รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 196
บทที่ 196 ไม่ชัดเจน
สมองของหลินเวยมี่กำลังติดๆดับๆ ราวกับว่าหลังจากที่เธอเจอกับฉู่เฉินซีแล้ว พฤติกรรมของหล่อนเปลี่ยนไป!
“มีอะไร? ชอบกำไลข้อมืออันนั้นหรอ?” มุมปากของเดวิดกระตุกยิ้มล้อเล่น นัยน์ตาดั่งจิ้งจอกที่คอยจ้องจับผิดหล่อน หัวคิ้วเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด
หลินเวยมี่อึ้งอยู่สักพัก เลยไม่ทันได้สนใจในสิ่งที่เขาพูดออกมาว่าพูดเรื่องอะไรอยู่ เลยได้แต่ส่ายศีรษะไปมา
หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว เดวิดก็ออกจากบ้านไปทันที ในคอนโด เย่หนิงกำลังนั่งดื่มน้ำผลไม้บนโซฟาอย่างเงียบเชียบ เสี่ยวหลงเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูก็รีบวิ่งไปที่ประตูทันที
การวิ่งของเด็กน้อยอายุสี่ขวบยังทรงตัวได้ไม่ดีนัก วิ่งเซถลาเข้าอ้อมอกของหลินเวยมี่ทันที
หลินเวยมี่อุ้มเขาขึ้นมา แต่กลับรู้สึกว่ามีอย่างผิดปกติไป
“เดวิดกลับไปแล้วหรอ? ฉันล่ะสงสัยจริงๆ บ้านของเธอหลังนี้เนี่ยเขาเคยย่างกายเข้ามาบ้างไหมเนี่ย?”
เย่หนิงถึงกลับพ่นคำพูดออกมา สีหน้าดูกล่าวโทษและจ้องหลินเวยมี่ตาเขม็ง “ก็มีแค่เธอเท่านั้นแหละที่ยังทนรับสภาพเขาได้!”
“เธอไม่เข้าใจเดวิดเอง เขาเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว” หลินเวยมี่อุ้มเสี่ยวหลงเอาไว้แล้วนั่งลง สีหน้ากลับดูเคร่งขรึมลงไปเยอะ
เย่หนิงจับผิดอารมณ์ของหลินเวยมี่ที่ผิดปกติไปได้ แล้วรีบถามทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอ?”
หลินเวยมี่สะบัดศีรษะไปมา สีหน้าซีดเผือดลงเล็กน้อย “เสี่ยวหลงแม่จะไปส่งลูกนอนนะ”
เสี่ยวหลงเบนร่างกายออกจากอ้อมอกของหลินเวยมี่ ใบหน้าเล็กๆแสดงออกทันทีว่าไม่ดีใจเลย แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กระพริบตาโตไปมา จากนั้นก็ขยับปากอวบอ้วนขึ้น “แต่ว่าพรุ่งนี้แม่ต้องกล่อมเสี่ยวหลงเข้านอนนะ”
หลินเวยมี่ได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็หอมฟอดใหญ่ที่หน้าผากของเขา แล้วก็อุ้มเขาไปทางห้องนอน
ไม่นานหล่อนก็เดินออกมา แล้วก็เอาแต่จ้องเย่หนิงไม่รู้ว่าจะเปิดปากพูดอย่างไรดี สีหน้าดูขมขื่นชอบกล
“ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอพูดออกมานะ หรือว่าเดวิดทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยกับเธอ?” เย่หนิงถามไถ่อยากรีบร้อน
หลินเวยมี่ส่ายหน้ามา อาการหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เดิมจนตอนนี้ดูเคร่งเครียด “ไม่ใช่เรื่องของเดวิดหรอก มันเป็นเรื่องของฉัน”
“แล้วเธอเป็นอะไรไปล่ะ?”
“ฉันเจอกับฉู่เฉินซีเข้าอย่างจังเลยแหละ”
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อพูดชื่อนั้นออกมาอีกครั้ง หัวใจบีบแน่นเจ็บปวดขึ้นมาทันที
“เจอกับเขาแล้วยังไง? ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องเสี่ยวหลงนี่? งั้นเธอจะเครียดทำไม? อีกอย่างในตอนนั้นเธอก็พูดไปเองว่าหลังจากนี้คือคนที่ไม่รู้จักกันใช่ไหมล่ะ? ก็ทำว่าเป็นคนไม่รู้จักกันเท่านั้นพอ” เย่หนิงตบบ่าเพื่อปลอบใจหล่อนเอาไว้
หลินเวยมี่มองเย่หลินด้วยความรู้สึกขมขื่น นัยน์ตาดูสับสน “ฉันรู้สึกกว่าชีวิตของฉันจะกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง”
“เวยมี่ ฉันถามเธอเรื่องหนึ่ง”
สีหน้าบนใบหน้าของเย่หนิงกลับดูเคร่งเครียดขึ้น อีกทั้งยังมองมาทางเธออย่างจับจ้อง
“ถามอะไร?”
“เธอหมดรักฉู่เฉินซีจริงๆหรอ?”
รูม่านตาของหลินเวยมี่ทอประกายขึ้นมาชั่วขณะ มันทั้งรวดเร็วและเด็ดเดี่ยว “เรื่องราวทรมานในปีนั้น ฉันจะลืมมันลงได้ยังไง”
มือของเย่หนิงตบลงบนไหล่ของหล่อนเบา จากนั้นก็พูดเน้นขึ้นมาแทน “งั้นเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก เธอหมดความรู้สึกกับเขาแล้ว เขาคงไม่มาข้องแวะอะไรกับเธออีก”
หลินเวยมี่พยักหน้า ถือว่าเป็นวิธีการเห็นด้วยอีกวิธีหนึ่ง
ในตัวโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส การแต่งตัวชุดฟอร์มที่ดูเป็นมืออาชีพ ผมหยักศกสีบลอนด์เทาคลอเคลียบริเวณหัวไหล่ ยิ่งทำให้ใบหน้าเล็กๆของหลินเวยมี่ดูโดดเด่นมากกว่าเดิม เป็นใบหน้าอันงดงามของชาวตะวันออก
คืนนี้เป็นเวรของเธอ บริเวณห้องโถงถือว่าคนไม่เยอะแล้ว เธอตรวจสอบข้อมูลอย่างระเอียดรอบคอบตลอดทั้งวัน สีหน้าดูจริงจังอยู่ตลอดเวลา
“พี่เวยมี่” เสียงสดใสดังขึ้นมา
“มีธุระอะไรหรือ?”หลินเวยมี่เงยศีรษะขึ้นมา พร้อมทั้งยิ้มให้กับเด็กผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้า “ทำไมหรอ?”
“แขกห้องพัก 301 ขอพบคุณหน่อยค่ะ”
หลินเวยมี่ทำหน้าสงสัย เลยถามกลับสงสัย “ห้อง 301 ใครเป็นคนรับผิดชอบอยู่? แล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา?”
“ฉันเป็นรับผิดชอบห้องนั้นค่ะ แต่ไม่ได้มีปัญหาอะไร แขกคนนั้นพูดประโยคแรกออกมาเองก็บอกว่าต้องการพบคุณพี่เวยมี่ เขาเป็นเพื่อนของคุณหรือป่าว?” เด็กสาวเริ่มออกอาการวิตกกังวลขึ้นมา เลยพูดออกมาตรงๆ
“ฉันจะไปดูเอง” หลินเวยมี่ตบบ่าหล่อน ความหมายก็คือไม่ให้หล่อนเครียดมาก จากนั้นก็เดินไปทางลิฟต์
ห้อง 301 ถือว่าเป็นชุดสุดหรู พนักงานที่เข้าไปทำความสะอาดนั้นเป็นคนที่ต้องคัดเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นไม่สามารถเกิดเรื่องพลาดขึ้นมาได้
หลังจากกดกริ่งหน้าห้องแล้ว หล่อนก็ยิ้มตามหน้าที่ แล้วก็ยืนรอด้านนอกประตูเพื่อรอให้ประตูเปิดอย่างเงียบๆ
นานสักพักกลับไม่มีคนมาเปิดประตู หล่อนขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็กดกริ่งหน้าห้องอีกครั้ง
ทว่าในเวลานั้นเอง ประตูก็เปิดออก ข้อมือก็ถูกดึงเอาไว้แน่น แล้วก็ถูกลากเข้าห้อง จนเซถลาเข้าสู่อ้อมอกอันอบอุ่น
ใบหน้าหล่อนตกตะลึงจนนิ่งทันที พอนึกได้ว่าต้องตะโกนออกมา ปากก็ถูกปิดจนแน่น
“อื้อๆ…” หล่อนพยายามต่อสู้อย่างไม่ลดละ นัยน์ตาหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันเอง”
เสียงคุ้นเคยสะท้อนออกมา ร่างกายหล่อนสั่นเทา พร้อมกับหยุดการต่อต้านอย่างสงบ นัยน์ตาตกใจหวาดหวั่น
ฉู่เฉินซียอมปล่อยหล่อน จากนั้นก็สาวเท้าก้าวยาวๆไปที่ชั้นวางเหล้า พร้อมกับหยิบแก้วดื่มเหล้าออกมาสองแก้ว
หลินเวยมี่ยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม มองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ผมตัดสั้นเป็นทรง ใบหน้าหล่อเหลามีสไตล์ รูปร่างสูงโปร่ง ยังมีริมฝีปากที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มแบบนั้นอีก ทุกอณูต่างพุ่งชนมาที่หัวใจของหล่อน
หล่อนตกใจอยู่นานจนไม่สามารถเรียกสติกลับมาได้
“เห็นหน้าฉันแล้วตกใจขนาดนั้นเชียว” ฉู่เฉินซีใช้มือหมุนแก้วไวน์ที่มีไวน์แดงอยู่ จากนั้นก็ยื่นมาให้หล่อนหนึ่งแก้ว
หลินเวยมี่รีบใช้มือปฏิเสธทันที “เวลาทำงานไม่สามารถดื่มเหล้าได้”
“มีจรรยาบรรณในวิชาชีพว่างั้น” เขาหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่ใส่ใจ
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วไว้แน่น สีหน้าบอกบุญไม่รับ จนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
“คุณผู้ชายคะ ไม่ทราบว่าคุณต้องการอะไรหรือคะ? ห้องชุดเรามีปัญหาอะไรหรือป่าว?”
“ต้องเย็นชาขนาดนี้ด้วยหรอ?” เขาพิงตัวไว้กับด้านบนของโซฟา เขากวาดตามองหล่อน เริ่มพูดจิกกัดเธอ สายตานั่นเหมือนสายตาของหมาจิ้งจอก ชวนน่าหลงใหลยิ่ง
หลินเวยมี่ตัวแข็ง พร้อมทั้งกำหมัดแน่น จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณผู้ชายคะ! ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา? คุณถึงได้เรียกฉันให้มาจัดการปัญหา”
“แล้วจะจัดการยังไง?” เขาโยนคำถามถามทาง สีหน้าดูหยอกล้อ ดวงตาสีน้ำตาลแสดงทีท่าว่ากำลังหยอกล้ออยู่
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้า พร้อมทั้งหันหลังกลับเพื่อเดินออกไปจากห้อง
“หยุดอยู่ตรงนั้น!”
“คุณผู้ชายคะ ไหนๆคุณก็ไม่มีอะไรที่ต้องการแล้ว ฉันขอตัวทำงานต่อ”
พอหล่อนพูดจบ ข้อมือก็ถูกคว้าเอาไว้อีกครั้ง ฉู่เฉินซีมองหน้าหล่อนด้วยสีหน้าที่เหมือนเป็นอริกัน ราวกับว่าจะหักผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ
“เพื่อนเก่าไง ไม่คุยกันสักหน่อยหรอ?”
“คุณผู้ชายเป็นเพื่อนเก่ากับใครหรือคะ” หล่อนแสยะยิ้ม สายตาแสดงความเหยียดหยามออกมาด้วย
“คุณว่าไงล่ะ?” เขาเขยิบเข้าใกล้หล่อน จากนั้นก็ก้มศีรษะจ้องมองหล่อนอย่างลึกซึ้ง
จิตใต้สำนึกของหลินเวยมี่สั่งให้หล่อนถอยหลังหนีอีกออกไปหนึ่งก้าว แต่กลับถูกเขาคว้าไว้อย่างรวดเร็ว จนเซถลามายังด้านหน้า ใบหน้าของเธอเซถลาเข้าไปอยู่ในอ้อมอกกำยำของเขา
ดวงตาเริ่มทอประกายความวุ่นวายใจขึ้นมา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม “คุณคะ คุณอย่าแต๊ะอั๋งฉันแบบนี้อีก ฉันสามารถฟ้องคุณได้ว่าคุณกำลังคุกคามฉันอยู่!”
“คุกคาม?” เขาเม้มปากแล้วหัวเราะเบาๆ แล้วจงใจเขยิบเข้ามาใกล้ๆอีกครั้ง “ฉันคุกคามเธอยังไงหรอ? หืม?”
น้ำเสียงคำพูดสุดท้ายนั่นส่อแววขึ้นมาทันที มันเป็นน้ำเสียงที่สามารถจินตนาการได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สายตาดูหยอกล้ออย่างเต็มที่
“ฉู่เฉินซี!” หล่อนเริ่มแหกปากตะโกนเพื่อตักเตือนเขา แววตาดูไม่สนุกไปด้วย
ฉู่เฉินซีหัวเราะร่า “ในที่สุดก็ยอมรับว่ารู้จักฉันแล้ว? ไม่ใช่คุณผู้ชายแล้วหรอ?”
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ หล่อนรู้สึกว่าเขาช่างน่าเบื่อมาก เลยตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุขุมแทน “คุณฉู่ ถ้าห้องชุดมีปัญหาอะไรคุณสามารถแจ้งไปที่เคาน์เตอร์โต๊ะประชาสัมพันธ์!”
พูดไปก็ผลักเขาให้ออกเพื่อจะไปจากเขา แต่ว่าเขาก็ยังขวางหน้าหล่อนอย่างไม่ลดละ แทบไม่ให้โอกาสในการที่หล่อนจะหนีไปได้
“ไม่เจอกันห้าปี เธอไม่มีอะไรพูดกับฉันงั้นหรอ?”
“เราสนิทกันหรอ?” หลินเวยมี่เลิกคิ้วถาม น้ำเสียงและสายตาเยาะเย้ยเขา
ฉู่เฉินซีใช้นิ้วมือยาวบีบใต้คางหล่อนเอาไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลทอประกายความสนุกสนานขึ้นมาอย่างชัดเจน
“เธอหมายความว่าเคยนอนด้วยกันหลายครั้งยังไม่สนิทกันอีกหรอ?”
ใบหน้าและลำคอของหลินเวยมี่แดงแจ๋ขึ้นมาทันควัน จากนั้นก็ตีมือเขาอย่างแรง ใบหน้าจ้องมองไปทางเขาอย่างตักเตือน
“ยังอายได้อยู่นี่” เขาเริ่มเขยิบเข้าใกล้อย่างไม่รีบไม่ร้อน สีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังได้ใจอยู่
“คุณนี่ช่างหาเรื่องตลอด?” น้ำเสียงของหล่อนกำลังโกรธอย่างชัดเจน จนเหงื่อผุดเต็มหน้าผากเกลี้ยงเกลา เครียดจนเห็นได้ชัด ราวกับว่าสิ่งที่ต้องเผชิญหน้าอยู่นั้นมันไม่ใช่คน แต่เป็นอสุรกายดุร้ายตัวหนึ่ง
“เครียดอะไรกัน? เจอฉันอีกครั้งแล้วไม่ดีใจหรือไง?” เขาชูแก้วไวน์แล้วจิบไวน์อึกหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมา “ฉันจะลืมได้ยังไง ตอนนั้นเธอเป็นคนพูดออกมาเองว่าต่อไปถ้าเจอหน้ากันก็ถือว่าฉันเป็นคนแปลกหน้าไปไม่รู้จักกัน หรือว่าเธอจำไม่ได้จริงๆว่าฉันคือใคร”
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่กลับรู้สึกว่าหายใจไม่เต็มปอด บรรยากาศมันดูอึดอัด กดดัน
“เรื่องราวในตอนนั้นตอนนี้เอามาพูดแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?”
“ฉันคิดถึงอยู่ตลอดเวลา” เขาคลี่ยิ้มบริเวณมุมปาก สีหน้าไม่สามารถจับความรู้สึกจริงจังได้เลย ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจ ดูท่าทางไม่สนใจใยดีต่อเรื่องใดๆอีกเลย
“ไม่จำเป็น ฉันยังต้องทำงาน” จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าออกไปจากห้อง ในใจรู้สึกกังวลอย่างหนักหน่วง
“ที่นี่ไม่สะอาด ฉันชอบความสะอาดมากเป็นพิเศษ ไม่ชอบสถานที่สกปรก”
ที่แท้ ตอนที่มือของเธอจะสัมผัสกับกลอนในเวลานั้น น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเขาก็ดังสะท้อนกลับมา
หลินเวยมี่เม้มปากไว้แน่น พร้อมกลับเปิดประตู “ฉันจะให้คนมาทำความสะอาดให้”
ในที่สุดหล่อนก็สามารถหนีรอดออกมาจนได้ ใบหน้าเล็กๆซีดเผือด ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างทำให้หล่อนตกใจเอามาก
“พี่เวยมี่ แขกคนนั้นเรื่องมากเป็นพิเศษอยู่ใช่ไหม?” หวงหยิ่งเด็กสาวที่มาหาเธอเมื่อครู่นี้ถามขึ้นมาทันที สีหน้าอึดอัดอย่างเหลือทน คิดว่าหลินเวยมี่คงถูกแขนด่าทอจนใบหน้าซีดเผือด
“ฉันผิดเองแหละ ที่ทำอะไรไม่ระมัดระวังให้มากพอ ไม่งั้นพี่เวยมี่คงไม่ถูกแขกด่าทอจนมาถึงจุดนี้หรอก”
หลินเวยมี่หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ถึงได้สงบสติอารมณ์ลงได้
“หวงหยิ่ง เดี๋ยวเธอไปทำความสะอาดอีกรอบนะ”
หวงหยิ่งรีบพยักหน้ารับคำสั่ง จากนั้นก็เดินไปทางลิฟต์อย่างทันที
สีหน้าออกอาการอย่างไม่สามารถสงบได้ แค่รู้สึกว่าหัวใจเต้นโครมคราม ไม่มีทางให้มันสงบลงมาเป็นปกติได้เลย
สักพัก หวงหยิ่งกลับลงด้วยสีหน้าขมขื่น แล้วก็เบะปากพูด “พี่เวยมี่ แขกยังไม่พอใจ เขาต้องการให้พี่ขึ้นไปทำความสะอาด”
หลินเวยมี่เปลี่ยนสีหน้าจนดูไม่ได้ อีกทั้งยังยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับตัวเลย
หล่อนรู้แก่ใจว่าทั้งหมดนี้ฉู่เฉินซีเขาตั้งใจทำ แต่ทำยังไงได้ล่ะ?
“พี่เวยมี่ ขอโทษค่ะ มันเป็นความผิดของฉันเอง” หวงหยิ่งทำหน้าเครียดและพยายามดึงเสื้อผ้าของหล่อนเอาไว้
“ถ้าฉันถูกแขกฟ้อง ผู้จัดการต้องไล่ฉันออกแน่ๆ”
หลินเวยมี่อึ้งอยู่สักพัก แล้วตบบ่าของหล่อนเพื่อเป็นการปลอบใจ “อย่ากังวลไปเลย ไม่มีเรื่องหรอก เดี๋ยวฉันจะขึ้นทำความสะอาด ถ้าเขายังไม่พอใจอีก งั้นก็หมายความว่าเป็นเขาเองที่มีปัญหา”
ประตูห้อง 301 ถูกเปิดอีกครั้ง หล่อนจ้องมองฉู่เฉินซีที่ทำหน้าตาพออกพอใจอยู่บนโซฟาอย่างเย็นชา จนหล่อนกำหมัดไว้แน่น