รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 126
บทที่ 126 ชอบของเธอคือรักใช่ไหม
หลินเวยมี่ไม่รู้จะพูดกับเขาอย่างไร ในใจมีความไม่แน่ใจเพราะว่ากลัวเลยไม่กล้าพูดออกมา
“เสี่ยวชี ตกลงว่าเธอรู้อะไร บอกฉันมา”
ความหอมของสบู่อาบน้ำที่สดชื่นได้กระทบเข้ามา เธอเงยหน้ามองนัยน์ตาที่ลึกซึ้งของกู้จุนเฟิง หัวใจก็ให้เจ็บอีก
“เสี่ยวจื๋อ ตกลงว่าปีนั้นได้เกิดอะไรขึ้น”หัวใจของเธอรัดแน่นและถามต่อว่า”ทั้งหมดเป็นสิ่งที่พ่อฉันทำใช่ไหม”
นัยน์ตาของกู้จุนเฟิงรัดแน่น สีหน้าปรากฏความซีดเซียว นั่งอยู่อีกข้างแล้วจุดบุหรี่ขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ในห้องเงียบสงบไม่มีใครกล้าทำลายความเงียบนั้น กลัวว่าหลังจากที่ทำลายความสงบนี้ลงได้แล้วสิ่งต่อไปคือ พวกเขาไม่มีใครสักคนนึงจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้
“เสี่ยวชี เรื่องอดีตฉันไม่อยากพูดถึงฉันไม่ได้เกลียดเธอ” เขาถอนหายใจเราพลางพูดต่อว่า” ฉันเองก็ได้ทำเรื่องผิดพลาดมาเยอะมาก แล้วก็เข้าใจมากเช่นกัน บางเรื่องนั้นก็พลาดไม่ได้จริงๆ เพราะอาจจะเดิมพันไปตลอดชีวิต”
หลินเวยมี่ตัวสั่นเทา ก้มสายตาลง แล้วถอนหายใจถามด้วยเสียงเบาว่า”ดังนั้นพวกเราก็พลาดกันแล้วใช่ไหม”
ในห้องนั้นก็เงียบขึ้นมาอีกครั้ง หลินเวยมี่ รู้สึกทันใดว่าความเงียบนี้นั้นมันอึดอัดมาก อึดอัดจนเกือบจะหายใจไม่ทัน บรรยากาศนั้นยิ่งเบาบางมากยิ่งขึ้นเธอเปิดประตูหน้าต่างออกไปให้ลมนั้นพัดเข้ามา
ลมเย็นนั้นได้พัดเข้ามาที่ร่างของเธอเลยทำให้เธอนั้นรู้สึกหนาวทั่วร่างนั้นสั่น
มือนั้นถูกฝ่ามืออันอบอุ่นจับไว้ เธอเบิกตาขึ้น มองกู้จุนเฟิงที่เข้ามาอยู่ใกล้ๆในใจก็สั่นแล้วก็กลับมาสู่ความเงียบ
เขาเอาหน้าต่างนั้นปิดลงสนิทแล้วมองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงบ รู้สึกว่าหัวข้อสนทนาในวันนี้นั้นอึดอัดมากจริงๆ ราวกับว่าจะเอาปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างพวกเขานั้นออกมาให้ชัดเจน
ไม่มีใครมีวิธีการแก้ปัญหา แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าตอนจบสุดท้ายมันจะเป็นอย่างไรกู้จุนเฟิงพิจารณามองหลินเวยมี่อย่างลึกซึ้ง แล้วถอนหายใจ
“เสี่ยวชี ไม่พูดเรื่องนี้ไปก่อนได้ไหม” เขาพูดอย่างจนใจ
หลินเวยมี่ก้มหน้าลงไม่พูดอะไร อารมณ์นั้นรู้สึกอึดอัดใจมาก”เสี่ยวจื๋อ จริงๆพวกเราควรที่จะพูดให้ชัดเจน แม้ว่าในปีนั้นฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่การได้ก่อบาดแผลให้กับครอบครัวของเธอนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอน”
” แต่ฉันไม่รู้ว่าควรที่จะชดใช้คืนเธออย่างไร”
” ฉันไม่ต้องการการชดใช้อะไร!”เสียงของกู้จุนเฟิงทุ้มต่ำ นัยน์ตาเผยให้เห็นถึงความรำคาญ” อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยจะได้ไหม เธอแค่เข้าใจเปลือกนอกก็พอส่วนภายในนั้นยังมีเรื่องที่เธอไม่รู้อีกเยอะ อย่าถามอีกเลยอย่าพูดถึงอีกเลย”
หลินเวยมี่เงียบ ความไร้เรี่ยวแรงได้ทะลักเข้ามา แล้วพลางถอนหายใจ เบ้าตารู้สึกเลือนลางเธอไม่พูดอะไร
“เสี่ยวชี ฉันไม่ได้ดุเธอ ฉันแค่ไม่อยากให้เธอได้รับบาดแผล อย่าถามถึงอีกเลย”
“เสี่ยวจื๋อ แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี” เธอถามอย่างสะอึก”ฉันชอบเธอชอบมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
กู้จุนเฟิงร่างแข็งทื่อ มองหลินเวยมี่อย่างสงบ ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง ชั่วขณะนั้นไม่ชัดเจนว่าควรจะตอบรับเธออย่างไร”
” แต่ว่าเธอนั้นได้แต่งงานแล้วความชอบนี้ก็ได้ถูกซ่อนไว้ในใจของฉัน” เธอจ้องมองเขาน้ำตาก็ไหลออกมา เธอรีบเช็ดมันอย่างสะอาดแล้วพูดต่อว่า” ต่อให้รู้ว่าเธอนั้นเอาฉันยื่นส่งให้กับฉู่เฉินซี ต่อให้ฉันรู้ว่าเธอทำร้ายพ่อของฉัน ความรู้สึกนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ในมือของกู้จุนเฟิงกำไฟแช็คไว้แน่นและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า”เธอแน่ใจหรอว่านั่นใช่ความรัก”
เพราะตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าคำว่าชอบที่ออกมาจากปากหลินเวยมี่นั้นคือคำว่ารักหรือเปล่า เขารักเธออย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าเธอล่ะ?
เขาไม่แน่ชัดว่าคนที่เธอนั้นชอบเป็นตัวเขาในปัจจุบันหรือเป็นความรู้สึกตอนเด็ก แล้วก็ไม่รู้ว่าความรักของเธอนั้นจะสามารถอยู่ได้นานเท่าไหร่
หลินเวยมี่มองกู้จุนเฟิงอย่างงงงัน นัยน์ตาขาวดำคู่นั้นปรากฏความลุกลี้ลุกลนแล้วก็ไม่แน่ใจ เธอนั้นนึกมาตลอดว่าตัวเองนั้นชอบกู้จุนเฟิง แต่ว่าตอนนี้ได้ประสบกับการเอ่ยปากถามของกู้จุนเฟิงอย่างนี้ ทำไมเธอถึงลังเลใจ
ทำไมในหัวสมองถึงปรากฏภาพของฉู่เฉินซี มือของเธอนั้นกำแน่นแล้วรีบก้มหน้าลง
” แต่ว่าเธอแต่งงานแล้วนะ”
บางทีถ้าเขาไม่แต่งงานเรื่องราวอาจจะกลับตาลปัตรบางทีพวกเขานั้นก็อาจจะอยู่ด้วยกัน? ในสมองของเธอนั้นยุ่งเหยิง ได้ใคร่ครวญถึง คำถามของกู้จุนเฟิงที่ถามนั้น พยายามที่จะเอาปัญหาทั้งหมด ไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
บนใบหน้าของกู้จุนเฟิงปรากฏรอยยิ้มขื่นขม ระหว่างคิ้วนั้นเผยให้เห็นความกลัดกลุ้ม แล้วค่อยๆเข้าไปใกล้ข้างเตียง ระหว่างพวกเขานั้นมีปัญหาที่ฝังอยู่มากมาย ไม่ใช่แค่เพียงน้อยนิด แล้วก็ไม่ใช่จะจัดการได้อย่างทันที
“เสี่ยวชี เธอพูดความจริงกับฉัน ตกลงว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับฉู่เฉินซีกันแน่”
ร่างของหลินเวยมี่แข็งทื่อ ไม่กล้าที่จะเงยหน้า เงียบไปสักพักถึงจะเอ่ยปากพูดขึ้นว่า” ก็ไม่ยังไงนิ เขากักขังฉันไม่ให้ฉันใช้ชีวิตตามปกติฉันเฝ้ารอความเป็นอิสระ”
” สิ่งที่ฉันถามคือความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา”
“ฉันไม่รู้”
กู้จุนเฟิงยิ้มขื่นขม มองเธออย่างเงียบๆ รู้สึกถึงความกังวลของเธอ เพียงแต่ว่าทำไมเธอถึงตอบว่าไม่รู้
” เธอพาฉันหนีได้ไหม พวกเราออกไปจากที่นี่กัน” เธอเงยหน้าขึ้นทันทีแล้วมองกู้จุนเฟิงอย่างลึกซึ้งสายตานั้นปรากฏความขอร้องวิงวอน
เพียงแค่ออกไปจากที่นี่พวกเขาก็จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป
“เสี่ยวชี เลือกที่จะหนีไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหานะ” เขาลูบเส้นผมที่นุ่มนิ่มของเธอเบาๆ ในตาปรากฏความจนใจ” แต่ว่าถ้าเธออยากที่จะหนีฉันก็จะพาเธอหนี”
เช้าตรู่ ฝนไม่มีท่าทีที่จะหยุดตก ทั่วร่างของหลินเวยมี่สะลึมสะลือ นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงฝนตกที่อยู่ด้านนอกอย่างเลือนราง บางทีเธออาจจะป่วย
“เสี่ยวชี ลุกขึ้นกินยา” กู้จุนเฟิงค่อยๆเรียกชื่อเธอ ฝ่ามือใหญ่นั้นไปแตะที่หน้าผาก หน้าผากนั้นร้อนมาก
เดิมทีพูดกันไว้ว่าตอนบ่ายนั้นจะหนีไปใครจะไปรู้ว่าเธอกลับจะป่วยและตัวร้อน
หลินเวยมี่ลุกขึ้นนั่งอย่างเลอะเลือน ใบหน้าน้อยที่ขาวนั้นก็ปรากฏจ้ำแดง หรี่ตามองยาที่ถูกถือเข้ามา เรากลับเบะปาก
” น้ำตาลล่ะ”
กู้จุนเฟิงชะงัก ไม่ได้คิดถึงที่จะเตรียมน้ำตาล” เธอรออยู่ที่นี่ฉันจะไปซื้อ”
” ไม่ต้องหรอก” เขาจับมือเธอไว้ แล้วพูดด้วยใบหน้าตำหนิว่า” เธอต้องแอบขโมยกินน้ำตาลของฉันแน่ๆเธอนี่มันบ้าจริงๆ”
“ฉู่เฉินซี ฉันจะบอกกับเธอว่าวันหลังไม่อนุญาตให้ขโมยกินแล้วนะยามันขมมาก” เธอกินยาลงไปแล้วยังคงเลอะเลือนต่อ
กู้จุนเฟิงจ้องมองเธออย่างเหม่อลอย นัยน์ตานั้นปรากฏความขื่นขม เธอไม่มีความรู้สึกอะไรต่อฉู่เฉินซีจริงๆหรอ แล้วทำไมตอนที่เธอไม่ได้สติสัมปชัญญะเลย คนที่คิดถึงกลับเป็นฉู่เฉินซีที่อยู่ข้างกายเธอ
ในหัวใจนั้นราวกับว่ามีก้อนหินก้อนใหญ่ติดอยู่ มันติดอยู่อย่างนั้นหายใจก็ไม่สะดวก
ทั้งวันนั้นไข้ของหลินเวยมี่นั้นถือได้ว่าลดลงไป กู้จุนเฟิงโล่งอก แล้วตบที่ข้างแก้มของเธอเบาๆ
“เสี่ยวชี ฉันไปซื้อข้าว เธอรอฉันอยู่ที่นี่นะ”
หลินเวยมี่หรี่ตาจ้องมองเขา แล้วพูดเสียงอืมเบาๆ แล้วนอนต่อ
กู้จุนเฟิงได้ยินการตอบรับของเธอก็สบายใจแล้วออกไปจากบ้านคนเดียว
แต่ว่าไม่นานเสียงประตูก็ดังขึ้นมาอีก
” ทำไมเธอถึงกลับมาอีก” แม้ว่าไข้นั้นจะลดลงแล้วแต่ว่าทั่วร่างของหลินเวยมี่นั้นยังคงรู้สึกเบาหวิว ไม่มีเรี่ยวแรง
ประตูห้องนั้นก็ได้ถูกพละกำลังใหญ่ให้เปิดออก ผู้หญิงที่สวมเสื้อเชิ้ตยาวสีแดงปรากฏอยู่ที่หน้าประตูเมื่อโจ่วซินมองผู้หญิงที่อยู่ด้านใน ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นทันที
กัดฟันกรอดๆ อยากที่จะเอาผู้หญิงที่อยู่ด้านในนั้นฉีกเป็นฟ้อนๆ
“นังตัวดี แกนี่เป็นเงาตามตัวไม่เลิก”โจ่วซินกัดฟันด่า สาวเท้าเดินมาข้างหน้าแล้วกระชากผมของเธอ
หลินเวยมี่รู้สึกเจ็บที่หนังศีรษะ แต่ว่าทั่วร่างนั้นไม่มีแรงจึงได้แต่ไปตามแรงมือที่กระฉาก
” ฉันเคยเตือนแล้วไง ว่าอย่ามายั่วยวนสามีฉันอีก ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ฟัง ยังอยากจะลองดี”
โจ่วซินที่ดวงตาแดงก่ำใช้ฝ่ามือฟาดลงไปที่ใบหน้าของเธอ แล้วกระชากผมมองใบหน้าเธอด้วยความโหดเหี้ยม
“เธอยั่วยวนฉู่เฉินซีก็ไม่เป็นไร แต่ยังจะมายั่วยวนผู้ชายของฉัน เธอยังจะหน้าด้านอีกหรอ” เธอพูดตวาดอย่างบ้าคลั่ง”ไม่ใช่ฉู่เฉินซีกำลังหนุนหลังเธออยู่หรอ เธอไปเรียกเขามาสิ ให้เขานั้นมาดู ว่าผู้หญิงที่เขาปกป้องนั้นมันมีนิสัยยังไงกันแน่”
ทั่วร่างของหลินเวยมี่ไม่มีแรง เลยได้แต่ไปตามแรงของเธอ รู้สึกแค่โจ่วซินทุบตีเธออย่างบ้าคลั่ง
” ไสหัวไป! ปล่อยฉัน!” เธอพูดด้วยเสียงแหบแห้งเสียงของเธอนั้นน้อยนิดเมื่อเทียบกับโจ่วซิน
” เธอมันนางสาระเลวทำไมไม่ไปตาย ทำไมห๊ะ”โจ่วซินใช้แรงทุบตีเธอ เท้านั้นกระทืบที่ท้อง
หลินเวยมี่ขดตัวลง เหงื่อเม็ดใหญ่นั้นได้ปรากฏอยู่ที่บนหน้าผากของเธอ ท้องนั้นเหมือนได้ถูกฟันด้วยมีดรู้สึกร้อน
ใบหน้าของเธอนั้นซีดเซียวชั่วขณะดวงตานั้นเบิกกว้าง ระหว่างคิ้วสีความแปลกใจ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้
“เห้ย ผู้หญิงบ้าคนนี้ทำอะไรปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” คุณป้าที่อยู่ห้องด้านข้างนั้นเข้ามาจับโจ่วซินไว้ มองหลินเวยมี่ที่ขดอยู่บนเตียงอย่างน่าสงสาร
” สะใภ้ของบ้านจุนเฟิงหนูไม่เป็นอะไรใช่ไหม” คุณป้านั้นรีบเดินเข้ามาอยากที่จะประคองหลินเวยมี่ให้ลุกขึ้น
” ภรรยาของกู้จุนเฟิง หึๆ หลินเวยมี่เธอมันหน้าไม่อายจริงๆ” โจ่วซินผลักคุณป้าไปอีกด้านแล้วมองหลินเวยมี่ที่คลานอยู่บนเตียงอย่างเหยียดหยาม
” ฉันต่างหากที่เป็นภรรยาของกู้จุนเฟิง แกน่ะมันนางเมียน้อย เมียน้อยที่ขโมยเอาสามีของคนอื่น”
สีหน้าของหลินเวยมี่แข็งทื่อ ความเจ็บปวดทั่วร่างกายนั้นทำให้เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ มันรู้สึกร้อนๆ เธอคิดไปถึงผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด เธอยอมที่จะเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความจริง
เป็นไปได้ยังไงที่เธอจะท้อง?
” แต่คุณก็จะมาตีคนอื่นเขาแบบนี้ไม่ได้ เอ๊ะ ทำไมหนูถึงเลือดออก” คุณป้ามองหลินเวยมี่อย่างตื่นตระหนก
โจ่วซินก็ตะลึง มองรอยเลือดที่อยู่บนกระโปรงลายดอกไม้สีขาวของเธอ สีหน้านั้นแย่
“โจ่วซิน เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”กู้จุนเฟิงส่งเสียงถามอย่างตกใจที่ปากประตู
โจ่วซินมองกู้จุนเฟิงอย่างทำอะไรไม่ถูก แล้วก็หันกลับมามองหลินเวยมี่ที่คลานอยู่บนเตียง บนใบหน้าเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว
“ฉัน….”
กู้จุนเฟิงเห็นสีหน้าของเธอผิดปกติ ก็เดาอะไรขึ้นได้แล้วก็รีบเข้ามาในห้อง เห็นหลินเวยมี่ที่คลานสะบักสะบอมไม่น่าดูอยู่บนเตียง ในใจนั้นก็เจ็บปวด
ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรเยอะ เขาก็เอาเธอนั้นอุ้มขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็เห็นคราบเลือดที่กระโปรงของเธอ นัยน์ตาก็จ้องมองอยู่ที่ร่างของโจ่วซิน
” ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมาเธอก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ดี”