้ก็คงเพราะไม่มีให้กินมากกว่า น้ำหนักแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยค่ะ”
“สุนัขที่เห็นผลช้าก็มีครับ อย่าเพิ่งใจร้อน คอยดูกันไปสักเดือน ตอนนี้จากูทำกิจกรรมเยอะ ถ้าลดปริมาณอาหารอีก ก็จะลำบาก ปริมาณให้เท่านั้น ส่วนพวกของบำรุงที่สามารถให้เพิ่มอีกหน่อยได้ อาจจะลองดูไปในทิศทางอื่นอีกครั้ง”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ จะยังไงก็แล้วแต่ แค่ไม่อ้วนขึ้นก็โชคดีแล้วค่ะ”
ในรถไฟอากาศร้อน เห็นยองอูเหงื่อไหล อึนคังจึงค้นถุงพลาสติก
“คุณหมอ ดื่มอะไรดีคะ มีน้ำเปล่า ชาข้าวโพด แล้วก็มีน้ำส้มด้วย”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมก็มี”
“มีไม่มีอะไรกันคะ แบ่งๆ กันกินเนี่ยแหละค่ะ ได้มาเจอกันแบบนี้น่ายินดีมากไม่ใช่เหรอคะ เอานี่ไหมคะ อันนี้? หรืออันนี้?”
อึนคังถือเครื่องดื่มสามอย่างให้เห็น ยองอูค่อยๆ ชี้ไปที่ชาข้าวโพด
“ถ้างั้น ขออันนี้…”
“เลือกได้เยี่ยมมากค่ะ!”
รับเครื่องดื่มมา มือสัมผัสกับมือของอึนคังเล็กน้อย หูของเขาแดงแปร๊ด ยองอูหลบตาอึนคังที่กำลังค้นถุง พลางดื่มเครื่องดื่มดับร้อน
“อ๊ะ ไม่จริง!”
“มีอะไรเหรอครับ”
“ฉันลืมซื้อไข่ปิ้งมาค่ะ! นึกว่าซื้อมาแล้วแท้ๆ นั่งรถไฟมันต้องกินไข่สิ ฮือ”
อึนคังหน้าจ๋อยไหล่ตก ยองอูลุกจากที่นั่ง หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเป้
“คุณนักเขียน นี่ครับ…”
ในถุงกระดาษที่ยองอูยื่นให้ มีมันอบแห้ง ส้ม และไข่ต้มอยู่
“ว้าว! สุดยอดอาหารว่างเพื่อสุขภาพ! ต้มไข่เองเหรอคะ หรือมันอบแห้งนี่ก็ด้วย”
“ครับ ผมทำทั้งสองอย่าง… พอดีมีเครื่องอบแห้งอาหารอยู่ที่บ้าน ร้านขายเนื้อเจ้าประจำมักจะขายเนื้อส่วนที่เอาไปขายไม่ได้ให้ ผมก็จะเอาไปอบแห้ง เอาไว้แบ่งพวกสัตว์ที่เจอตามข้างทาง วันนี้ก็เตรียมมาหลายอย่างเลย”
“ก็คืออบแห้งเนื้อของหมากับแมว ก็เลยอบแห้งมันเอาไว้ทานด้วยใช่ไหมคะ”
“เอ่อ ไม่ใช่นะครับ ไม่ได้ทำพร้อมกัน แยกกันทำ”
“สุดยอด! คุณหมอนี่น่ารักและละเอียดอ่อนมากๆ อาหารอบแห้งเหรอ เยี่ยมไปเลย!”
หน้าของยองอูแดงอีกแล้ว
“ดีเหรอครับ ผมชอบทำอาหารตั้งแต่เด็กๆ ชอบทำนู่นซ่อมนี่ ทำให้พวกผู้ใหญ่ปวดหัวมาก บอกว่าเด็กผู้ชายทำอะไรไม่มีประโยชน์ ไร้สาระ…”
“ไร้สาระ? ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แต่เป็นนิสัยที่อุทิศเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์หมู่มากต่างหาก ฉันมักทำตัวไม่ถูกกาลเทศะ จัดการอะไรแบบนี้ไม่ได้เรื่อง ดังนั้นเวลาเห็นคนทำอะไรละเอียดรอบคอบและพิถีพิถัน ก็อิจฉามากๆ ไม่ใช่แค่จัดการดูแลตัวเอง แต่ยังช่วยเหลือเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นอีก พวกเด็กๆ ที่ได้กินเนื้ออบแห้งเพราะคุณหมอ จะมีความสุขขนาดไหน ฉันคิดว่านี่เป็นการกระทำที่ยอดเยี่ยมมากๆ เลยนะคะ คุณหมอสุดยอด!”
การชื่นชมอย่างจริงใจของอึนคังทำให้ยองอูหน้าแดงอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะเขิน แต่เพราะรู้สึกดี
“ทานไข่กับส้มสิครับ เช็ดมือด้วยทิชชู่เปียกก่อนนะครับ”
“ค่ะ จะกินให้อร่อยเลยนะค้า งือ ดีมาก ไข่กับส้มที่ปอกกินบนรถไฟนี่ดีสุดๆ”
“ทานเยอะๆ นะครับ เปลือกเอาใส่ถุงนี้”
เห็นอึนคังจะยัดไข่ที่ยังปอกเปลือกออกไม่หมดใส่ปากทั้งใบ ยองอูก็รีบส่งไข่ที่ตัวเองปอกแล้วให้เธอ
“ทานนี่สิครับ อันนั้นเอามาให้ผม”
“อ๊ะ ขอบคุณค่ะ”
“ต้มไข่เก่งมาก ไข่แดงยังฉ่ำๆ แบบนี้”
“ลองทางมันด้วยสิครับ มันหวานเอามาอบแห้ง หวานมากเลยนะครับ”
“เฮือก!”
ทันที่หยิบมันชิ้นนึงใส่ปาก ดวงตาของอึนคังก็เบิกโตให้กับความหวานที่กระจายเต็มปาก
“พระเจ้า! นี่มันหวานสุดยอด!”
“ใช้ได้ไหมครับ”
“ไม่เห็นเหรอคะว่าวิญญาณฉันแทบหลุดลอยออกจากร่าง ฉันชอบอะไรหวานๆ มาก แต่อันนี้มันต่างกับที่เคยกินๆ มาเลย! เรียกว่าเป็นรสหวานที่รู้สึกได้ถึงรสมือของคุณหมอได้ไหมนะ”
ยองอูยิ้มขำคำพูดเจื้อยแจ้วของอึนคัง
“ว้าว ของจริงเลยนะเนี่ย ว่าแต่เริ่มใช้เครื่องอบแห้งตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ ซื้อมาเพื่อทำให้พวกสัตว์ข้างถนนเลยเหรอคะ”
“ลูกหมาที่ผมเคยเลี้ยงตั้งแต่ตอนม.ปลายอยู่มาได้ประมาณสิบห้าปี ก็จากโลกนี้ไป ไม่กี่เดือนสุดท้าย เขาแทบจะกินอะไรไม่ได้ ขนมที่เคยชอบก็ไม่ยอมแตะเลยสักนิด ผมได้แต่เสียใจ กินโซจูมองเขานอน แต่เจ้านั่นเข้ามาหา ทำจมูกฟุดฟิดกับเนื้อตากแห้งที่ผมเอามากินเป็นกับแกล้ม ผมเลยฉีกให้ เขาก็กิน เป็นอาหารที่ยอมเคี้ยวกินด้วยตัวเอง… ผมดึงเขามากอด บอกว่าขอบคุณแล้วก็ร้องไห้ วันนั้นผมซื้อเครื่องอบแห้งมาอบทุกอย่าง ก็ยังคงเป็นปริศนาว่าทำไมถึงยอมกินอาหารอบแห้ง โชคดีที่ได้ให้กินเนื้อและมันอบแห้งอย่างเต็มที่จนถึงวันที่เขาจากไป”
คำพูดที่ว่าได้ให้กินอย่างเต็มที่จนถึงวันที่จากไปของยองอูโดนส่วนลึกในจิตใจของอึนคัง เธอได้ยินคำพูดที่เหมือนกันนี้จากชางซอกผู้เป็นพ่อเช่นกัน
ชางซอกที่แม้จะทำงานบ้านอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่ได้เรื่องเรื่องทำอาหาร กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารที่แทบจะไม่มีอาหารที่ทำไม่ได้ในช่วงเวลาไม่กี่ปีจนกระทั่งภรรยาที่เป็นมะเร็งจากโลกไป
ทันทีที่ได้รับแจ้งว่าเป็นมะเร็ง ชางซอกก็พักงานโรงเรียนชั่วคราว มาคอยอยู่เตียงข้างซอนยองตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เช้าเย็นจะไปเดินเล่น, เล่นโยคะ, นั่งสมาธิด้วยกัน มีเวลาว่างก็จะพาเธอขับรถไปดูดอกไม้ต้นไม้ พาไปดูทะเล
เพื่อซอนยองที่ชอบการดูหนังและการแสดงแล้ว เขาได้ทำปฏิทินวัฒนธรรมขึ้นมา ประทับตราการไปยังโรงหนังและโรงละคร ไม่ปล่อยเวลาแม้หนึ่งนาที หรือหนึ่งวินาที พยายามสร้างความสุขและความทรงจำดีๆ ให้แก่ภรรยา
แต่จากนั้นไม่ถึงปี ซอนยองก็อาการทรุดหนักอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ตั้งแต่ตอนนั้น ชางซอกก็พยายามมุ่งมั่นไปยังเรื่องการทำอาหารแทน
เรื่องเดียวที่ทำให้ภรรยาที่ไม่สามารถออกไปเที่ยว ไปดูหนังหรือการแสดงที่ชอบได้ในฐานะสามี มีแค่ทำอาหารที่เธออยากกินไปส่งให้ทุกมื้อ
ชางซอกทำอาหารที่ซอนยองชอบทุกวัน ใส่กล่องข้าวสวยงามไปส่งที่โรงพยาบาล การได้เห็นภรรยากินอย่างเอร็ดอร่อย คือความดีใจที่สุดในโลกแล้ว
อาการค่อยๆ ทรุดหนักลงเรื่อยๆ ปริมาณอาหารก็ค่อยๆ ลดลง แต่ชางซอกก็ยังไม่หยุดส่งข้าวกล่อง ซอนยองกินได้ไม่กี่ช้อนก็ยังดี แม้จะกลืนไม่ลงอาเจียนออกมาก็ไม่เป็นไร วันนี้กินไม่ได้ พรุ่งนี้ก็จะทำอาหารให้อร่อยขึ้นอีก ถ้าพรุ่งนี้อาเจียนออกมา มะรืนก็ทำอาหารที่ย่อยง่ายขึ้น…
เขาทำอาหารที่ชวนให้ภรรยาอยากอาหารออกมามากมายไม่หยุด ด้วยใจที่หวังให้มีปาฏิหาริย์ทุกวัน ชางซอกเคี่ยวซุปกระดูก ต้มแกงเนื้อ ตุ๋นโสม ทำเกี๊ยว และต้มซูจองกวา[1]
เพราะความรักและความเอาใจใส่ของสามี ทำให้วาระสุดท้ายซอนยองหลับไปอย่างสบาย ไม่ทุกข์ทรมานมาก
‘พ่ออึนคังที่รัก ฉันได้เที่ยวชมโลกที่ชอบมานานจนหมดเวลาของฉันแล้ว และฉันกำลังจากไปอย่างช้าๆ ฉันจะต้มแกงเนื้อที่คุณชอบไว้คอย เพราะสิ่งที่คุณทำให้กินจนอิ่ม ทำให้ฉันไม่กลัวสักนิด ไม่ว่าจะเป็นนรกหรือโลกหน้า ขอบคุณนะคะ’
นึกถึงคำพูดสุดท้ายของแม่ขึ้นมา น้ำตาก็หยดลงบนมันอบแห้ง
[1] ซูจองกวา น้ำต้มอบเชยกับขิงใส่ลูกพลับแห้งและเม็ดสน