รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 180
บทที่ 180 เลือก
สีหน้าของฉู่เฉินซีนิ่งขรึม คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ถามขึ้นด้วยความสงสัย “ในเมื่อหล่อนเป็นลูกของพ่อ ทำไมพ่อถึงไม่เลี้ยงหล่อน ถึงขั้นจะฆ่าหล่อน?”
คงเป็นเพราะฉู่เฉินซีถามตรงเกินไป สีหน้าของคุณท่านฉู่นิ่งขรึมทันที เขาพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยม “จะทำอะไรก็เรื่องของฉัน! นายไม่ต้องยุ่ง!”
“พ่อ หล่อนเป็นผู้หญิงของผม” ฉู่เฉินซีพูดขึ้นด้วยเสียงนิ่งเรียบ ท่าทีท้าทายกับเขา “หล่อนมีความสัมพันธ์ยังไงกับพ่อผมรู้ดี หรือเป็นเพราะหลินเวยมี่เป็นลูกของน้าหรานกับผู้ชายคนอื่น พ่อจึงเกลียดหล่อนมาก จนถึงขั้นไม่ให้หล่อนได้เจอหน้าหราน? ทำไมพ่อเห็นแก่ตัวขนาดนี้?”
“เพี๊ยะ!”
เสียงดังสนั่นดังขึ้น ฉู่เฉินซีถูกกำปั้นของเขาต่อยลงไปทีหน้าจนล้มลงไปบนพื้น ตอนคุณท่านฉู่ยังเป็นวัยรุ่นมีพลังมหาศาลอย่างมาก ภายใต้อารมณ์โกรธในตอนนี้ ทำให้เขาหมัดหนักขึ้นมาได้เช่นกัน
ฉู่เฉินซีเช็ดเลือดที่มุมปาก กระอักเลือดออกมา เงยหน้ามองผู้ชายที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านข้าง
“โดนผมพูดกระแทกใจใช่หรือไม่?” เขาพูดเย้ยขึ้น มองจากการที่คุณท่านฉู่ทำเรื่องแบบนี้ เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด
ฉู่เฉินซีลุกขึ้นยืน คุณท่านฉู่กระชากคอเสื้อของเขาอย่างแรง กดเขาแนบกับต้นหลิว หลังของฉู่เฉินซีกระแทกกับต้นไม้สั่นเต็มแรง จนใบต้นหลิวร่วงลงมา
“ฮ่าๆ พ่อ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อโกรธโมโหจริงจัง” ฉู่เฉินซีหัวเราะอย่างไม่เกรงกลัว เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม “ในเมื่อพ่อเป็นห่วงน้าหรานมาก ทำไมไม่ให้พวกเขาแม่ลูกได้เจอหน้ากันล่ะ? น้าหรานชอบเด็กขนาดนั้น อีกอย่างน้าเป็นอัมพาต พ่อรู้บ้างไหมว่าน้าเหงามากแค่ไหน?”
“นายจะไปเข้าใจอะไร!” ตาของคุณท่านฉู่แดงก่ำ กัดฟันตวาดขึ้น
ฉู่เฉินซีมองคุณท่านฉู่ด้วยท่าทีจริงจัง เขาเพียงคิดว่า เพราะคำพูดของเขาทำให้คุณท่านฉู่โมโหจนเดือดดานขนาดนั้น
“หรือว่าไม่ใช่? พ่อไม่มีสิทธิ์กีดกันพวกเขาสองคนแม่ลูก พ่อคิดว่าพ่อหาเวลาว่างปีละหนึ่งเดือนมาอยู่กับน้าหราน แล้วน้าหรานจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวงั้นเหรอ? ไม่เช่นนั้นอาการนอนดึกของหล่อนที่เกิดขึ้นทุกวัน จะเกิดขึ้นได้ยังไง?”
“ฉู่เฉินซี นายจะไปเข้าใจอะไร! ถ้าเรื่องมันง่ายขนาดนั้นก็ดีสิ!” คุณท่านฉู่กัดฟันตวาดขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ฉู่เฉินซีตกใจตะลึง คิดสงสัยอะไรมากมาย หรือไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของคุณท่านที่ไม่ให้ทั้งสองได้รู้จักกัน? แล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่?
“ความจริงคืออะไร? หลินเวยมี่เป็นลูกสาวของใคร? ทำไมพวกเขาถึงรู้จักกันไม่ได้?” ฉู่เฉินซีรีบถามต่อ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความลังเลใจ
“ทำไมน้าหรานถึงต้องเป็นอัมพาต ถ้าไม่ได้เป็นเพราะหลินเวยมี่!” คุณท่านฉู่พูดตะโกนเสียงดัง สายตาเคียดแค้น “น้าหรานของลูกทนอุ้มท้องมานานสิบเดือน เมื่อคลอดหล่อนออกมากลับเสียเลือดมาก ทำให้เป็นอัมพาต”
ฉู่เฉินซีตกใจอึ้ง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขารู้เหตุผลเรื่องที่น้าหรานเป็นอัมพาต แต่ถึงแม้ว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สมควรที่จะทำให้คุณท่านฉู่ต้องเคียดแค้นหลินเวยมี่ได้ขนาดนี้
“ดังนั้นพ่อจึงให้คนอื่นเอาตัวหลินเวยมี่ไป แล้วบอกน้าหรานว่าหล่อนตายแล้ว? ”
คุณท่านฉู่สูดหายใจเข้าลึก ปล่อยเขาออก ลังเลอยู่สักพัก จากนั้นก็นั่งลงไปบนพื้นหญ้า
ฉู่เฉินซีก็นั่งตามลงไปด้วย ตอนนี้เขาอยากรู้จนทนไม่ไหว เขาไม่อยากให้ใครต้องมาทนทุกข์อีก
“ถูกต้อง ฉันพูดไปแบบนั้น โชคดีที่รั่วหรานเชื่อ ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาหล่อนจึงคิดว่าลูกตายไปแล้ว” คุณท่านฉู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
สายตาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด “หลินเวยมี่เป็นความเจ็บปวดทั้งชีวิตของน้าหราน ห้ามพูดถึงเด็ดขาด”
เมื่อฉู่เฉินซีได้ยินเช่นนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้น หากจะเป็นเพราะหลินเวยมี่ทำให้น้าหรานต้องเป็นอัมพาต แต่ยังไงหล่อนก็เป็นลูกของตัวเอง จะเคียดแค้นมากขนาดนี้ทำไมกัน?
“พ่อ พ่อไม่เข้าใจความรู้สึกที่ผู้หญิงมีต่อลูกตัวเองเลยสักนิด น้าหรานไม่มีทางคิดเหมือนพ่อแน่นอน ทำไมหล่อนต้องโกรธแค้นลูกของตัวเองด้วย?”
สีหน้าของคุณท่านฉุ่นิ่งไป กำมือแน่น “นายคงไม่รู้ว่าน้าหรานเคยเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อนใช่ไหม?”
“น้าหรานเคยเป็นโรคซึมเศร้า?” ฉู่เฉินซีถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขารู้เรื่องนี้ เขาคิดไม่ถึงเลยว่านิสัยเรียบร้อยอ่อนโยนอย่างน้าหราน จะเคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อน?
“ตอนนั้นช่างเป็นเวลาที่ทรมานเป็นตายเท่ากัน เฝ้าดูหล่อนซูบผอมลงทุกวัน หล่อนอยู่ในอาหารหวาดกลัวตลอดเวลา กระทั่งบนจะฆ่าตัวตายทุกวัน พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นน้าหรานใช้ชีวิตผ่านมาได้ยังไง” คุณท่านฉู่พูดขึ้นด้วยความกลัว สีหน้าทุกข์ใจมากขึ้น
ฉู่เฉินซีเม้มปากแน่นไม่พูดอะไร ความสงสัยเกิดขึ้นเต็มไปหมด “น้าหรานเป็นโรคซึมเศร้าเพราะลูกตายรึเปล่า?”
“เป็นเหตุผลหนึ่ง”
“พ่อ พูดไปพูดมาพ่อยังไม่พูดเรื่องสำคัญเลย หลินเวยมี่เป็นลูกของใครกันแน่?”
ความสงสัยของฉู่เฉินซีทำให้สีหน้าของคุณท่านฉู่นิ่งชะงักไปทันที เขาค่อยๆหันไปมองฉู่เฉินซี พูดขึ้น “นายอยากรู้จริงเหรอ?”
ฉู่เฉินซีตกตะลึงไปครู่หนึ่ง มองหน้าเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่ไม่พูดอะไร
“ถ้าฉันบอกเรื่องนี้กับนาย นายก็กำลังเผชิญหน้ากับทางเลือกสองทาง รั่วหราน และ หลินเวยมี่ นายต้องเลือกหนึ่งคน นายอยากรู้จริงเหรอ?”
ฉู่เฉินซีนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นรีบพยักหน้าลง
รั่วหรานที่นั่งอยู่บนรถเข็นหันไปมองพ่อลูกที่คุยกันอยู่ใต้ต้นหลิว ยิ้มอย่างอบอุ่นใจ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ถ้าพี่ฉู่ใกล้ชิดกับลูกมากกว่านี้ คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องทะเลาะกับลูกหนักขนาดนี้”
ลุงหลี่ยืนอยู่ด้านข้าง กระแอมขึ้น
“ลูกชายสามคน เมื่อเห็นเขาก็ทำตัวเหมือนคนแปลกหน้า เพราะเขาเป็นคนอารมณ์ร้ายมากเกินไป จึงเหินห่างกับลูกๆ”
ลมเย็นพัดโบก ผมของหล่อนปลิวสะบัด สายตาหล่อนส่องเป็นประกาย
“อันที่จริง คุณท่านฉู่เพียงแค่เข้มงวดกับพวกเขามากไปหน่อย” ลุงหลี่พูดขึ้น
รั่วหรานสายตาจดจ้อง พูดต่อ “แต่พออายุมากแล้วเขาก็คงเข้าใจมากขึ้น ยิ่งแก่ยิ่งเหงา ถึงตอนนั้นเขาคงคิดที่จะสนิทกับลูกขึ้นมาเอง”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สายตาของหล่อนเศร้าลงทันที “ถ้าลูกของฉันยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้คงอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว”
“คุณรั่วหราน คุณ…” ลุงหลี่มองหล่อนด้วยสายตาเป็นห่วง แต่ไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจเช่นไร
รั่วหรานยกมือขึ้นปาดน้ำตา มองขาตัวเองด้วยความเหนื่อยใจ “เป็นเพราะฉันทำให้คุณท่านฉู่ต้องลำบากมานานหลายปี”
“ทำไมคุณถึงคิดเช่นนั้นล่ะ? คุณท่านไม่เคยบ่นเรื่องคุณเลย คุณท่านเขารักคุณมากจริงๆ” ลุงหลี่รีบพูดอธิบายแทนคุณท่าน
รั่วหรานยิ้ม สายตาบ่งบอกถึงความสุข “ได้เจอเขา ถือเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของฉัน”
ไม่นานนัก พ่อลูกสองคนพากันเดินตรงเข้ามา คุณท่านฉู่ช่วยเข็นรถให้รั่วหรานเข้าไปในบ้าน แต่ฉู่เฉินซีกลับยืนอยู่อีกด้าน มองพวกเขาเงียบๆ ไม่ขยับไปไหน
“เฉิน ไม่เข้ามานั่งเหรอ?” รั่วหรานหันไปถามเขา
สีหน้าของฉู่เฉินซีไม่สู้ดีนัก เขาฝืนยิ้มขึ้น ส่ายหน้า “ผมยังมีธุระต่อ ไว้วันหลังจะมาหาน้าหรานอีกนะครับ”
เมื่อขึ้นไปบนรถ สีหน้าของฉู่เฉินซีนิ่งขรึม เปิดกระจกรถให้ลมโกรกเข้ามา ทำให้เขารู้สึกสบายมากขึ้น
สายตาของฉู่เฉินซีเศร้าหงอย ในหัวของเขาคิดถึงแต่คำพูดของท่านฉู่เมื่อสักครู่ จนทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั้งใจ
“เฉิน เรื่องนี้ฉันเก็บมานานนับครึ่งชีวิต ถ้านายอยากให้น้าหรานใช้ชีวิตนี้อย่างมีความสุข ก็ห้ามคบกับหลินเวยมี่ต่อ”
“ถ้าน้าหรานเห็นหลินเวยมี่ หล่อนคงจะเสียสติอีกครั้ง เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตอนนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ถึงตอนนั้นน้าหรานอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้”
“ฉันรู้ว่านายรักน้าหรานมาก ตอนแรกที่นายหาหลินเวยมี่ก็เพื่อน้าหราน แต่นายต้องคิดให้ดีว่าจะคบกับหลินเวยมี่โดยไม่คิดอะไร หรือจะแคร์เรื่องความเป็นความตายของน้าหราน”
“นายต้องเลือก จะทิ้งใครและเลือกใคร”
ฉู่เฉินซีชกไปที่หัวอย่างจัง สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่รู้จะทำยังไง เลือกทางไหนไม่ได้เลยจริงๆ ในหัวของเขาเดี๋ยวก็ปรากฏภาพรอยยิ้มของหลินเวยมี่ เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นรั่วหราน
น้าหรานเป็นที่พึ่งของเขามาทั้งชีวิต ดูแลเขาเหมือนลูกแท้ๆ ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ตกที่จะต้องเลือกใครคนใดคนหนึ่ง
สีหน้าของเขาซึมเศร้า เจ็บหน้าอกมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อกลับถึงบ้าน ฟ้าก็มืดแล้ว ฉู่เฉินซีเข้าบ้านไปด้วยกลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งไปทั้งตัว พอเปิดประตูออก สายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่นอนอยู่บนโซฟา เขายิ้มออกมาด้วยความชื่นใจ
ค่อยๆอุ้มหล่อนขึ้น จากนั้นเดินโซซัดโซเซเข้าไปในห้อง
ตอนที่อุ้มหล่อนขึ้นมาหล่อนก็ตื่นขึ้นพอดี จานนั้นขยี้ตาและกอดเขาไว้แน่น “ไปดื่มมาเหรอ?”
ฉู่เฉินซีก้มหน้ามองหล่อน ไม่พูดอะไร เม้มปากแน่น สายตาเหม่อลอย ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ
หลินเวยมี่เอื้อมมือไปกอดคอเขา ทั้งสองสบตากัน หล่อนพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ “นายไปไหนมา? ทำไมกลับมาดึกขนาดนี้?”
“กินเลี้ยง” ฉู่เฉินซีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ สายตาเย็นชา
หลินเวยมี่รู้สึกได้ว่าเขาผิดปกติไปจึงรู้สึกโกรธ แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่
ฉู่เฉินซีผลักประตูออก ค่อยๆวางหล่อนลงบนเตียง แล้วหันหลังเดินออกไปข้างนอก
“นายจะออกไปอีกเหรอ?”
“ฉันไปห้องหนังสือ”
หลินเวยมี่โกรธจนขว้างหมอนใส่เขา หล่อนรอเขามาทั้งคืน แต่พอเขากลับมากลับทำตัวเย็นชาแบบนี้?
ฉู่เฉินซีเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย จากนั้นปิดประตูลงพร้อมสายตาที่ทุกข์โศก
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหลินเวยมี่ตื่นขึ้นม้าขากลับไม่อยู่แล้ว หล่อนมองไปที่ห้องหนังสืออันว่างเปล่าด้วยความผิดหวัง พิงประตูด้วยความเหน็ดเหนื่อยใจ
สายตาของหล่อนเหลือบมองไปเห็นเสื้อเชิ้ตที่เขาถอดไว้เมื่อวาน ย่องเดินเข้าไปหยิบเสื้อเชิ้ตที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้าและน้ำหอมอ่อนๆ สีหน้าของหล่อนเปลี่ยนไปทันที จากนั้นซึมลงอย่างเห็นได้ชัด
สีแดงสดบนปกคอเสื้อของเขาเสมือนกำลังเยาะเย้ยหล่อนอยู่ หล่อนโยนเสื้อไปอีกด้าน อดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ เขาคงไปกินเลี้ยงมาจริงๆ ที่งานเลี้ยงจะไม่มีผู้หญิงได้ยังไงล่ะ?
รอยนั่นก็คงเป็นรอยของผู้หญิงที่ไม่ระวัง ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หล่อนจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น จากนั้นหยิบเสื้อโยนเข้าไปในเครื่องซักผ้า ไม่อยากหันไปมองอีก
ทันใดนั้นหล่อนรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา จึงรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ อ้วกอยู่หลายครั้ง จนต้องเอามือทาบอกอย่างไร้เรี่ยวแรง หล่อนมีอาการแบบนี้มาสองวันติดแล้ว เห็นทีหล่อนต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลอย่างจริงจังสักครั้ง
ในใจหล่อนรู้สึกกลัวและคาดหวัง จากนั้นยิ้มขึ้นมา