รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 185
บทที่ 185 ความสุขเล็กๆ
ในซูปเปอร์มาร์เก็ต หลินเวยมี่หยิบเนื้อสองแพ็คขึ้นมาเทียบกัน แล้วก็ลากแขนฉู่เฉินซีที่อยู่ข้างๆ “เฮ้ ช่วยดูหน่อยสิ อันไหนสดกว่ากัน”
ฉู่เฉินซีเหลือบมอง แล้วก็หยิบมัสตาร์ดขึ้นมาหนึ่งขวด แล้วพูดออกมานิ่งๆ “เอาอันที่สีเข้มกว่าสิ”
หลินเวยมี่พยักหน้า แล้วก็หยิบอันนึงใส่ตะกร้า เธอมองดูผักที่อยู่ในตะกร้า แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข จับมือฉู่เฉินซี แล้วก็ถามออกมาเสียงเบา “นี่ เคยมีความรู้สึกของการใช้ชีวิตบ้างมั้ย?”
“อืม มีสิ” ฉู่เฉินซีตอบนิ่งๆ
ใบหน้าเล็กๆของหลินเวยมี่สีหน้าเปลี่ยนทันที จ้องหน้าเขา แล้วก็เอาตะกร้าในมือยัดใส่มือเขา แล้วก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
คนในซูปเปอร์มาร์เก็ตเยอะมาก เพราะว่าเดินเร็ว พอเธอหันหน้ามาก็ไม่เจอร่างของฉู่เฉินซีแล้ว ตอนนั้นเธองุนงง หันมองไปรอบด้าน แล้วก็เดินไปตามทาง
ใบหน้าเล็กๆของหญิงสาวเต็มไปด้วยความร้อนรน เธอดันกลุ่มคน แล้วก็เดินไปด้านหน้า ทันใดนั้นขาเธอก็โซเซ ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรชนเข้ากับเข่าของตัวเอง เธอเกือบจะล้มลง
ตอนที่เธอได้สติกลับมาถึงได้รู้ว่า เธอได้เดินไปชนรถวีลแชร์ของคนอื่น
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ หนูไม่ทันระวัง คุณป้าเป็นอะไรมั้ยคะ?” หลินเวยมี่รีบถามอย่างร้อนรน
ผู้หญิงบนวีลแชร์นั้นมองหน้าเธออย่างลึกซึ้ง มองหน้าเธอเอื่อยๆ ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกกลัวขึ้นมา
“คุณป้าคะ?” เธอถามออกมาอย่างสงสัย เธอสังเกตได้ว่าสีหน้าเธอมีอะไรแปลกไป ก็ขมวดคิ้วแน่น หรือว่าคุณป้าคนนี้ไม่ใช่แค่เจ็บขางั้นหรอ? สมองก็มีปัญหาเหมือนกัน?
“ครอบครัวคุณอยู่ไหนหรอคะ?” หลินเวยมี่รีบถามออกมา
“หนู……หนูชื่ออะไรนะ?” ผู้หญิงคนนั้นรีบคว้าข้อมือของหลินเวยมี่อย่างกระตือรือร้น
หลินเวยมี่อึ้งไป ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกแปลกๆต่อผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ อยากจะพูดอะไรออกมา แต่ว่าก็ได้ยินเสียงฉู่เฉินซีเรียกเธอก่อน
“คุณป้า ไปก่อนนะคะ สามีหนูเรียกแล้ว” หลินเวยมี่ฉีกยิ้มกว้างออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความสุข
เธอเดินเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วก็เห็นฉู่เฉินซีที่ยังยืนอยู่ที่เดิมก็ถอนหายใจออกมา แล้วก็ถามออกมาด้วยความขุ่นเคือง “ทำไมไม่ตามฉันมา?”
ฉู่เฉินซีมีสีหน้าจำใจ แล้วก็ยักไหล่ “คนในนี้เยอะจะตาย ฉันกลัวว่าเธอจะหายไป แล้วเธอหาฉันไม่เจอฉันก็เลยยืนรออยู่ที่เดิม”
“ซื่อบื้อ” สายตาของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จับมือของเขาไว้ “ถ้าเชื่อฟังแบบนี้ได้ตลอดก็ดีน่ะสิ”
“คุณผู้หญิง ดูซิว่าหลังจากนี้จะกล้าวิ่งหนีไปอีกมั้ย?” เขาโจมตีกลับ
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเวยมี่ไม่ได้โต้ตอบเขา ในสายตาของเธอเต็มไปด้วยความสุข แล้วก็ดึงมือเขาไปที่แคชเชียร์
เธอยืนอยู่ด้านนอก แล้วมองฉู่เฉินซียืนต่อแถว ทั้งสองคนนั้นยืนสบตากัน ริมฝีปากก็ปรากฏรอยยิ้มให้กันเอง
หลินเวยมี่ยืนอยู่ที่ประตูซูปเปอร์มาร์เก็ต จากมุมนี้เธอก็ยังสามารถมองเห็นด้านในได้พอดี แต่ว่าพอฉู่เฉินซีจ่ายเงินเสร็จแล้วก็หาหลินเวยมี่ไม่เจอแล้ว เขามองไปรอบด้านอย่างตื่นตระหนกอยู่ตั้งนานกว่าจะเจอเธอ จากความตื่นตระหนกก็เปลี่ยนเป็นความสบายใจ
“ยังกล้าหนีอีกนะ” เขาบ่นเธอแล้วดึงมือเธอไว้ แล้วก้าวออกไปด้านนอก
หลินเวยมี่ก็กุมมือเขาแน่น แล้วฉีกยิ้มกว้างออกมา “ฉันรู้ว่านายจะต้องหาฉันเจอ”
อีกฝั่งหนึ่งของซูปเปอร์มาร์เก็ต คุณท่านแก่ฉู่ซื้อข้าวของทั้งหมดเสร็จแล้ว ก็ยืนอยู่ตรงหน้ารั่วหราน “รั่วหราน พวกเราไปกันเถอะ”
รั่วหรานนิ่ง ดวงตามีแต่ความว่างเปล่า
“พี่ฉู่ เมื่อกี้ฉันเห็นเด็กผู้หญิงคนนึง”
มือของคุณท่านแก่ฉู่ที่กำลังเข็นรถอยู่นั้นค้างนิ่ง มีร่องรอยของความโกรธปรากฏในดวงตาของเขา แต่ว่าเขาก็ทำเป็นถามอย่างไม่สนใจ “เด็กผู้หญิงคนไหนหรอ?”
“เด็กผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนฉันตอนสมัยวัยรุ่นมาก เหมือนมากๆ” น้ำเสียงของรั่วหรานเต็มไปด้วยความผิดหวัง สายตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เหมือนกับว่ากำลังหวาดกลัวอะไรอยู่
คุณท่านแก่ฉู่ใบหน้าแข็งทื่อทันที เม้มปากอยู่นานกว่าจะพูดอะไรออกมา “รั่วหราน เธอจากไปตั้งนานแล้ว เธอคิดมากไปแล้ว”
สีหน้ารั่วหรานค้างแข็ง แต่ว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่มองไปที่ไกลๆอึ้งๆ
จนตอนที่รั่วหรานขึ้นรถแล้ว คุณท่านแก่ฉู่ก็พูดออกมาอย่างจำใจ “ว่าแล้วว่าไม่ควรพาเธอมาที่ๆคนเยอะแบบนี้ ดูเธอสิ เริ่มคิดอะไรไปเรื่อยอีกแล้ว!”
รั่วหรานส่ายหน้า สายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “พี่ฉู่ พี่ไม่เข้าใจ บางทีฉันอาจจะเจอเธอแล้วจริงๆก็ได้”
“พูดมั่วอะไรกัน! เธอตายไปตั้งแต่20กว่าปีก่อนแล้ว!”คุณท่านแก่ฉู่พูดออกมาอย่างเย็นชา เหมือนอยากจะทำลายสิ่งที่รั่วหรานคาดคิด”
แต่ว่าสีหน้าของรั่วหราน กลับอึ้งๆ บางทีก็ยิ้มออกมา บางทีก็ดูตื่นตระหนก
คุณท่านแก่ฉู่ถอนหายใจออกมา โบกมือให้แม่บ้าน แล้วรถก็แล่นออกไปด้วยความรวดเร็ว
ในคฤหาสน์ หลินเวยมี่มองบ้านที่คุ้นเคยด้วยน้ำตา สายตาเต็มไปด้วยความสะเทือนใจ
เธอสูดน้ำมูก แล้วก็หันไปมองหน้าฉู่เฉินซี สะอึกสะอื้นแล้วถามว่า “นายซื้อบ้านฉันมาหรอ?”
“มอบให้เธอ” เขายิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ภายใต้แสงเทียนสีเหลือง มันปรากฏใบหน้าที่หล่อเหลาที่แสนจะอบอุ่นของเขาออกมา
หลินเวยมี่ยื่นมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเอง เธอดีใจจนน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ที่นี่ไม่ใช่ที่ใดอื่น แต่ว่าที่นี่คือบ้านที่ฉู่หรานขายทิ้งไป
คิดไม่ถึงเลยว่าฉู่เฉินซีจะมอบเซอร์ไพรส์ให้เธอชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายของเธอ เธอไม่มีวันลืมไป ไม่มีวันทอดทิ้งมันได้
“ขอบคุณนะ”
“เด็กบื้อ ร้องไห้ทำไม”เขาเดินเข้ามา แล้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอ หันหลังไปเทไวน์ แล้วก็ยื่นให้เธอแก้วนึง
“ดินเนอร์ใต้แสงเทียน?” หลินเวยมี่น้ำตาไหลแต่ก็ยิ้มออกมา เม้มปากแน่นแล้วก็มองดูสเต็กที่พวกเขาใช้เวลาทำตั้งสองชั่วโมงกว่า
“อืม เป็นยังไงบ้าง?” ฉู่เฉินซีนั่งยิ้มอยู่ตรงข้ามกับเธอ
หลินเวยมี่ยิ้มแล้วมองจานสเต็กที่ใหญ่กว่าร้านอาหารตะวันตกทั่วไป แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
“ราคาม่แพง แต่ก็โรแมนติกแล้วก็อิ่มด้วย ไม่แย่ๆ”
“เด็กบื้อ”ฉู่เฉินซีส่ายหน้า แล้วก็จิบไวน์ลงไป พลางมองหน้าผู้หญิงที่ยิ้มแย้มแจ่มใสที่อยู่หลังแสงเทียนนั้น ความรู้สึกพึงพอใจปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา ถึงแม้ว่าจะมีน้ำตาบนใบหน้าของเธอ แต่ว่าก็สามารถเห็นได้ว่ามันเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกซาบซึ้งใจ
“ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนี้ตลอดไปได้ก็คงจะดี”ความสับสนเกิดขึ้นในดวงตาของเธอ แล้วก็จิบไวน์ลงไป ที่เธออยากได้ไม่ใช่ความโรแมนติกในทุกวัน แต่ว่าแค่สามารถได้อยู่ด้วยกันได้ทุกวัน ได้ซื้ออาหารกลับบ้าน ทำกับข้าวด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน มีความสุขที่เรียบง่าย
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นชีวิตที่เรียบง่าย แต่ว่าเธอก็พอใจที่จะเป็นแบบนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยเป็นผู้หญิงโลภ เธอก็แค่ต้องการครอบครัวที่มีความสุข ผู้ชายที่รักเธอ แล้วก็ลูกน้อยที่น่ารักหนึ่งคนก็พอแล้ว
“แน่นอน” สายตาของเขามองหลินเวยมี่อย่างลึกซึ้ง แล้วเขาก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา คิ้วขมวดแน่นโดยอัตโนมัติ แล้วก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม
หลินเวยมี่ก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขา แล้วก็มีความผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ ต่อให้ทั้งสองคนจะพยายามแค่ไหนแล้วยังไงต่อล่ะ?
ช่องว่างระหว่างพวกเขาก็ยังคงอยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ตลอดชีวิต แล้วพวกเขาจะสามารถเผชิญหน้าต่อคนในสังคมกับคำวิพากย์วิจารย์ได้ยังไงกันล่ะ?
สายตาเต็มไปด้วยความขมขื่น แล้วก็จิบไวน์ลงไปอีกก็เลยพอจะกดอารมณ์ไว้ได้บ้าง
“เวยมี่ ฉันก็ยังคงรับปากเธอไม่ได้อยู่ดี” สายตาของฉู่เฉินซีเหมือนคนไม่มีทางเลือก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาเลือกได้ ต่อให้เลือกได้ เขาก็คงจะพาหลินเวยมี่หนีไปไกลๆ
แต่ว่ามันไม่ได้จริงๆ เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามคือน้าหราน น้าหรานที่เขารักและเคารพมากที่สุด
“อย่าคิดเรื่องพวกนี้เลย เรื่องในอนาคตก็ค่อยพูดในอนาคตแล้วกัน”หลินเวยมี่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ทั้งสองคนไม่เลือกที่จะหนี เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถรับผิดชอบผลที่ตามมาได้ แต่ว่าการต้องปล่อยมือกัน พวกเขาจะทำได้ยังไง
แสงจันทร์ยามค่ำคืนหลินเวยมี่สวมชุดนอนสีดำนั่งอยู่บนเตียง ผมเปียก บางทีก็มีน้ำหยดลงมาเป็นครั้งคราว
ประตูห้องอาบน้ำเปิดออก ฉู่เฉินซีพันผ้าพันตัวแล้วเดินออกมา ผมก็เปียกเหมือนกัน แต่ว่าเขาดูสดชื่นมาก
ทุกภาคส่วนในร่างกายของเขามีเสน่ห์
ดวงตาหลินเวยมี่เต็มไปด้วยความสับสน จ้องมองที่หน้าอกของเขา แล้วใบหน้าเล็กๆของเธอก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
“มองจนพอใจรึยัง?” เขาจับคางเธอไว้ สายตาเต็มไปด้วยความหยอกล้อ แล้วก็ยกหน้าเล็กๆขึ้นเธอขึ้น ประเมินใบหน้าที่แดงก่ำของเธอ
“ผู้ชายคนอื่นก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ?” เธอหันหน้าไปทางอื่น ถึงแม้ว่าเธอจะเคยเห็นรูปร่างของเขาแล้ว แต่ว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เธอถึงรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
“หืม? ผู้ชายคนอื่น! เธอเคยเห็นงั้นหรอ?”สีหน้าของเขาปรากฏรังสีความอันตรายขึ้นมาทันที จนเผลอออกแรงที่มือ
หลินเวยมี่หลบสายตา ที่จริงเธอก็พูดแก้เขินไปยังงั้น ไม่ยังงั้นเมื่อกี้เขาคงหัวเราะเยาะเธอแล้ว
“พูด เธอเคยเห็นหรอ!” เขาไล่ถาม เข้าก็เอาหน้าเข้าไปชิดกับเธอ
ใบหน้าเล็กๆของหลินเวยมี่แดงขึ้นยิ่งกว่าเดิม ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอะไร มือเล็กๆจับที่หน้าอกของเขาอย่างควบคุมไม่ได้ “ทำอะไรน่ะ”
“สัมผัสของฉันแตกต่างกับผู้ชายคนอื่นยังไงบ้าง่ะ?” เขายิ้มเบาๆออกมาแล้วถาม
หน้าเล็กๆของหลินเวยมี่หันกลับมา แล้วก็ตอบด้วยความรวดเร็ว “มีผู้ชายคนอื่นที่ไหนกัน! นายพูดมั่วอีกแล้ว!”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจของฉู่เฉินซีลอยมา หลินเวยมี่ถึงได้รู้ว่าโดนเขายั่วให้แล้ว เธอโกรธจนหันหน้าไปทางอื่นไม่สนใจเขาอีกต่อไป
ฉู่เฉินซีหัวเราะออกมา แล้วก็ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เบ้ปากทำไม? อยากให้ฉันจูบเธอหรอ? ถ้าอยากให้ฉันจูบ แค่พูดก็พอแล้ว จะทำอะไร”
“ฉู่เฉินซี ฉันป่าวซักหน่อย……”
เธอหันหน้ากลับไปด้วยความโกรธ แต่ว่ามันก็บังเอิญกระทบกับริมฝีปากของเขาพอดี เขายิ้มออกมาเหมือนมีแผนชั่ว มือหนาจับที่เอวของเธอ แล้วก็จูบลงไปอย่างอดไม่ได้
ริมฝีปากเย็นๆประทับลงไปเบาๆ จิกริมฝีปากของเธอเหมือนกับลูกเจี๊ยบ ดึงดูดให้เธอตอบสนอง
ความสัมพันธ์ที่เหมือนจะใกล้ชิดแต่ก็ไม่ใช่ห่างเหินก็ไม่เชิงแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกผิดหวัง มือเล็กจับหน้าอกของเขาโดยอัตโนมัติ
รอยยิ้มในดวงตาของเขาลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขาโยนเธอลงเตียง แล้วก็จูบเธออย่างรุนแรง ทำร้ายวิญญาณของเธอทั้งหมด
แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
ฉู่เฉินซีขมวดคิ้ว แล้วก็หยุดการกระทำทั้งหมด รีบไปหยิบโทรศัพท์ และรับสาย
“น้าหรานของลูกป่วย”