รักวุ่นวายของ Cool Guy สายเนี้ยบ - บทที่ 70 ของของฉัน, ผู้ชายที่อยากได้คืน
“สวัสดีครับ ผมคิมมินแจ หน้าแผนกวางกลยุทธบูกยองกรุ๊ปครับ”
“ผมรยูจีฮวัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ผม ฮวังชางซู กรรมการผู้จัดการบูกยองกรุ๊ป”
“สวัสดีครับ ผมรยูจีฮวัน”
“ดิฉันชเวราฮี ตัวแทนมูลนิธิบูกยองปันรักค่ะ”
“รยูจีฮวัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ราฮีเองก็ทำหน้าตกใจไม่แพ้จีฮวัน แต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติในชั่วพริบตาไม่ให้ใครรู้นอกจากจีฮวัน
“ขอโทษด้วยนะครับที่เรียกมาวันอาทิตย์ที่เป็นวันพักผ่อน พอดีสถานการณ์ของเราเร่งด่วน ช่วยเข้าใจด้วยนะครับ”
จีฮวันรับฟังคำขอโทษที่ไม่เหมือนคำขอโทษของผู้จัดการฮวังอย่างสุภาพและมีมารยาท
“ผมเข้าใจครับ ขอบคุณที่ให้ผมได้ร่วมทำงานนะครับ”
“เราย้ายสถานที่กันดีกว่าครับ ไม่ใช่อะไรนะครับ ไปกินมื้อเย็นแล้วค่อยๆ คุยกันไปด้วยดีไหมครับ คุณจีฮวันว่าไงครับ”
“ครับ ได้ครับ”
“ตัวแทนชเวล่ะครับ”
“ฉันก็โอเคค่ะ หัวหน้าแผนกคิม อาหารเตรียมเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ”
เสียงดังกังวานและมั่นใจในตนเองของราฮีดังขึ้น แม้เสียงจะไม่ได้ดังนัก แต่คนที่อยู่ที่บาร์ทั้งหมดก็หันมาราวกับถูกสะกด
ความงดงาม ความสงบเยือกเย็น และความภูมิฐานทั้งหมด ความสง่างามที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของราฮี ควบคุมบริเวณนั้นชั่วขณะ
“ครับ จองมื้อเย็นกับห้องอาหารของโรงแรมไว้แล้วครับ ลงไปได้เลยครับ”
หัวหน้าแผนกคิมและตัวแทนจัดหางานเดินนำหน้า มีผู้จัดการฮวังกับราฮีเดินขนาบข้างจีฮวัน ทั้งหมดออกมาจากบาร์ ตรงไปยังลิฟต์
ทั้งคณะมีทั้งหมดห้าคน แต่สายตาของผู้คนลบชายทั้งสามออก และจับจ้องแค่จีฮวันกับราฮีเท่านั้น เป็นชายหนุ่มและหญิงสาวที่เหมาะสมกันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าจริงๆ
สายตาของจีฮวันขณะเดินมาตามทางเดินมองไปยังผู้จัดการฮวังที่อยู่ทางซ้าย แต่ความสนใจกลับไปอยู่ที่ราฮีที่อยู่ทางขวาทั้งหมด
‘รับหน้าที่เป็นตัวแทนมูลนิธิบูกยองปันรัก’
ตอนสัมภาษณ์ว่าเป็นบูกยองกรุ๊ปก็ว่าตกใจแล้ว ยิ่งตัวแทนมูลนิธิคือราฮี ยิ่งเป็นอะไรที่ไม่คาดฝัน
ราฮีรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าในผู้สัมภาษณ์สามคนเราเป็นคนสุดท้าย คนตัดสินใจคนสุดท้ายไม่มีทางที่จะไม่มีข้อมูล แล้วสีหน้าตกใจนั่นคืออะไร หรือกระบวนการหาคน ผู้จัดการกับหัวหน้าแผนกอาจจะปรึกษากัน และราฮีแค่เป็นคนตัดสินใจสุดท้ายก็เป็นได้ ต้องมาเกี่ยวข้องกับบูกยองกรุ๊ป มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
“คุณนี่รูปหล่อจังเลยนะครับ หู่นก็ดีผอมสูง เห็นรูปในใบสมัครว่าดูภูมิฐานแล้ว ตัวจริงก็ไม่ต่างกันเลย”
“ชมมากเกินไปแล้วครับ”
โชคดีที่ได้คำชมของผู้จัดการฮวัง จีฮวันเลยได้รวบรวมสติที่แตกกระเจิงเพราะความสับสนวุ่นวายใจ
* * *
“โอ๊ยยย เอวฉัน!”
อึนคังที่ทำงานไม่ได้พักเกือบสามชั่วโมง แอ่นเอวเอนไปข้างหลัง เสียงดัง กร๊อบบบ
“ตายจริง พักดื่มนี่สักหน่อยเถอะจ้ะ กินอยู่ธรรมดาพื้นๆ เลยไม่มีแก้วสวยๆ สักใบ”
ในแก้วกระดาษที่เจ้าของบ้านพักพิงที่ชองพยองยื่นให้มีกาแฟสำเร็จรูปควันฉุยใส่อยู่เต็ม
“ขอบคุณค่ะ กาแฟก็ต้องใส่แก้วกระดาษนี่แหละเจ๋งสุด!”
ปกติอึนคังไม่ดื่มกาแฟ แต่รับมาเพราะรู้ว่าเป็นของที่เจ้าของบ้านเอามาต้อนรับแขกอย่างดีที่สุด เจ้าของบ้านพักพิงมองอึนคังจิบกาแฟอย่างเอร็ดอร่อยอย่างดีใจด้วยสีหน้าราวกับแม่ที่มองลูกสาว
“อ้า อร่อยจังเลย! ชงกาแฟได้อร่อยอย่างนี้ได้ยังไงคะ”
“นั่นเพราะคุณอึนคังจิตใจดี มองโลกในแง่ดีต่างหาก”
“เอ๋ ไม่ใช่หรอกค่ะ มันอร่อยจริงๆ เปิดร้านคอฟฟี่ช็อปเลยไหมคะ เป็นบาริสต้าได้เลยนะคะเนี่ย!”
คำชมของอึนคังทำเอาเจ้าของบ้านพักพิงหัวเราะเสียงดัง
“ว่าแต่ทำงานได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้เลยเหรอ ฝีมือไม่ธรรมเลยนะจ๊ะ”
เก็บกวาดมูลที่กระจายอยู่แถวกรงหมาและรั้วจนสะอาด พวกกล่องก็เก็บเรียงกันเป็นชั้นๆ มัดด้วยเชือก ชามอาหารและน้ำของหมาหลายสิบใบที่วางคว่ำไว้แถวก๊อกน้ำสะท้อนแสงแดดแห้งเป็นเงาวับแสบตา
“หนูทำความสะอาดบ้านคนอื่นเก่งค่ะ แต่บ้านตัวเองยังกะเล้าหมู ที่สะอาดกว่าห้องหนูเสียอีก ทำความสะอาดง่ายอะไรขนาดนี้ หนูย้ายมาอยู่นี่เลยดีไหมคะ”
“งั้นเหรอจ๊ะ จะมาอยู่เมื่อไหร่ก็มานะ”
“จริงเหรอคะ งั้นหนูขนของย้ายมามะรืนนี้เลยค่ะ”
อึนคังกอดแขนเจ้าของบ้านพักพิงออดอ้อน เจ้าของบ้านพักพิงหัวเราะออกมาเสียงดัง ยองอูที่ออกมาจากในบ้านหยุดชะงัก ตกใจกับภาพที่เห็น
ยองอูตกใจว่าแรงดึงดูดทางเคมี ‘ที่เหมือนกับหมา’ ของอึนคังที่เพิ่งเจอกันไม่นาน ก็ทำให้เจ้าตัวกอดแขนเจ้าของบ้านพักพิงหัวเราะเฮฮาแล้ว
“ทำอะไรต่อดี ถ้ามีอะไรให้ช่วยทำอีก เรียกได้เลยนะคะ!”
“ถ้างั้น ช่วยจัดการพวกอาหารให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ หลายวันก่อนได้รับบริจาคมาจากบริษัทอาหารสัตว์ ต้องแบ่งเป็นถุงเล็กๆ แต่มันหนักมาก เลยยกไม่ไหว”
“ผมจะช่วยด้วยครับ”
ยองอูก็มาช่วยด้วย เริ่มลงมือแกะอาหารจากหลายสิบกระสอบออก แล้วแบ่งใส่ถุงในปริมาณที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ท่าทางนั่งล้อมวงรอบอาหารที่กองเป็นภูเขา ดูเหมือนพวกผู้หญิงบ้านนอกที่มารวมตัวกันทำกิมจิก็ไม่ปาน
“มานั่งล้อมวงกันแบบนี้ดีจัง เหมือนลูกเขย ลูกสะใภ้กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงเทศกาลเลย”
จากคำพูดของเจ้าบ้านพักพิง ยองอูมองอึนคังด้วยสายตาพะวักพะวน อึนคังรีบพูดเจื้อยแจ้ว
“เอ๋ พี่สาวบ้านพักพิงของพวกเราทันสมัยจังเลยนะคะ ช่วงนี้เทรนด์ลูกสาวกำลังฮิต งั้นให้พวกหนูเป็นลูกสาวกับลูกเขยมาหาวันเทศกาลนะคะ”
“อะไรกัน งั้นคุณอึนคังมาเป็นลูกสาวฉันนะจ๊ะ”
“ค่าแม่ ช่วยตีก้นแปะๆ ลูกสาวคนนี้ด้วยนะค้า”
“โอ้ ได้เลยๆ ลูกสาวแม่”
เจ้าของบ้านพักพิงตบก้นอึนคังเหมือนทำกับลูกหมา อึนคังหัวเราะเอิ๊กอ๊าก แรงดึงดูดทางเคมีของจากูไม่ได้มีมาโดยกำเนิดหรอก คิดว่าน่าจะเรียนรู้มาจากอึนคังนี่แหละ แรงดึงดูดทางเคมีที่น่าตกใจของอึนคังทำเอายองอูอึ้งอีกครั้ง
“ไปกินข้าวเย็นกันเถอะจ้ะ จะไปต้มบะหมี่มาให้”
งานเสร็จหมดแล้ว เจ้าของบ้านพักพิงก็ลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ เรามาช่วย ไม่ได้อยากจะรบกวน…”
“รบกงรบกวนอะไร ควรจะมีข้าวกับแกงสักถ้วยไว้ต้อนรับ แต่มีแค่บะหมี่ ขอโทษทีนะ แต่เดี๋ยวจะใส่ไข่กับต้นหอมลงไปต้มให้อร่อยเลย พักกันก่อน เดี๋ยวจะรีบต้มมาให้”
เจ้าของบ้านพักพิงหายเข้าไปในบ้าน อึนคังกระซิบกับยอนอูด้วยสีหน้าละล้าละลัง
“จะดีเหรอคะ เรามาช่วย ไม่ได้จะมารบกวนสักหน่อย…”
“ท่าทางท่านจะถูกใจคุณนักเขียนมากเลยนะครับ ได้ยินว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา แกกินแค่เช้ากับเย็นแค่สองมื้อ ผมมานี่ปีกว่าแล้ว ยังไม่เคยได้ยินแกชวนกินข้าวเย็นเลยสักครั้ง แอบเศร้านิดหน่อยนะครับ ฮ่าๆ”
“จริงเหรอคะ งั้นพาฉันมาด้วยก็ดีใช่ไหมล่ะ”
“ครับ เพราะคุณนักเขียน ผมเลยพลอยได้กินบะหมี่ไปด้วย”
“วันนี้ฉันประทับใจคุณหมอมากเลยนะคะ ที่อุทิศตัวเองดูแลพวกสัตว์เจ็บป่วย เพราะสายตาที่เปี่ยมด้วยความเมตตาของคุณหมอ ทำให้พวกเด็กๆ วางใจและเชื่อใจยอมทำตามเต็มที่”
“ผมเองก็ประทับใจคุณนักเขียนเหมือนกันครับ ทำงานเหงื่อไหลไคลย้อยตั้งหลายชั่วโมงไม่ได้เงยหน้าเลย ขอบคุณที่ตั้งใจช่วยนะครับ”
“คราวหน้า ถ้าคุณหมอมาอีก ฉันขอตามมาด้วยได้ไหมคะ”
“จริงเหรอครับ”
ยองอูตาโตขึ้น
“ค่ะ วันนี้ได้คิดอะไรเยอะแยะ ฉันเลี้ยงจากูแค่ตัวเดียว เลยรู้สึกผิดมาก ให้ความสำคัญแต่กับหมาของตัวเอง เหมือนอยู่แบบคนเห็นแก่ตัว รู้สึกอายจัง ฉันได้เรียนรู้สิ่งที่ถึงแม่จะให้เงินก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เยอะเลยค่ะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณหมอ ฉันอยากไปทำอาสาด้วย”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะห้ามนี่ครับ แต่คุณนักเขียนไม่ยุ่งเตรียมเขียนนิยายเรื่องใหม่เหรอครับ”
“ถ้าเริ่มเขียนเรื่องใหม่แล้ว จะให้สะดวกก็เดือนละสองครั้ง? หรือเดือนละครั้ง? อาจจะมาบ่อยๆ ไม่ได้”
“ผมเองก็มาได้ประมาณนั้นแหละครับ อย่าเอามาเป็นภาระให้ตัวเองนัก ไว้มีเวลาเมื่อไหร่ ค่อยมากันสบายๆ เถอะนะครับ”
“ตกลงค่ะ!”
ชั่วขณะที่อึนคังยิ้มอย่างสดใส หัวใจของยองอูก็กระตุกวาบ จู่ๆ ความรู้สึกที่ไม่คาดหมายก็เข้าจู่โจม
“เอ้า มากินกันเถอะ!”
เจ้าของบ้านพักพิงถือถาดออกมาวางลงบนโต๊ะ
“ว้าว! บะหมี่!”
อึนคังและยองอูนั่งล้อมโต๊ะ เจ้าของบ้านพักพิงหยิบโซจูออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอก วางตุบลงบนโต๊ะ
“ปีนึงจะมีสักวันที่ฉันอยากกินเหล้าแทบบ้าสักครั้ง และวันแบบนั้นก็คือวันนี้ คุณหมอ ดื่มสักแก้วนะคะ”
“ได้ครับ ยังไงผมก็กลับรถไฟ ดื่มสองแก้วก็ไม่เป็นไรครับ”
“คุณอึนคังล่ะ ชอบใช่ไหม เหล้าลอยอยู่บนหน้าเลยนะจ๊ะ”
“กรี๊ด! รู้ได้ยังไงคะ มีตาทิพย์แน่ๆ!”
“ชอบผู้คน มองโลกในแง่ดี ร่าเริงสดใส คุยเก่ง โอบอ้อมอารี ร้องไห้ก็เยอะ ไม่เคยเห็นคนแบบนี้ไม่ชอบเหล้า วันนี้ขอบคุณมากๆ เลยนะ รับไปสักแก้ว คุณหมอก็ด้วย ขอบคุณมากที่มาช่วยเสมอ”
“หนูรินให้นะค้า มาสิคะ มาสิคะ”
ไม่ทันรู้ตัวพระอาทิตย์ก็ตกดิน ภายใต้ท้องฟ้าคืนปลายฤดูใบไม้ร่วงที่พระจันทร์และดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ เสียงสดใสชนแก้วกับเสียงสัตว์หลายสิบตัวเคี้ยวอาหารดังสอดประสานกันอย่างรื่นเริง
“อ้า สุดยอดบะหมี่ ใส่ไข่กับต้มหอมลงในน้ำซุปธรรมชาติที่ทำจากปลาโชวีกับสาหร่ายทาชีมา! แล้วยังเหล้าพร้อมสรรพนี่อีก อันตราย อันตราย!”
ไม่ทันรู้ตัวขวดโซจูก็ว่างเปล่า
“รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ฉันเลยมีโซจูเก็บเอาไว้อีกขวดคอยตรงนี้ อย่าคิดหนีไปไหนล่ะ”
เจ้าของบ้านพักพิงที่หน้าแดงเพราะฤทธิ์โซจูเข้าไปเอาเหล้า
“คุณหมอจะไม่เป็นไรเหรอคะ ขึ้นรถไฟไม่ทันจะทำยังไง ฉันจองเพนชั่นไว้แล้ว”
“ขึ้นรถไฟด่วนไปก็ได้ครับ เที่ยวสุดท้ายจากสถานีชองพยองไปถึงซังบงมีถึงห้าทุ่มหน่อยๆ ทันครับ แล้วก็ขึ้นรถไฟด่วนจากซังบงไปอิลซานอีกที”
“โอ๊ย เหนื่อยแย่ พรุ่งนี้ต้องเปิดรพ.อีก…”
“คุณหมอจี! คุณหมอจี!”
เสียงร้อนรนของเจ้าของบ้านพักพิงดังขึ้น ยองอูลุกพรวดวิ่งเข้าไปในบ้านทันที อึนคังตามหลังไปด้วยสีหน้ากังวล