รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 194
บทที่ 194เด็กน้อยผู้เข้าใจเรื่องราว
เมืองปารีสเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส เป็นดินแดนแห่งความฝัน ทั้งเมืองอบอวลไปความรู้สึกโรแมนติกและดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกงดงาม
ชุดเสื้อคลุมสีครีมยาว หญิงสาวปล่อยผมสยายประบ่าเดินพร้อมทั้งรีบเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน สีหน้าบ่งบอกถึงความเคร่งเครียดที่แสดงออกทางใบหน้า
“เย่หนิง เธอไปรับเสี่ยวหลง แล้วหรือยัง? เมื้อกี้ฉันไปยินที่ครูปรึกษาของเขาบอกว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งรับเขาไปแล้ว”
“อืม ฉันยังยุ่งอยู่เลย พวกเธออยู่ที่ไหน เดี๋ยวฉันจะไปหาพวกเธอ”
ในตลาด หญิงสาวแต่งตัวทันสมัยตามแฟชั่น เธอที่สวมแว่นกันแดดสีดำนั่นกำลังทำท่าทางไม้โบกโบกมือพลางใช้ถุงลูกกวาดที่อยู่ในมือพยายามหลอกล่อเด็กน้อยที่กำลังนั่งอยู่ในรถช็อปปิ้งในร้านค้า
“อยากกินหรือป่าว? อยากกินก็เรียกว่าเย่หนิงหม่ามี้แล้วจะให้กินลูกอม”
นัยน์ตาของเด็กน้อยเปลี่ยนความรู้สึกไปทันที เดิมทีกำลังทำท่าทางดีใจ ทันใดนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนมาทำหน้าเศร้าแทน แถมยังตอบแบบไม่ถูกใจ “หม่ามี้ไม่ให้ผมกินลูกอม เดี๋ยวแมงจะกินฟันเอา”
“ไม่นะ ตอนเด็กๆน้าก็กินลูกอมบ่อยๆ ตอนนี้ก็ไม่เห็นมีนี่หน่า” เย่หนิงหัวเราะไปพลางแถมเอาลูกอมที่อยู่ในมือยัดใส่ในมือของเขา แล้วก็ย่อตัวลง จากนั้นก็เขยิบใบหน้าเข้ามาใกล้
“น้าใจดีป่าว?งั้น หอมแก้มหน้าหนึ่งทีสิ”
“เมื่อครู่ยังให้เสี่ยวหลงเรียกว่าหม่ามี้อยู่เลย แต่ตอนนี้กลับให้เรียนว่าน้าแทน เสี่ยวหลงจะเรียกเธอว่าอะไรดีกันแน่นะ? ” เด็กน้อยเหล่ตามองหล่อนอยู่สักพัก จากนั้นก็ยื่นมือออกไปผลักใบหน้าของเย่หนิงอย่างไม่พอใจ
เย่หนิงถึงกลับอายจนหน้าแดงทันที ท่าทางเบื่อหน่ายเต็มทน หล่อนถูกเด็กอายุสี่ขวบมองด้วยหางตาใส่ซะงั้น!
หล่อนทำได้แต่ส่ายหัวศีรษะไปมาอย่างอึดอัดในใจรับกลับสภาพนี้ไม่ได้ เลยเข็นรถ ที่เสี่ยวหลงนั่งอยู่ให้ไปด้านหน้า จากนั้นก็หยิบสิ่งของที่เด็กจำเป็นต้องใช้ส่วนหนึ่งลงมา
“คุณใช่เย่หนิงหรือป่าว? คุณจริงๆด้วย!” เป็นเสียงตื่นเต้นดีใจของเด็กสาวลูกหลานชาวจีนสองคน
เย่หนิงได้แต่ยิ้มแห้งๆให้แทน พร้อมทั้งโบกมือทักทายให้พวกหล่อน
“เย่หนิง เย่หนิง ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ” เด็กสาวทั้งสองคนยืนดีใจอยู่ข้างๆตัวเย่หนิง อยากใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปด้วย
หลังจากร่วมทำภารกิจถ่ายรูปกับแฟนคลับสองคนเสร็จ เย่หนิงถึงกลับปาดเหงื่อเลย จากนั้นก็ยื่นมือออกไปเข็นรถช็อปปิ้งต่อ
“อยู่ที่นี่ยังมีคนจำได้…เฮ้อ แล้วเด็กน้อยล่ะ!” เย่หนิงร้องตกใจ เมื่อครู่เสี่ยวหลงยังนั่งอยู่ในรถช็อปปิ้งอยู่ดีอยู่เลยแล้วทำไมตอนนี้หายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เย่หนิงรีบเข็นรถช็อปปิ้งไปหาเขาอย่างรีบร้อน หล่อนเข็นรถจนวนรอบแล้วก็หาไม่เจอ หล่อนเลยรีบไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ พลางสอบถามอย่างรีบร้อน “ไม่ทราบว่าขอดูกล้องวงจรปิดหน่อยได้ไหม?”
บันทึกในกล้องวงจรปิด เด็กน้อยทำตัวอย่างกลับผู้ใหญ่ในร่างเด็กเดินออกจากห้างสรรพสินค้าไป ท่าทางดูสุขุมมาก ดูไม่ออกเลยจริงๆว่าเขาอายุแค่สี่ขวบ
เย่หนิงถึงกลับคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปด้านนอกอย่างรีบร้อน
“นี่ เย่หนิง เธอจะไปไหม? เสี่ยวหลงล่ะ?”หลินเวยมี่ที่รีบร้อนตามมาถึงกลับมองไปทางหล่อนอย่างสงสัยพลางมองรอบตัวหล่อน ก็ไม่พบตัวเสี่ยวหลง
“เสี่ยวหลงไม่รู้ไปไหนแล้ว!” เย่หนิงพูดตอบอย่างร้อนรน “เมื่อกี้ฉันเพิ่งจะเข็นรถซื้อของให้เขา ก็มีแฟนคลับสองคนเข้ามา พริบตาเดียว เขาก็เดินออกไปแล้วนะสิ”
“ไม่เป็นไร เราไปเดินหาเขาตามละแวกนี้แหละ” หลินเวยมี่พูดออกมาอย่างปกติ พร้อมทั้งตบมือเย่หนิงเพื่อให้กำลังใจ จากนั้นก็วิ่งไปอีกทางแทน
เสี่ยวหลงท่าทางดูเหมือนนิ่งๆมาตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้เหมือนถอดแบบมาจากฉู่เฉินซี ยิ่งใบหน้าเล็กนั้น โดยเฉพาะคิ้วนี่ถอดแบบมาจากฉู่เฉินซีออกมาเลยทีเดียว
แม้ว่าอายุแค่สี่ขวบก็ตาม แต่ตัวเองกลับแอบเดินออกมาเองอยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น ไม่งั้นหล่อนก็คงไม่สามารถสงบนิ่งได้แบบนี้หรอก
ในร้านเบเกอรี่ เด็กน้อยกำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้างผู้หญิงมีอายุคนหนึ่ง หน้าตากลับไม่มีอาการเก้อเขินใดๆเลย
“คุณย่าครับ ช่วยผมซื้อเค้กสตรอเบอร์รี่สักชิ้นได้ไหมครับ? ขอไซต์ใหญ่ครับ ผมพกเงินมาด้วย” เด็กน้อยเดินไปหาผู้หญิงสูงอายุพร้อมทั้งกระพริบตาปริบๆใส่ให้ จากนั้นก็ควักเงินเหรียญออกมาจากกระเป๋าของตนเอง
หญิงสูงอายุยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งมองไปรอบๆ กลับไม่มีผู้ใหญ่อยู่แถวนี้เลยสักคน เลยถามกลับ “คนที่บ้านเธอล่ะ?”
“เดี๋ยว หม่ามี้ของผมก็มาแล้ว รบกวนช่วยสั่งเค้กให้ผมสักชิ้น” ดวงตากลมโตของเสี่ยวหลงส่องประกาย แถมเจ้าตัวหน้าตาจ้ำม่ำยิ่งหักห้ามใจในจนคนอื่นยอมอ่อนข้อให้
ท่าทางจ้ำม่ำนั้นด้วยช่างน่ารักจริงๆ ยิ่งหญิงสูงวัยถูกคนเรียกว่าคุณย่าแล้วด้วยใจยิ่งอ่อนระทวยลงไปเยอะ เลยรีบสั่งเค้กสตรอเบอร์รี่กับพนักงานทันที
“เด็กน้อย เธอแอบหนีออกมากินเค้กสตรอเบอร์รี่ใช่ไหมเนี่ย?”
“เสี่ยวหลงทำเซอร์ไพรส์ วันนี้วันเกิดแม่” เสี่ยวหลงพูดออกมา สีหน้าของเด็กน้อยยิ่งมุ่งมั่นมาก
รั่วหรานมองเด็กที่อยู่ตรงข้ามด้วยความรู้สึกจับใจ ชื่นชมอยู่ในใจ เด็กน้อยตัวแค่นี้รู้เรื่องขนาดนี้ ไม่รู้ว่าหม่ามี้ของเขาเป็นคนแบบไหนกันนะ
นัยน์ตาเกิดเป็นรอยยิ้มแห่งความอบอุ่นขึ้นมา ยิ่งมองเสี่ยวหลงแล้วกลับรู้สึกว่าหน้าตาดูคุ้นเคย
เสี่ยวหลงมองหญิงสูงวัยที่อยู่ตรงหน้า เลยถามกลับ “คุณชอบเสี่ยวหลงใช่ไหมครับ ถึงได้จ้องมองเสี่ยวหลงแบบนี้?”
“ใช่จ้า เสี่ยวหลงน่ารักมาก” รั่วหรานยิ้มตอบ
เด็กน้อยยิ้มหน้าบาน แถมยังพูดออย่างภาคภูมิใจ “มีคนพูดกับผมแบบนี้ตั้งเยอะ หม่ามี้ของเสี่ยวหลงก็คิดว่าเสี่ยวหลงเป็นคนน่ารักมาก”
“เสี่ยวหลง! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง! น้าเหนื่อยมากเลยนะ!” เย่หนิงวิ่งหายใจหอบเข้ามา จากนั้นก็สวมกอดเสี่ยวหลง ทันที “คราวหน้าถ้าเธอทำแบบนี้อีก ฉันจะไม่ชอบเธอแล้วนะ!”
“เดี๋ยวๆ ผมยังไม่ได้หยิบเค้กของผมเลย” เสี่ยวหลง รีบร้อนดิ้นตัวลงจากตัวของเย่หนิง
“เค้กอะไร?” เย่หนิงถามอย่างประหลาดใจ
“เธอเป็นแม่ของเสี่ยวหลงใช่ไหม? เด็กคนนี้เมื่อกี้ให้ฉันเป็นคนช่วยสั่งเค้กสตรอเบอร์รี่ให้หนึ่งชิ้น นี่คือเงินที่เขาออมเงินเอาไว้หรอ?” รั่วหราน ยื่นเศษเหรียญกองใหญ่ออกมาพร้อมส่งคืนให้เย่หนิง
เย่หนิงตกใจยิ่งกว่าเดิม พร้อมทั้งหันไปมองเสี่ยวหลงทันที “นี่เธอออมเงินไว้ซื้อเค้กงั้นหรอ?”
“วันเกิดหม่ามี้นี่หน่า” เสี่ยวหลงตอบอย่างอ้ำอึ้ง เค้กทำได้ออกมาทันเวลาพอดี เขารีบหยิบเค้กแล้วเอามากอดไว้ในอ้อมอกแทน กลัวว่าจะถูกคนอื่นแย่งไป
“เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย!” เย่หนิงอุ้มเขาขึ้นมา จากนั้นก็พยักหน้าให้กับรั่วหราน “ขอบคุณค่ะ เมื่อครู่เสี่ยวหลงสร้างความวุ่นวายรบกวนคุณไว้เยอะเลย”
“ไม่ลำบากลำบนอะไรเลย เด็กน่ารักจริงๆ แถมยังเป็นเด็กที่รู้เรื่องอีกด้วย”
“ฮ่าๆ ๆใช่ค่ะ” เย่หนิงอุ้มเสี่ยวหลงออกมาจากที่นั่น “หรือว่าการที่หม่ามี้ดูไม่ค่อยร้อนอกร้อนใจ ที่แท้เธอก็เป็นคนทำผิดจนเป็นนิสัยนี่เอง”
“ทำผิดจนเป็นนิสัยอะไรหรอ?” เสี่ยวหลงถามด้วยความสงสัย
เย่หนิงคลี่ยิ้ม แล้วพูดอธิบาย “แอบหนีมาหลายครั้งแล้วนี่ไง”
“เสี่ยวหลงก็แค่อยากทำเรื่องเซอร์ไพรส์ให้หม่ามี้”สีหน้าของเขาทำหน้าตาดูจริงจัง
“เมื่อไหร่กันนะที่ฉันจะมีลูกชายที่รู้เรื่องขนาดนี้ได้เนี่ย” เย่หนิงถอนหายใจ จากนั้นก็รีบจ้ำอ้าวพร้อมทั้งกวักมือเรียกหลินเวยมี่ที่อยู่ถนนฝั่งตรงข้าม
หลินเวยมี่ถึงกลับถอนหายใจ แล้วรีบวิ่งมาทางนี้ จากนั้นก็อุ้มเสี่ยวหลงจากอ้อมอกของเย่หนิงออกมาอุ้มเอง
“ลูกไปทำอะไรที่ไหนมาเนี่ย?”
“หม่ามี้ยิ้มหน่อยสิ วันนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่นะ อย่าโกรธเสี่ยวหลงเลย” เจ้าอ้วนจ้ำม่ำเสี่ยวหลงเอนหัวพิงบริเวณมุมปากของหลินเวยมี่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น
“ลูกจำได้ด้วยหรอว่าวันนี้เป็นวันเกิดแม่?” หลินเวยมี่ถามอย่างประหลาดใจ ไม่คิดเลยจริงๆว่าเด็กน้อยอายุเพิ่งจะแค่สี่ขวบเองยังจำวันเกิดของหล่อนได้ด้วย?
“เสี่ยวหลงยังซื้อเค้กให้หม่ามี้” พูดไปมือก็ชูเค้กที่อยู่ในมือแถมยิ้มร่าให้อีกด้วย สีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
หลินเวยมี่ตะลึงไปชั่วขณะ ไม่เคยคิดเลยว่าเสี่ยวหลงจะซื้อเค้กให้เจ้าหล่อนเอง ซาบซึ้งกินใจ จนน้ำตาไหลออกมา
“หม่ามี้ ร้องไห้ทำไม? หรือว่ายังไม่หายโกรธเสี่ยวหลงอีกหรอ ไม่ร้องนะๆ หม่ามี้ยิ่งร้องไห้ออกมาน่าตายิ่งน่าเกลียดมาก” มือเล็กอวบอ้วนปาดน้ำตาที่ประดับอยู่บนใบหน้าหล่อน
“หม่ามี้ดีใจต่างหาก เสี่ยวหลงที่รู้เรื่องขนาดนี้ หม่ามี้จะโกรธได้ยังไงกัน” หลินเวยมี่ถึงกลับสูดลมหายใจเข้าจมูก แล้วหันไปมองเย่หนิง “ไปเถอะ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
“กลับบ้าน? หรือไปที่บ้านฉันดีกว่าไหม ฉันรับสภาพเดวิดไม่ไหวจริงๆ” เย่หนิงพูดไปก็มองด้วยหางตาไป พร้อมทั้งจูงมือของหลินเวยมี่ขึ้นรถ
“ความจริงตัวตนจริงๆของเดวิดก็ไม่เลวนะ” หลินเวยมี่ก้มหน้าก้มตายิ้มเล็กน้อย ทว่านัยน์ตากลับไร้ซึ่งอารมณ์ปรากฏออกมา
“ป่าปี๊ดีกับเสี่ยวหลงมาก” เสี่ยวหลงทำตาโตปฏิเสธแทนเขา
เย่หนิงได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างหมดความอดทน แล้วก็ถอนหายใจออกมา “ฉันรับสภาพเขาที่เป็นแบบนั้นไม่ไหว!”
“ฉันควรจะพอได้แล้ว” หลินเวยมี่ถอนหายใจออกมา นัยน์ตายังคงว่างเปล่า หล่อนควรจะพอได้แล้วสักที หากตอนนั้นไม่ใช่ว่าเดวิดช่วยหล่อนเอาไว้ตอนที่หล่อนลำบาก บางทีหล่อนก็ไม่ต้องยอมอดยอมทนมาถึงตอนนี้หรอก
จากนั้นก็เบนสายตาไปที่เสี่ยวหลงแทน นัยน์ตาทอประกายความอ่อนโยนออกมา ทุกอย่างก็เพื่อเสี่ยวหลงหล่อนยอมทำทุกอย่าง
“แต่ว่า ฉันรู้สึกแปลกๆพิกล ทั้งๆที่เธอควรจะยอมรับกับความรัก แต่ไม่ใช่การที่ต้องมาปกป้องครอบครัวที่เย็นชาไร้ความรู้สึกอยู่ได้” เย่หนิงทำสีหน้าดูไม่พอใจเท่าไหร่ เพื่อจะพูดให้คำแนะนำหล่อน
“ฉันชินชาแล้ว” หลินเวยมี่แสยะยิ้ม “แค่มีเสี่ยวหลงฉันก็พอใจแล้ว”
“พูดหูซ้าย ทะลุหูขวาอีกตามเคย ไม่รู้ว่าจะพูดกับเธอยังไงดี” เย่หนิงซ้ายหน้าไปมา หล่อนแพ้ในสนามรบอีกครั้ง
ภายในร้านเบเกอรี่ กลับมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดสีฟ้าสบายๆปรากฏตัวขึ้น การปรากฏกายของเขาดูโดดเด่นสะสุดตาเป็นพิเศษ ผู้คนโดยรอบรวมถึงพนักงานในร้านเองก็เริ่มพูดคุยซุบซิบขึ้นมา
“น้าหราน พ่อให้ผมมารับน้ากลับบ้าน”
รั่วหรานหันกลับไปยิ้มให้ฉู่เฉินซี “พ่อยังยุ่งมากอยู่หรอ?”
“เขาก็เป็นแบบนี้มาตลอด น้าหรานก็รู้ดีนี่”ฉู่เฉินซีถอนหายใจ พร้อมทั้งเข็นรถเข็นออกจากร้านเบเกอรี่
รั่วหรานยิ้มแล้วคิดอะไรอยู่สักพัก ใบหน้าอ่อนโยน
“เฉิน เมื่อกี้ฉันเจอเด็กน้อยคนหนึ่ง ฉันพูดว่าทำไมถึงได้หน้าตาคุ้นๆขนาดนี้กันนะ ที่แท้ก็หน้าเหมือนเธอตอนเด็กๆเลย”
“ตอนผมเด็กๆหรอ” ฉู่เฉินซีคลี่ยิ้มบริเวณมุมปาก ตัวเขาเองก็แทบจะลืมไปแล้วว่าตอนเด็กๆนั้นเขาหน้าตายังไง
“เป็นเด็กที่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ ความเป็นเด็กก็ไม่มี แถมยังรู้จักการเอาอกเอาใจมาก ผมยังจำได้เลยว่าตอนที่เธอส่งของขวัญชิ้นแรกให้ฉัน เป็นการ์ดที่เธอใช้พู่กันเขียนเขียนข้อความสุขสันต์วันเกิดไว้บนการ์ด” รั่วหรานพูดไปยิ้มไป นัยน์ตาทอประกายความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา ทำราวกับว่าเห็นภาพนั้นอีกครั้ง
“ฮ่าๆ ในสายตาผมน้าหรานก็เหมือนแม่ผมนั่นแหละ ทั้งหมดนั่นก็เป็นชีวิตวันเด็กที่คุณให้ผมมา”
รั่วหรานถอนหายใจ ดวงตากลับแสดงความรู้สึกผิดหวังออกมา
ฉู่เฉินซีรู้ทันทีว่าตนเองได้ไปสัมผัสกับบาดแผลของน้าหรานเข้าให้แล้ว หลายปีที่ผ่านมานนี้ หลินเวยมี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดพลาดที่ฝังใจน้าหรานมาโดยตลอด และในเวลาเดียวกันมันยังเป็นบาดแผลที่ฝังลึกยากแก่การรักษาให้หายขาดได้ตลอดไป
เขาสูดลมหายใจเข้า เวลาก็ผ่านมาห้าปีแล้ว เขาลืมผู้หญิงที่อยู่ในใจเขามาตลอดไม่ได้เลย หล่อนทำร้ายเขาได้อย่างเลือดเย็น ยากแก่การลืมเลือน
รอยยิ้มอันเยือกเย็นโผล่บริเวณมุมปาก บางทีคนเราก็แบบนี้เอง การสูญเสียไปตลอดชีวิตมันเป็นสิ่งที่ดี มีเพียงแค่รอยบาดแผลของเขาที่ผ่านมาหลายปีมาแล้ว ที่ยังรักษาไม่หายขาด