รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 144
บทที่ 144 ที่คุณรู้สึกเจ็บปวดเพราะผม ผมรับรู้แล้ว
หลินเวยมี่วางเครื่องประดับลงอย่างเป็นระเบียบ นำเครื่องประดับทั้งหมดวางลง หลังจากทำสมองให้ว่างเปล่าก็คิดไปถึงฉู่เฉินซีขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด เขาออกไปได้สามวันแล้วยังไม่กลับมา
หลังจากไม่ได้พบเขาส่วนลึกในหัวใจเธอก็รู้สึกโหว่งอย่างคิดไม่ถึง ถอนหายใจยาว สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่ ดูแล้วเธอคงโดนพิษมาไม่น้อย ไม่อย่างนั้นจะนึกถึงปีศาจตนนั้นขึ้นมาได้อย่างไร ?
“ไง คิดถึงใครอยู่หรือ?” ผู้ชายแซ่เฉินเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เข้ามา พิงบนเคาน์เตอร์ที่เธอกำลังเคาะนิ้วอยู่
สติของหลินเวยมี่ก็กลับมาทันที มองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้ถูกคนอื่นเห็นเธอใจลอย ก็พูดเสียงเบา “ทำไมคุณกลับมาอีกแล้ว?”
“ต่อจากนี้พวกเราต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน แน่นอนว่าต้องอยู่ด้วยกัน” เขาผิวปากตามใจชอบ มองคล้ายนักเลงสิ้นดี
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของเพื่อนร่วมงาน ใบหน้าของเธอแดงใบทั้งหน้า สายตามองตรงไปแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา
“มีธุระอะไรรอให้ฉันเลิกงานก่อนแล้วค่อยคุยกัน คุณทำแบบนี้มันจะส่งผลต่องานของฉัน”
“ได้ รอเธอเลิกงาน” เขายิ้มแล้วพูด แล้วเดินออกประตูไป ในตอนที่กำลังจะออกไปยังไม่ลืมที่จะส่งจูบให้ผู้หญิงที่ยิ้มให้เขา
ทันใดนั้นสีหน้าของหญิงสาวก็แดงก่ำ
หลินเวยมี่ถอนหายใจ โคลงศีรษะลง ส่วนลึกในหัวใจไม่มั่นใจอีกครั้ง คนที่หลินจ่านหงพูดถึงที่สุดแล้วใช่เขาหรือเปล่า?
เมื่อถึงเวลาเลิกงานในตอนเที่ยง ก็เห็นเขามาปรากฏตัวที่หน้าประตูร้านขายเครื่องประดับตามที่คิดไว้ เขายืนพิงข้างเสา ด้วยใบหน้าท่าทางประหนึ่งคนที่ตกอับ
หลินเวยมี่มุมปากกระตุก เดินผ่านไปช้าๆ ตบไหล่ของเขา
“คุณลุงคะ ที่นี่ไม่เหมาะที่จะมาทำเท่นะคะ”
ผู้ชายแซ่เฉินฉีกยิ้มมุมปากขึ้น พูดช้าๆ “เธอพูดอะไรมั่วๆ ออกมา ใช่แล้ว ผมชื่อป่ายห้าว”
“ก็ได้ค่ะ คุณลุงป่ายห้าว ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ” ไม่แปลกที่หลินเวยมี่จะเรียกเขาแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ ไปจนถึงทรงผม มองเคราที่อยู่บนใบหน้า เขาให้ความรู้สึกของผู้ใหญ่มีจิตใจหดหู่เศร้าซึม
สภาพคล้ายกับคุณลุงที่ตกอับ แต่ว่าให้ความรู้สึกราวกับผ่านโลกมามากมาย
“เธอทำแบบนี้ยิ่งทำให้ผมดูแก่ เรียกผมว่าพี่ป่ายห้าวจะดีกว่า” ใบหน้าของเขายิ้มเยาะ เธอกะพริบตาอย่างอดไม่ได้
หลินเวยมี่เพิ่งเคยเจอผู้ชายแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่รู้เลยว่าจะรับมืออย่างไร ได้แต่ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ และเดินนำไปร้านอาหารที่อยู่ด้านข้าง
ภายในร้านอาหารขนาดเล็ก ป่ายห้าวมองเธอด้วยความลึกลับ สีหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม “คุณถึงกับไม่อยากไปเจอแม่ของคุณเลยเชียวหรือ?”
เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้การเคลื่อนไหวของหลินเวยมี่หยุดชะงัก คุณแม่?เธอลืมคนคนนี้ไปตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าภายในจิตใต้สำนึกเกิดการต่อต้านระหว่างคำว่าแม่กับฉู่หราน แต่ถ้าหากจะต้องไปพบจริงๆ เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีความกล้าหรือไม่
ถึงอย่างไรก็เป็นตัวเธอเองที่ทอดทิ้งเธอไป
“คุณสามารถหาเธอได้?”
“ผมไม่สามารถ” สีหน้าของป่ายห้าวแสดงถึงความหดหู่เศร้าซึม และถอนหายใจออกมา “ผมรู้แค่ว่าเธออยู่ที่ฝรั่งเศส แต่ว่าอยู่ตรงไหนนั้นไม่สามารถระบุได้ชัดเจน”
ความหวังที่เกิดขึ้นในตอนแรกก็ดับลงทันที ถอนหายใจยาว ปล่อยให้ความทรงจำทั้งหมดถูกกดทับลงไป อันที่จริงแล้วจะเจอหรือไม่เจอต่างกันตรงไหน?
“ที่จริงแล้ว ฉันค่อนข้างจะแปลกใจนะ คุณไปรู้อะไรมา สามารถตอบฉันหน่อยได้ไหม?” หลินเวยมี่น้ำเสียงแข็ง อันที่จริงแล้วก็วิตกกังวลมาก อยากรู้ว่ากุญแจที่หลินจ่านหงเอาให้เธอที่สุดแล้วมันใช้ทำอะไร
ป่ายห้าวเกาผม บนหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูด “ไม่รู้”
หลินเวยมี่มีความรู้สึกเหมือนถูกเขามองออก จริงๆแล้วไม่รู้ว่าควรจะสื่อสารกับเขาอย่างไร จึงทานอาหารให้หมดอย่างเร่งร้อน และอยากที่จะออกไป
“ช่างเถอะ ฉันไม่ถามแล้ว คุณนึกออกเมื่อไรค่อยมาบอกฉันก็แล้วกัน”
พูดจบ เธอก็ยิ่งอยากออกไปจากที่นี่ แต่ว่าก็โดนเขาจับข้อมือเอาไว้
“หลินเวยมี่ กุญแจดอกนี้เป็นกุญแจตู้เซฟของคุณลุงหลินที่ภาคตะวันออกของเมือง พรุ่งนี้เราจะไปด้วยกัน”
หลินเวยมี่มองเขาเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วพยักหน้า
ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ เพียงแค่ไม่อยากบอกเธอ
ในช่วงบ่ายที่แสนวุ่นวาย กลับถึงบ้าน ความวังเวง
โยนกระเป๋าไปด้านข้าง ด้านในสวมเพียงเสื้อชั้นใน กำลังจะไปอาบน้ำ ประตูห้องก็เปิดออก
“พี่คะ พี่กลับมาแล้ว” หลินซินหยานผลักประตูแล้วเดินเข้ามา
หลินเวยมี่นิ่งไปพักหนึ่ง ถือเสื้อผ้าเดินไปข้างๆเธอ “ใช่ พี่กำลังจะอาบน้ำ มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันกับคุณแม่จะออกไปข้างนอกสักพัก ทานอาหารเย็นได้เลยไม่ต้องรอพวกเรานะคะ” หลินซินหยานพูดจบ สายตาก็เห็นกุญแจบนลำคอของเธอ สายตาก็นิ่งไปสักพัก ดวงตามีประกายวาบผ่าน แต่ว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“โอเค ฉันรู้แล้ว” หลินเวยมี่ไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติในสายตาของเธอ เปิดประตูห้องอาบน้ำ แล้วเดินเข้าไปล้างตัว
คืนนั้น มีเงาสีดำปราดเข้ามาในห้องของหลินเวยมี่อย่างรวดเร็ว ในความมืด คนในชุดดำกดร่างกายของเธอไว้ใต้ร่าง แล้วมองเธออย่างเงียบงัน
หลินเวยมี่รู้สึกว่าในฝันของเธอมีบางอย่างแปลกๆ อดไม่ได้ที่จะตบบ่าเบาๆ แต่ดูเหมือนจะตีใคร ตกตะลึงไปทั้งตัว สะดุ้งขึ้นมาทันที
ไม่ทันได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาจากปากก็โดนมือใหญ่ข้างหนึ่งปิดเอาไว้
“กลัวอะไร? ผมเอง” จมูกได้กลิ่นที่คุ้นเคย ไฟบนหัวเตียงก็เปิดขึ้น
แสงสลัวๆ ของหลอดไฟส่องเข้ามาในห้องนอน เธอมองไปที่ผู้ชายที่กดตัวเธอไว้ด้วยความตื่นตระหนก สีหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า แต่ทว่าดวงตาของเขาปิดความดีใจเอาไว้ไม่มิด
แสงไฟสลัวที่สาดมากระทบยิ่งทำให้โครงหน้าของเขาเข้มขึ้น ดูแล้วก็ยิ่งเพิ่มความหล่อเหลาขึ้นไปอีก
ฉู่เฉินซีปล่อยมือออกช้าๆ พลิกตัวไปนอนข้างเธอ ดึงผ้าห่มของเธอไปอย่าวไม่เกรงใจ แล้วแทรกตัวเข้ามา
ตัวเขาหนาวมาก ทำให้เธอรู้สึกหนาวสั่นไปด้วย เพียงแต่ส่วนลึกในหัวใจของเธอไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ารังเกียจอะไร แต่กลับรู้สึกคิดถึงเขามาก
เธอพลิกตัวไปหาเขา เอ่ยเสียงเรียบ “คุณกลับมาแล้ว”
ฉู่เฉินซียื่นมือไปดึงเธอมากอดไว้ แล้วยกยิ้มขึ้น “อืม กลับมาแล้ว เหนื่อยจัง นอนเถอะ”
เขาหลับตาลงแล้วเข้านอนอย่างหมดห่วง แต่ทว่าเธอทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเสียแล้ว ทำได้เพียงนอนนิ่งไม่กล้าขยับอยู่ในอ้อมแขนของเขา จมูกได้กลิ่นเขาเต็มไปหมด มันช่างคุ้นเคย
จนกระทั่งรู้สึกปลอดภัย มือเล็กวางบนหน้าอกของเขา หลับตาลงแล้วเข้านอนไป
เมื่อตื่นขึ้นในวันต่อมา หลินเวยมี่รีบตื่นขึ้นมา ข้างกายก็ไม่มีใครสักคน
หรือว่าเมื่อคืนเป็นเธอที่ฝันไปเอง?ฝันถึงฉู่เฉินซี?แก้มของเธอก็ร้อนขึ้นมา สีหน้าเก้อเขิน ทำไมเธอถึงได้ฝันถึงเขา? หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าการคิดมากในตอนกลางวัน จะทำให้ฝันถึงในตอนกลางคืนได้?
ส่วนลึกในหัวใจยิ่งคิดยิ่งหดหู่ ลุกขึ้นนั่งล้างหน้าแปรงฟันด้วยความไม่พอใจ แล้วจึงลงไปที่ชั้นล่าง
เดินไปได้ครึ่งทางเธอก็หยุดชะงัก บนโต๊ะทานอาหารมีคนผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ นั่นไม่ใช่ฉู่เฉินซีหรอกหรือ?
หลินเวยมี่หยุดชะงักอยู่กับที่ มองไปที่ฉู่เฉินซีที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างตกใจ ไม่ถูกต้อง เขาไม่ควรจะจู่ๆก็ปรากฏขึ้นแบบนี้ ฉู่เฉินซีอยู่ตั้งแต่แรก เป็นเธอที่คิดว่าตัวเองฝันไป
เดิมที ผู้ชายที่กอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนเมื่อวานคือ ฉู่เฉินซี!
“ทำไมเห็นผมแล้วต้องตกใจขนาดนั้น?ไม่ใช่ว่าคุณรู้ว่าผมกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วหรือ?” เขาทานอาหารด้วยท่าทางที่สง่างาม สายตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อคืนลึกซึ้งไม่พองั้นหรือ? ถ้ารู้ก่อนผมจะได้ทำเรื่องที่ลึกซึ้งกว่านี้”
หลินเวยมี่มุมปากกระตุก มองค้อนใส่เขา แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา ถามอย่างหมดอารมณ์ “ทำไมคุณถึงกลับมาคนเดียว?”
เขาเลิกคิ้ว ถามออกมาอย่างงุนงง “ถ้าไม่ใช่ผม แล้วควรจะเป็นใครงั้นหรือ?”
“แล้วอานหยานแฟนของคุณ? ไม่ใช่ว่าคุณไปช่วยเธอหรือ?” เธอก็ไม่รู้ว่าว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นฉู่เฉินซีมีท่าทางไม่สบอารมณ์
“ผมไม่เจอเธอ” ฉู่เฉินซีพูดอย่างเย็นชา “หลังจากกลับไปผมก็อยู่แค่คืนเดียวก็กลับมาแล้ว”
หลินเวยมี่มองเขาอย่างแปลกใจ พลางถอนหายใจออกมาจากส่วนลึกในหัวใจเขาช่างเลือดเย็นเสียจริง เขาทิ้งอานหยานไว้ที่นั่นอย่างไม่ใจ ผู้ชายไว้ใจไม่ได้อย่างที่เคยคิดไว้
“เคราะห์ดี ที่ไม่โดนทำร้าย” เขาถอนหายใจ แล้วส่ายหน้า
การเคลื่อนไหวของหลินเวยมี่หยุดไปชั่วครู่ คิดไปถึงครั้งก่อนที่หลังของเขาบาดเจ็บ ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร และเธอก็ไม่ได้ถาม แต่ว่าเธอก็ได้ยินเบาะแสบางอย่างมาจากอ้านเย่
อ้านเย่บอกว่าหลังจากเขากลับถึงบ้านถึงได้กลายเป็นแบบนั้น ดังนั้นประโยคที่เขาพูดในตอนนี้ หลินเวยมี่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อย
“พ่อของคุณทุบตีคุณบ่อยๆหรือ? หรือเพราะคุณทำอะไรผิดมากันแน่?” หลินเวยมี่ถามอย่างระมัดระวัง เขาเป็นผู้ชายที่อวดดีมากคนหนึ่ง ทำไมเขาถึงได้มาคุยเรื่องโดนทำร้ายกับเธอ?
“เรื่องนี้ถือว่าเป็นผมที่ผิดเอง แม้ผมจะคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดก็เถอะ” ฉู่เฉินซีตอบไม่ใส่ใจ มองไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร
หลินเวยมี่ยิ่งตื่นตะลึง หรี่ตาลงเล็กน้อย เธอสึกว่าเขาช่างน่าสงสารขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ถูกพ่อของตัวเองทำร้ายจนกลายเป็นแบบนั้น ?
ทันใดนั้น คางก็ถูกจับขึ้นมา เธอมองเข้าไปในตาของเขาอย่างฉันพลัน
ชั่วขณะที่ตกตะลึงนั้น ดวงตาของเขามองเข้ามาอย่างตั้งใจ จดจ่อ และดึงของเธอเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เธอถูกดึงเข้าไป
“ที่คุณรู้สึกเจ็บปวดเพราะผม ผมรับรู้ถึงมันแล้ว” เขายิ้มออกมาอย่างมั่นใจ ขณะที่ค่อยๆ ดึงเธอเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
หัวใจของหลินเวยมี่เต้นแรงขึ้นมา รู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาที่ใกล้เข้ามา จิตสำนึกเกือบจะสั่งให้หลับตาลง แล้วสัมผัสถึงความรู้สึกที่ตื่นเต้น
เขาสัมผัสเธออย่างอ่อนโยน แตะเบาๆหนึ่งครั้ง และขยับออกทำให้เหลือช่องว่างเล็กน้อย แล้วกลับเข้ามาใกล้อีก
เธอตอบกลับเขาอย่างตั้งใจ เขารับรู้ถึงมันแผ่วเบา ช่างแสนวิเศษ
มือบางวางที่หน้าอกของเขา เธอรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงของเขาผ่านฝ่ามือ
“ได้ยินหรือเปล่า?หัวใจของผมที่เต้นแรงเพราะคุณ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาดังอยู่ข้างหูของเธอ ทันทีหลังจากจูบเธออย่างลึกซึ้ง เปิดปากของเธออย่างชำนาญ บ้าระห่ำและใจร้อน แตกต่างจากความอบอุ่นอ่อนโยนเมื่อสักครู่เป็นอย่างมาก
หลินเวยมี่คล้องคอของเขาไว้ ตอบสนองเขาอย่างเร่าร้อน ขอทำตามใจของตัวเองอย่างนี้สักครั้ง แค่ครั้งเดียว
ปลอบใจตัวเองไม่หยุด สติถูกดึงให้จดจ่อกับเทคนิคการจูบที่เหนือชั้นของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อรับรู้ถึงการตอบสนองของเธอ ฉู่เฉินซียิ่งเร่าร้อนมากขึ้นไปอีก รสชาติของเธอคล้ายว่าเท่าไรก็ไม่พอ ไล่ตามเกี่ยวลิ้นเล็กของเธอไม่หยุด เพื่อลิ้มรสชาติของเธอ
ทั้งสองคนจูบกันจนแทบแยกไม่ออก คล้ายว่าไม่มีทางที่จะผละออกจากกันได้ ไม่มีใครยอมปล่อยอีกฝ่ายก่อน
“อัยหยา ทำฉันเหนื่อยสุดๆ ไปเลย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสียงบ่นของฉู่หรานดังขึ้นมาจากหน้าประตู ทั้งสองคนตัวแข็งทื่อ หลินเวยมี่รีบร้อนผลักเขาออกไป อีกด้านหนึ่งอย่างกระวนกระวาย คล้ายอยากจะรักษาระยะห่างระหว่างเขาไว้
ฉู่เฉินซีมองกลับไปที่หลินเวยมี่อย่างร้อนแรง แล้วยิ้ม
“ปีศาจน้อย……”