รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 152
บทที่ 152 แม้แต่เป็นคนถือรองเท้าของเขาคุณก็ไม่คู่ควร
หลินเวยมี่นึกถึงคิดตลอดบนทางเดินในกองกำลัง กู้จุนเฟิงที่เงียบอยู่ด้านหลังเธอ ตั้งแต่ออกมาจากห้องเล็กทั้งสองคนก็ไม่ได้สนทนากันเลย
หลินเวยมี่ถอนหายใจยาว เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หรี่ดวงตามองดวงอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้า แสงแดดแรงมาก แต่กลับไม่สามารถส่งความอบอุ่นเขามาในใจเธอได้เลย
โดยเฉพาะตอนที่เห็นฉู่เฉินซีถูกทำร้ายจนเป็นแบบนั้น หัวใจของเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ จนกระทั่งตอนนี้เธอเพิ่งจะเข้าใจ ความรักที่มีให้เขา มันลึกซึ้งกว่าตอนที่คิดว่าเริ่มรักเสียอีก
“เสี่ยงซี……” กู้จุนเฟิงเรียกเธอ ดวงตาแววลึกจนไม่อาจเห็นก้นบึ้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นไปอีกระดับ
หลินเวยมี่หันหน้ากลับมา มองกู้จุนเฟิงอย่างตกตะลึงไม่พูดอะไร ภายในดวงตาของเขาราวกำลังเรียกร้องบางอย่าง ถึงแม้จะรู้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูกัน แต่ว่าก็ยังบ่น
“ฉู่เฉินซีไม่ได้จัดการง่ายดายอย่างที่คุณคิด ผมหวังเพียงว่าเมื่อถึงตอนนั้นคุณอย่าได้บาดเจ็บมากนัก”
หลินเวยมี่พยักหน้า “รู้แล้ว ลาก่อน”
คำพูดของเธออ่อนโยนและแตกต่าง ราวกับทั้งสองคนเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนแปลกหน้าโดยบริบูรณ์
หัวใจของกู้จุนเฟิงสั่น มองเห็นหญิงสาวเดินออกไปไกล มือกำหมัดแน่น เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ถ้าหากว่ามีโอกาสเพียงเล็กน้อย ไม่ยอมที่จะปล่อยมือ แต่ว่าเธอไปอยู่ในที่ที่ไกลจากเขาไปตลอดกาล
ทางด้านหลินเวยมี่ก็เช่นเดียวกัน
หลินเวยมี่เดินออกมาจากกองกำลังอย่างเฉื่อยชา เปิดประตูรถแล้วและขึ้นรถ ภายในรถอ้านเย่กับหยิ่งมองเธอเงียบๆ
“เขาถูกทำร้าย” หลินเวยมี่พูดเสียงเรียบ “แต่เขาบอกว่าอีกแค่สามชั่วโมงก็สามารถออกมาได้หมายความว่าอย่างไรกัน?”
ดวงตาของหยิ่งมืดลง พูดเสียงเรียบ “น่าจะต้องรอคุณท่านของทางนั้นมาน่ะครับ สามชั่วโมง……”
สามชั่วโมงนับว่ารักษาเวลาได้ดี ถ้าหากสามชั่วโมงแล้วผู้ใหญ่ของทางนั้นยังมาไม่ถึงก็ เจ้านายจะต้องรับความทรมานมากแค่ไหนกัน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สายตาของหยิ่งกลายเป็นสับสน การรอต่อไปไม่ใช่ปัญหา ดูเหมือนว่าจะต้องคิดวิธีไปช่วยเจ้านาย
“อ้านเย่ คุณไปตรวจสอบว่าใครที่เป็นคนถ่ายรูปนั้น สำหรับเจ้านายที่นี่ ฉันจะคิดแผนเอง” หยิ่งพูดเสียงเรียบ
อ้านเย่มองเขาครั้งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อว่าเขาจะมีวิธีการที่ดี ขมวดคิ้วถาม “คุณมีวิธีอะไร?”
“คุณไม่ต้องสนใจแล้ว ไปตรวจสอบเถอะ” หยิ่งพูดเสียงเรียบ สายตาเต็มไปด้วยการปฏิเสธ
อ้านเย่ถอนหายใจ ลงจากรถและเดินไปที่รถคันอื่น จากไปอย่างรวดเร็ว
หยิ่งสบตาลึกกับหลินเวยมี่ “คุณหลิน ผมหวังว่าคุณจะไม่ทำร้ายเจ้านายอีกนะครับ”
หลินเวยมี่เงยหน้ามองเขา คิดว่าหยิ่งในตอนนี้คล้ายตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว
“คุณพูดคำนี้มาหลายครั้งแล้ว ก็ยังให้ฉันออกไปจากเขา”
แววตาของหยิ่งฉายแววสับสน มองออกไปไกล “เจ้านายขาดคุณไม่ได้ ผมเพียงแค่หวังว่าคุณจะไม่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอีก”
“ได้” หลินเวยมี่ตอบกลับอย่างตั้งใจ
“ผมจะส่งคุณกลับ” หยิ่งยิ้มบางๆก่อนจะพูด ถึงแม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มบางๆ แต่ว่าสำหรับหยิ่งที่เข้มงวดมากนั้นถือเป็นของหายาก
หลินเวยมี่มองเขาอย่างแปลกใจ รู้สึกแค่ว่าเหมือนเขาตัดสินอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดเขาอย่างไร
หยิ่งพาเธอกลับมาส่งที่คฤหาสน์แล้วจากไปทันที หลินเวยมี่ยืนอยู่ที่ประตูเล็ก มองรถที่ขับออกไปไกล แล้วถอนหายใจหมุนตัวเดินเข้าไปในคฤหาสน์
“เหมียว!” เพิ่งจะเปิดประตูออกมา ทั้งตัวก็โดนแมวเปอร์เซียสีขาวราวหิมะขู่ใส่
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว มองแมวที่ทำให้เธอบาดเจ็บอย่างรังเกียจ แล้วเตะมันไปครั้งหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าแมวตัวนี้มากัดรองเท้าของเธอ
หลินเวยมี่ออกแรง เตะมันออกไป และจำเสียงกรีดร้องออกมาได้
แมวตัวนั้นชนผนัง และร่วงลงบนพื้นผ่านไปสักพักก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมา ในใจเธอเริ่มเครียด รีบเดินไปทางแมงตัวนั้น หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามแหลมดังมาจากด้านหลัง
“พระเจ้า!เธอทำร้ายแมวของฉันอีกแล้ว!” Elisพูดด้วยความตกใจ สาวเท้าเข้ามา อุ้มแมวเปอร์เซียขึ้นมา
“มันเข้ามาจู่โจมฉันก่อน” หลินเวยมี่ตอบกลับด้วยหน้าขาวซีด หัวใจยังคงเต้นแรงเพราะการตกใจเมื่อสักครู่
Elisถลึงตาใส่เธอ แววตาดูโหดเหี้ยม “ถ้าเธอไม่ไปกวนมัน มันจะจู่โจมเธอหรือ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ชอบพวกเรา ถึงทำแบบนี้!”
หลินเวยมี่รู้สึกปวดศีรษะเป็นพักๆ จริงๆ คือขี้เกียจที่จะยุ่งกับเธออีก จึงหมุนตัวเดินขึ้นชั้นบนไป
ใครจะไปรู้ว่าเดินไปไม่กี่ก้าว ก็โดนคนผลักจากทางด้านหลังอย่างแรง เธอตั้งตัวไม่ทัน จึงล้มลงบนบันได
หัวเข่าชนเข้ากับบันได รอยสีแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นทันที เธอขมวดคิ้ว หันหน้ากลับไปมองรอยยิ้มที่โหดเหี้ยมของElis
“ฉันก็ไม่ทันได้ระวัง ใครให้เธอคิดที่จะจู่โจมฉันก่อน” เธอพูดแล้วเชิดคางขึ้นอย่างอวดดี
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วแน่นจนหัวคิ้วชนกัน แค่เรื่องของฉู่เฉินซีก็ทำให้เธอปวดศีรษะพอแล้ว ตอนนี้ยังไม่อยากยุ่งกับElisจริงๆ
“คุณElisคะ หวังว่าคุณจะ‘ไม่ระมัดระวัง’ใส่ฉันอีก ฉันไม่มีแรงที่จะเล่นกับคุณแล้วจริงๆ” เสียงเรียบๆของหลินเวยมี่เอ่ยจบก็เดินกะเผลกขึ้นไปด้านบน
Elisมองเธออย่างลึกซึ้ง สายตาแฝงความหมาย เรียกคนรับใช้เข้ามา กระซิบอะไรบางอย่าง แล้วก็เธอก็จากไป
มือก็ลูบขนแมวเปอร์เซียเป็นพักๆ สายตาเป็นประกายชัดเจน ว่าไม่หลาบจำ
หลินเวยมี่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายเงียบๆ ทายาที่หัวเข่าตัวเองอย่างระมัดระวัง เจ็บจนเธอต้องกัดฟันเอาไว้ ในสมองคิดถึงตอนที่ฉู่เฉินซีมอบยาไว้ให้กับเธอไม่หยุด มุมปากก็ยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข
ผู้ชายคนนี้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่เข้ามาอยู่ในใจของเธอ ได้อย่างลึกซึ้งมาก
จู่ๆ ประตูก็เปิดออก เธอเงยหน้ามองอย่างรวดเร็ว ก็พบกับแววตาที่ตื่นตระหนกของคนรับใช้ คนรับใช้รีบวางแก้วน้ำผลไม้ไว้ด้านหน้าเธอ แล้วพูดว่า “หลิน คุณหลินคะ ฉันรินน้ำผลไม้มาให้คุณค่ะ”
หลินเวยมี่มองสำรวจเธอหนึ่งรอบ คิดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ว่าก็หาไม่เจอว่าไม่ชอบมาพากลตรงไหน
“รู้แล้ว ออกไปเถอะ”
คนรับใช้มองหลินเวยมี่อย่างเงียบๆ สุดท้ายก็ยอมออกไปจากห้อง
หลินเวยมี่มองไปที่ประตูอย่างหวาดระแวง คิดเพียงว่าคนรับใช้คนนั้นแปลกดี
กำลังหิวน้ำพอดี จึงหยิบน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่ม
ยืนพิงหน้าต่างหลังจากทานยาเสร็จ มองข้างนอกเงียบๆ ในหัวคิดถึงตอนที่เจอฉู่เฉินซีไม่หยุด ร่างกายของเขามีแผลเต็มไปหมด สามชั่วโมง เขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร
ถอนหายใจ แม้จะรู้สึกว่าร่างกายเริ่มร้อนขึ้นมา จึงดึงคอเสื้อลงมา ในใจเริ่มที่จะกระวนกระวาย
จู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดเข้ามา เธอรีบหันกลับไปมอง เห็นว่าเป็นเฉินเห้าหมิงที่เข้ามา สีหน้าก็เปลี่ยนไป รีบดึงคอเสื้อขึ้น ถามอย่างไม่พอใจบางอย่าง “ไม่รู้จักเคาะประตูก่อนจะเข้ามาหรือ?”
“ผมเคาะประตูแล้วคุณจะให้ผมเข้ามาหรือ?”เฉินเห้าหมิงถามกลับ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาเหมือนจะชำเลืองมองแก้วน้ำผลไม้บนโต๊ะที่ดื่มไปได้ครึ่งแก้ว ก็เริ่มแน่ใจ
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว ถ้าหากรู้ว่าคนที่เคาะประตูคือเฉินเห้าหมิง เธอไม่เปิดประตูแน่นอน จะทำกระทั่งล็อกปิดตายด้วยซ้ำ
แม้ในตอนนี้ ในใจของเธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ อย่างไรเฉินเห้าหมิงก็ไม่ใช่คนดีสำหรับเธอแน่
“คุณมาหาฉันทำไม?” เธอถามอย่างระมัดระวัง
เฉินเห้าหมิงเม้มปาก ไม่ตอบ แต่กลับเดินเข้ามาใกล้เธอ
หลินเวยมี่ถอยหลัง พูดเสียงดัง “คุณอย่าเข้ามานะ! มีอะไรก็ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพูดมา!”
“คุณกำลังกลัวผม?” เฉินเห้าหมิงยิ้มแล้วถามขึ้น
หลินเวยมี่พูดโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ถ้าหากคุณไม่ออกไป ฉันจะตะโกนเรียกคนมา เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นคงจะถูกคนมองไม่ดีเอาได้นะ”
“ผมไม่สนใจ” เฉินเห้าหมิงยักไหล่ นั่งลงบนเตียง สายตามืดมิดไม่เห็นประกายมองมาที่เธอ ถามเสียงเบา “คุณไม่ร้อนหรือ?”
สีหน้าของหลินเวยมี่เปลี่ยนทันที มองเขาอย่างงุนงง สายตาก็หันไปทางน้ำผลไม้อย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นก็ปะติดปะต่อได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร
ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะกระวนกระวาย
“คุณมันชั่ว!” เธอด่าเสียงดัง สายตาฉายแววตกใจกลัว สาวเท้าวิ่งไปทางประตู
แต่ในตอนที่วิ่งนั้นก็ถูกเฉินเห้าหมิงลากไว้ ออกแรงลากเธอเข้าไปในอ้อมแขน
“จะวิ่งทำไม? กลัวผมขนาดนั้นเลยหรือ?” เขากอดเธอแน่น ลมหายใจร้อนผ่านข้างหูของเธอไม่หยุด
หลินเวยมี่รู้สึกว่าร่างกายยิ่งนานยิ่งร้อนขึ้น จนกระทั่งไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ลมหายใจก็ร้อนไปด้วย
“เฉินเห้าหมิง ถ้าคุณทำอะไรฉัน ฉันจะฆ่าคุณ!” เธอกัดฟันพูด ด่าเขาเสียงดัง
ในใจราวกับโดนมดจำนวนนับไม่ถ้วนไต่ไปทั่ว มันมากเกินไป ร่างกายร้อน
“ฆ่าผม? พอถึงตอนนั้นคุณจะต้องรักผมจนทนไม่ได้แน่นอน จะทนฆ่าผมได้อย่างไรกัน”เขากดติ่งหูเล็กของเธอ แล้วกัดเบาๆ
ร่างกายของหลินเวยมี่ราวกับโดนไฟฟ้าช็อต สั่นคลอน อยู่ในอ้อมแขนของเขา
“อืม ทนไม่ได้แล้วใช่ไหม?” เขาถามเสียงเบา สายตามองอย่างแฝงความนัย
หลินเวยมี่กัดฟัน สายตาฉายแววกระวนกระวาย มองไปรอบๆ หวังว่าจะมีใครมาช่วยเธอ
“เทคนิคของผมดีกว่าฉู่เฉินซีมากใช่ไหม สามารถทำให้คุณสุขสบายได้เลย” เขายิ้มมุมปาก มือใหญ่โอบเอวเธอไว้
“แม้แต่เป็นคนถือรองเท้าของเขาคุณยังไม่สมควรเปรียบ อย่ามาทำให้ฉันเกลียด!” หลินเวยมี่กัดฟันแน่น พยายามที่จะดิ้นรน แต่ว่าไม่มีแรงแม้แต่น้อย แม้กระทั่งสติก็แทบจะเลือนรางเต็มที
สีหน้าของเฉินเห้าหมิงแข็งค้าง มองเธออย่างลุ่มลึก พูดเสียงเรียบ “ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้คุณก็เป็นของผม”
สายตาของหลินเวยมี่ปฏิเสธ เธอไม่ยินยอมให้เขาแตะต้อง สายตามองไปรอบๆ ร่างกายพุ่งไปข้างหน้า กระแทกกับหัวเตียง
เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บที่ศีรษะ กลับรู้สึกอ่อนนุ่ม เมื่อลืมตามองก็พบว่า สิ่งที่ศีรษะเธอชนคือมือของเฉินเห้าหมิง
ใบหน้าของเขาขาวซีดมองเธอ สายตายิ้มขมขื่น พูดอย่างโมโห “อยากตายหรือ? ผมไม่ให้โอกาสนั้นกับคุณหรอก!”
“ปล่อยฉัน!” หลินเวยมี่ด่าทอเขา ดวงตายิ่งนานยิ่งเริ่มพร่ามัว
“อีกสักพักคุณจะต้องขอร้องให้ผมเอาคุณ” เฉินเห้าหมิงยิ้มแล้วพูด
“แควก” เสียงดังขึ้น เสื้อผ้าของเธอโดนกระชากออก
“นี่ เฉินเห้าหมิง คุณไม่แน่จริงนี่ ละครเริ่มแล้วทำไมถึงไม่เตือนฉัน?”
แฉะ แสงแฟลชสว่างขึ้น ทั้งสองคนหันไปมอง เห็น Elisค่อยๆถือกล้องเดินเข้ามา