รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 172
บทที่172 สงครามเย็น
เสียงประตูที่เปิดออกมาใบหน้าที่ร้อนรนของฉู่เฉินซีปรากฏอยู่หน้าประตู แต่ภายนอกกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของคน ใจเหมือนหล่นวูบลงไป
ฐาลี่ยื่นอยู่ด้านหลังเขาอย่างเงียบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่ “เป็นเพราะเธอใช่ไหม?”
ฉู่เฉินซีหันกลับมามองฐาลี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกขอโทษ “ฐาลี่ ขอโทษ”
ปากของเธอยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่แยแส สายตาที่อดไม่ได้ เพียงแค่เมื่อกี้เธอเริ่มต้นถอดเสื้อผ้าตัวเองก่อน เข้าใจว่าเธอและเขา……..คิดไม่ถึงว่าที่จริงแล้วเขาจะสวมเสื้อกลับให้เธอเหมือนเดิม
สิ่งนั้นเป็นการประชดที่ร้ายแรงสำหรับผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัยภายในใจรู้สึกอ้างว้างหรือว่าตอนนี้เธอได้สูญเสียฉู่เฉินซีไปแล้วจริง ๆ?
พูดจริง ๆท้ายที่สุดแล้วเธอยังคงสู้หลินเวยมี่ไม่ได้ เธอรู้สึกไม่สบายใจจริง ๆเห็นได้ชัดฉู่เฉินซีนั้นเป็นของเธอแล้วทำไมเธอต้องยกให้คนอื่นด้วย?
“เฉิน ฉันมีข้อบกพร่องอะไรฉันเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้หรือไง?” เธอกัดฟันแน่น ตอนนี้มันเกินขอบเขตของเธอแล้ว
ฉู่เฉินซียิ้มบางๆส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ “ฐาลี่ ปัญหาของพวกเราสองคนไม่ใช่วันสองวันถึงเกิด”
“ถ้าหากไม่มี…….” ฐาลี่รีบร้อนเงยหน้า ถ้าหากไม่มีหลินเวยมี่ พวกเขาสองคนก็จะไม่เป็นเหมือนตอนนี้?
“หรือตอนนี้เธอยังคงไม่เข้าใจ?ถึงแม้จะไม่มีหลินเวยมี่ก็ต้องมีคนอื่น”
ฐาลี่สูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาที่เต็มไปด้วยความลำบากน้ำตาที่อั้นไว้ไม่ให้ไหล แกล้งทำเป็นพยักหน้าเหมือนไม่ใส่ใจ “ฉันเข้าใจแล้ว”
พูดจบก็เดินไปทางห้องของตัวเอง วันนี้คือเรื่องที่เธอพยายามอย่างหนักในหลายปีมานี้แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกฉู่เฉินซีปฏิเสธแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริง ๆ
ฐาลี่เปิดประตูออกก็พบกับElis ใบหน้าที่เศร้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาในพริบตา เดินเข้าไปในห้องอย่างเฉยเมย
Elisที่วุ่นอยู่กับการทาเล็บได้ยินเสียงฐาลี่เปิดประตูปากก็เผยรอยยิ้มขึ้นมา “พี่ ฉันคิดว่าวันนี้พี่จะอยู่กับเฉินซะอีก”
คนที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่อย่างฐาลี่ชะงักไป สายตาดุร้ายหันไปมองElis “Elis พูดให้น้อยก็ไม่มีใครคิดว่าเธอเป็นใบ้!”
Elisกระตุกคิ้ว สายตาเผยรอยยิ้มยิ่งนานยิ่งลึก “พี่ ฉันเคยเตือนพี่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ตอนนั้นพี่กลับไม่สนใจ”
ฐาลี่หรี่ตาเผยความโหดร้าย พูดอย่างเยือกเย็น “Elisเธออย่าคิดว่าความคิดอย่างระมัดระวังนั้นของเธอฉันจะไม่รู้ หากเธอมีความสามารถจริง ทำไมปีนขึ้นเตียงเฉินไม่ได้ล่ะ?”
Elisสีหน้าเปลี่ยนไปสายตากระพริบเปลี่ยนไปพูดขึ้น “พี่ พี่กำลังพูดอะไร? ฉันไม่เข้าใจ”
ฐาลี่เดินไปตรงหน้าเธออย่างเชื่องช้า หึเสียงเบาออกมาสีหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามเผยขึ้นมา
“ไม่เข้าใจ? ทุกๆการกระทำของเธอฉันรู้หมด ความคิดที่เธอมีต่อเฉินฉันจะไม่เข้าใจหรือไง? แต่ว่าฝีมือของเธอมันยังไม่ได้สูงพอไม่อย่างนั้นทำไมถึงยังปีนขึ้นเตียงเฉินไม่ได้ล่ะ?”
Elisกัดฟันแน่นจากนั้นก็จ้องไปยังฐาลี่ พูดออกมาด้วยความโกรธที่มีอยู่บ้าง “ในเมื่อเธอสั่งให้คนมาคอยตามฉัน? ถึงแม้ว่าฉันจะมีวิธีจัดการเฉินแล้วจะทำอะไรได้? เฉินเพอร์เฟคขนาดนั้น มีความคิดแบบนั้นกับเขาก็เป็นเรื่องปกติ แต่เธอเป็ดที่เตรียมเอาไว้ต่างก็บินหนีไปหมดแล้ว!”
“เพี๊ยะ” เสียงดังจากฝ่ามือ
มือของฐาลี่ยังคงลอยอยู่บนอากาศ สีหน้าที่นานเข้าก็ยังไม่น่ามองอย่างมาก นี้เป็นสิ่งที่อัปยศที่สุดของเธอ ทุกอย่างเธอต่างประสบความสำเร็จมีเพียงความรู้สึกที่พ่ายแพ้ แพ้ให้แก่หลินเวยมี่ ที่บอกว่าไม่ยอมรับนั้นเป็นเรื่องโกหก
แต่ว่าความรู้สึกห้าปีก็ไม่ได้เสียเปล่า ถึงแม้จะเป็นคนเย็นชาขนาดไหนยังไงก็คงรู้สึกอะไรกับเธอบ้าง ไม่อย่างนั้นตอนที่เธออยากจูบเขา เขาถึงไม่เคยปฏิเสธ?
เธอเชื่อเพียงแค่พยายามให้มากขึ้นสามารถจะเอาเฉินฉู่ซีกลับคืนมาได้ หลินเวยมี่เพียงได้ฉู่เฉินซีไปช่วงหนึ่งเท่านั้นแต่หากใช้เวลาเปรียบเทียบหลินเวยมี่ยังไกลจากเธออีกมาก ที่เธอมีก็คือความมั่นใจ
“Elis เธออย่ามายุ่งกับฉันจะดีกว่า!”
Elisมองฐาลี่ที่เดินเข้าห้องน้ำไปจับไปหน้าที่โดนตบอย่างน้อยใจ สายตาแสดงความโกรธมีสิทธิ์อะไรที่เธอโกรธฉู่เฉินซีแล้วมาลงที่เธอ?
แต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่มั่นใจได้ ฐาลี่ไม่ใช่เป็นคนไร้ความรู้สึกเพราะการมีอยู่ของหลินเวยมี่จึงทำให้รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยไม่งั้นคงไม่โต้ตอบขนาดนี้
หลินเวยมี่ไม่ได้นอนทั้งคืน ใบหน้าเล็กที่ดูซีดเซียวอย่างมาก แถมก็ไม่เห็นฉู่เฉินซีทั้งคืน เธอเดินออกไปด้วยใจรู้สึกปวดๆแน่นๆ
เพียงแค่เดินออกมาประตูห้องสมุดก็เปิดฉู่เฉินซีเดินออกมา สองคนสี่ตาจ้องกันแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หลินเวยมี่ก้มหน้าลงเดินก้าวใหญ่ลงไปข้างล่าง เพราะบันไดนั้นใกล้กับห้องสมุดเธอจึงจำเป็นต้องเดินไปใกล้ฉู่เฉินซี
จิตใต้สำนึกบอกให้เธอรีบเดินมือทั้งสองชนกันเล็กน้อย เธอแสดงอาการจริงจังขึ้นมาราวกับว่าโดนเข้ากับสิ่งที่สกปรกอย่างมาก จิตใต้สำนึกบอกให้ใช้มือเช็ดออกแล้วเดินลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว
ชั้นล่าง ฉู่หรานนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟา เมื่อเห็นหลินเวยมี่ก็เผยสายตาเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัด
“การกระทำของเธอเมื่อวานดังมากจริงๆ ฉันนอนอยู่อีกฝั่งยังได้ยิน”
สีหน้าหลินเวยมี่ชะงักไป รีบเดินเข้าไปยังห้องครัวในใจรู้สึกปวดแสบเหมือนกับคนใช้มีดแทงอย่างนั้น
ฉู่หรานเห็นท่าทางของหลินเวยมี่ก็เผยสายตาเยาะเย้ย ที่จริงเมื่อวานเธอเห็นเพียงฉู่เฉินกับฐาลี่ยืนคุยกันอยู่ในห้องสมุด นอกจากนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรแล้วเธอเพียงแค่อยากยั่วโมโหหลินเวยมี่เท่านั้นไม่คิดเธอจะตอบกลับรุนแรงขนาดนี้
หลินเวยมี่เจียวไข่เจียวมาสองฟองอย่างลวกๆและเทนมออกมาสองแก้วจึงเอาอาหารเช้าออกมา ทั้งตัวนิ่งไป
ที่จริงจิตใต้สำนึกของเธอยังคงทำมาให้ฉู่เฉินซีอีกด้วย ขมวดคิ้วเล็กน้อย รีบนำอาหารเช้าอีกชุดวางทิ้งไว้ข้างๆแถมการกระทำของเธอถูกฉู่เฉินที่อยู่ชั้นล่างเห็นอย่างชัดเจน
ฉู่เฉินซีหรี่ตามองเธอก้าวเท้ายาวเขามาหยิบอาหารเช้าที่เธอทิ้งไว้ข้างๆขึ้นมา “ขอบคุณ”
คำพูดของเขาทำให้หลินเวยมี่จมลงไป น้ำเสียงที่เหมือนคนแปลกหน้าแบบนี้คือสิ่งที่ทำลายคนที่สุด
ก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างเร็วสายตานิ่งเรียบ ฉู่เฉินซีก็นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ เธอสามารถรู้สึกได้ถึงสายตาของเขาที่ไม่หยุดมองมาที่เธอ
หลินเวยมี่เงยหน้ามาจ้องฉู่เฉินซี อาจเพราะสายตาที่ดุดันอย่างมากทำให้เขาตะลึงไปชั่วครู่ สองคนจ้องตากันอย่างนั้นไม่พูดอะไร แม้แต่อากาศภายในยังเปลี่ยนแปลกไป
“เฉิน เมื่อไรนายจะแต่งานกับฐาลี่ล่ะ?” ฉู่หรานยิ้มมีความสุขนั่งลงมาข้างๆ จ้องไปยังหลินเวยมี่อย่างดูถูก
หลินเวยมี่เผยสายตาที่เยาะเย้ยตัวเองเธอลืมไปได้ไงกัน? ฐาลี่ถึงจะเป็นตัวจริงแต่เธออะไรก็ไม่ใช่ แถมฉู่เฉินซีก็ไม่ได้ให้คำมั่นอะไรกับเธอ
“ไม่รู้”
หลินเวยมี่กำตะเกียบในมือแน่น เขาไม่ได้โต้แย้งแถมแทบไม่คิดจะปฏิเสธเลย ถ้าให้พูดการแต่งงานของเขากับฐาลี่ไม่ช้าเร็วก็ต้องเกิด ใจรู้สึกจมลึกอีกครั้งคงจะกินต่อไม่ลงแล้ว หยิบจานและยืนขึ้น
“อรุณสวัสดิ์” ฐาลี่ยิ้มเบาๆ นั่งลงข้างๆเฉินอย่างเป็นปกติ
รอยยิ้มของฐาลี่กระตุ้นความเจ็บปวดของหลินเวยมี่ เธอเหมือนคนที่ได้รับชัยชนะและกำลังแสดงทักษะการต่อสู้กับเธออีกครั้งแบบนั้น
“เวยมี่ ทำไมเธอไม่กินอะไรเลยล่ะ?” เธอถามด้วยรอยยิ้ม
หลินเวยมี่ฝืนยิ้มออกมา พูดเรียบๆ “ไม่ค่อยหิว”
พูดจบก็หันเดินเอาจานไปเก็บที่ห้องครัว ใบหน้าที่ยิ่งนานยิ่งเผยความมืดหมน สงครามเย็นของพวกเขาทั้งสองคนทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก แต่ก็ไม่มีหน้าที่จะไปพูดกับเธอก่อน
“เฉิน ไปเดินเล่นข้างนอกกับฉันหน่อยนะ ยากนักที่จะได้ผ่อนคลายเช่นนี้ นายห้ามปฏิเสธนะ” ฐาลี่โค้งยิ้มพูดออกมาอย่างไม่น่าสงสัย
ใจของฉู่เฉินซีตอนนี้ไม่ได้ดี นิ่งเงียบไปช่วงหนึ่งถึงได้เปิดปากพูดอย่างช้าๆ อืมเสียงเบาๆออกมาครั้งหนึ่ง
หลินเวยมี่รีบเดินขึ้นชั้นบน ภายในอกรู้สึกแน่นๆ กระแทกประตูอย่างหงุดหงิด
รอจนออกมาอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว มีเพียงฉู่หรานนั่งอ่านหนังพิมพ์อยู่บนโซฟา
“ลูกนอกสมรสอย่างเธอก็ถูกทิ้งแล้ว ฉันบอกตั้งแต่แรกเฉินไม่มีทางต้องการเธอหรอก!”
ปากของหลินเวยมี่สั่นยื่นอยู่ต่อหน้าเธอ สายตาที่ดุร้าย “ฉู่หราน เธอพูดมาให้ชัดเจนลูกนอกสมรสคืออะไร!”
ฉู่หรานชำเลืองมองเธอครั้งหนึ่งด้วยสายตาที่ดูถูก “ก็เธอที่น่าสงสารแบบนี้ตัวเองยังไม่รู้ เธอคือสิ่งที่รั่วหรานทิ้ง! รั่วหรานยังไม่รู้ว่าเธอเกิดมาจากผู้ชายคนไหน!”
“เธอพูดเหลวไหล!” เธอโต้ตอบกลับอย่างรุนแรง “เป็นไปไม่ได้!”
“ฉันพูดเหลวไหล? งั้นนายท่านคงไม่พูดเหลวไหลหรอกนะ! ก่อนหน้านี้ฉันแอบเห็นผลตรวจDNAของเธอกับนายท่าน เดิมทีเธอเป็นแค่ลูกนอกสมรส!รั่วหรานไม่รู้ว่าเธอเกิดมาจากผู้ชายคนไหนกันแน่!” ฉู่หรานพูดอย่างขุ่นเคืองสีหน้าที่ดุร้าย
หลินเวยมี่กำมือแน่น โกรธจัดจนยิ้มพูดอย่างเย็นชา “ฉู่หราน เรื่องนี้ฉันจะไปตรวจสอบให้ชัดเจน หากว่าความจริงไม่เป็นแบบที่เธอพูดนั้นฉันไม่มีทางปล่อยเธอไว้แน่!”
ฉู่หรานปล่อยเสียง เหอะ อย่างดูถูก “ที่ฉันพูดทั้งหมดคือเรื่องจริง”
“เธอรีบหันหลังเดินออกจากประตูไป เมื่อวานที่ทะเลาะบวกกับปัญหาเรื่องความรู้สึกต่อฉู่เฉินซี เธอก็อ่อนล้าไปตั้งแต่แรกไม่มีแรงแม้แต่ครึ่งหนึ่ง แม้ฉู่หรานจะพูดไม่น่าฟังยังไง เธอทำได้ก็เพียงรับมัน
ตอนนี้เธอไม่มีแรงที่จะทะเลาะหรือโต้ตอบกับฉู่หรานแล้ว เธอเหนื่อยจริง ๆ
ไม่ว่าฐานะของเธอจะเป็นอย่างไร เธอก็ต้องการที่จะเจอ รั่วหราน ยังไงเธอก็คือแม่ของเธอ
ภายในKFC สีหน้าที่เย็นชาของหลินเวยมี่ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าดวงตาทั้งสองที่มีเส้นเลือดและคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็คือป่ายห้าว
ป่ายห้าวหัวเราะออกมาเพื่อทำลายบรรยากาศที่ดูจริงจังนี้
“เวยมี่อ่า ไม่รู้ว่าเธอเรียกฉันมาทำอะไร? เมื่อวานใช่ทำให้เธอน้อยใจไป? รับอ้อมกอดของลุง นะ ลุงจะปลอบใจเธอ”
หลินเวยมี่จ้องมองไปครั้งหนึ่งด้วยสีหน้าที่มืดหมน “ป่ายห้าวหรือนายยังไม่ได้กินข้าว? กินเถอะ”
ป่ายห้าวหัวเราะมองดูอาหารมากมายที่อยู่บนโต๊ะ แต่ก็ไม่กล้าที่จะขยับใดใด
“ฉันรู้ของของเวยมี่ต้องไม่กินโดยเปล่าประโยชน์ เธอพูดมาก่อนเถอะมาหาฉันมีเรื่องอะไรกันแน่?”
หลินเวยมี่เม้มริมฝีปาก เผยสายตาที่ดูเจ็บปวด “ฉันแค่อยากจะถามนายเรื่องง่ายๆเรื่องหนึ่ง กินสักคำก่อนเถอะ”
“โย่ว เรื่องง่ายๆ? งั้นฉันก็โล่งใจแล้ว” ป่ายห้าวหยิบน่องไก่เข้าปากอย่างประมาทกินไปคำหนึ่งก็ได้ยินเสียงหลินเวยมี่พูด
“เรื่องนี้ไม่ยาก ฉันเพียงอยากเจอรั่วหรานแค่นั้น”